จีน => จาก Kunming (คุนหมิง) ไปมณฑล Xishuangbanna (สิบสองปันนา)
หยุดอยู่ท่ีคุนหมิงยาวไปหน่อย ไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้น อืม..มีวันหนึ่งระหว่างทางท่ีปั่นเข้าคุนหมิง เราเห็นรถตำรวจคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง พอปั่นไปใกล้ ๆ ก็เห็กนักปั่นคนหนึ่งยืนอยู่กับตำรวจอีก 4 คน คุยกันได้แป๊บนึง เพราะเวลาเราน้อยลงทุกที เพราะช่วงนี้มืดเร็ว หกโมงก็มืดแล้ว ตำรวจชวนคุยอีกและคะยั้นคะยอให้เราหยุดรอรถอีกคันหนึ่งเพื่อไปส่งเราในเมือง เขาว่าทางขึ้นเขาพวกเราปั่นไปยังไม่ทันถึงก็มืดแล้ว แต่เรายืนยันว่าเราปั่นได้แค่ 20 โลเอง สุดท้ายเขาก็ปล่อยเราและนักปั่นจากเยอรมันให้ปั่นกันไป สรุปแล้ว ตำรวจเขาถูก เพราะยังไม่ทันถึงตัวเมืองก็มืดสนิท แถมไฟหน้าโจคิมดันใช้ไม่ได้อีก โชคดีท่ีเจอเพื่อนคนเยอรมันคนนี้ ไม่อย่างนั้นคงได้กางเต้นท์อยู่นอกเมืองแน่ คืนนั้นฝนตกหนาวมากช่วงท่ีไหลลงจากเขา พอเข้าเมืองหยุดตรงสี่แยกก็เห็นป้ายโรงแรม เดี๋ยวนี้เห็นป้ายแล้วรู้ทันที เดินเข้าไปถาม ท่ีแรกก็ได้เลย ห้องก็ดูดี ถูกด้วย เราเห็นว่าถูกเนอะ ก็เลยไม่ได้ถามถึงอาหารเช้าและอินเตอร์เนต ว้าว … มีทั้งสองอย่างเลยเขาเดินขึ้นมาบอกถึงห้องเลย งงเล็กน้อย
นักปั่นชาวเยอรมันชื่อ ”ลุดวิค” เขาน่าจะ 50 กว่า ๆ เป็นผู้ใหญ่น่ารักแต่เราคุยกันไม่รู้เรื่อง เขาพูดภาษาอังกฤษแทบจะไม่ได้ โจคิมต้องคุยแบบผสมอังกฤษกับเยอรมัน บทสนทนาท่ีโต๊ะอาหารเวลานั่งกินข้าวกัน ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้กันและกัน กลายเป็นว่าเขารู้จักคนเยอรมันคู่นั้นท่ีเราเจอตอนท่ีเราไปต่ออายุวีซ่า โลกจักรยานมันกลม ๆ เหมือนล้อจริง ๆ 3 วันท่ีปั่นเข้าคุนหมิงรู้สึกทรมานมาก ทั้งหนาวและเปียกแฉะ ยังดีท่ียังพอหาท่ีนอนได้โดยท่ีไม่ต้องกางเต้นท์ คืนแรกนอนโรงแรม คืนท่ีสองนอนท่ีพักแรมของพวกขับรถบรรทุกและเป็นท่ีพักท่ีถูกท่ีสุดในจีนเท่าท่ีเคยพักมาในระยะเวลาเกือบ 3 เดือน
ลุดวิคจองห้องพักใน Booking.com เขาชวนเราไปอยู่ด้วย เกรงใจเลยตอบโอเค ระหว่างทางท่ีปั่นไปหาท่ีพักท่ีจองไว้ ก็รู้สึกว่านี่มันออกนอกเมืองมากไปแล้วนะลุง พอถึงก็หาไม่เจออีก เพราะมันไม่ใช่โรงแรม มันเป็นอพาร์ตเมนท์ปล่อยให้เช่า กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง กว่าจะได้กุญแจ ยืนสั่นดิก ๆ เลย เพราะเปียกมาตลอดทั้งสามวัน พออาบน้ำเสร็จ เอ่อ..แจ็กเก็ตเปียก เสื้อผ้าส่วนใหญ่ก็เปียก รูมเซอร์วิสก็ไม่มีเนอะ แต่เห็นแม๊คโดนัลอยู่ใกล้ ๆ น่าจะวิ่งไปถึงก่อนท่ีจะเปียก ห้องท่ีจองไม่มีเครื่องทำความร้อน อาจจะเป็นเพราะว่าคุนหมิงมีอากาศหนาวไม่บ่อยและไม่นานมั้ง เขาเลยไม่มีติดตั้งไว้ หนาวมาก อยู่ในห้องต้องใส่เสื้อผ้าตั้งหลายชั้น แต่ก็ทนอยู่ได้ตั้งสามคืน 🙂 และวันนี้เองเราได้เจอเพื่อนคนโปแลนด์อีกครั้งหนึ่ง ”บาเทค” ปั่นไล่กันมาเรื่อย ตอนนี้เขาอยู่ข้างหน้าเราแค่ 100 โลเอง คงได้เจอกันท่ีหลวงพระบาง และท่ีคุนหมิงเช่นกัน ปรากฎว่าทนไม่ไหว ”ขอตัดผม” ก่อนออกจากสวีเดนเคยตั้งใจไว้ว่าจะไม่ตัดผมจนกว่าจะถึงบ้านท่ีเมืองไทย แต่ขี้เกียจสระผมเลยเดินเข้าร้านตัดผมทั้งสองคนเลย เบาหัวดี
เราดูพยากรณ์อากาศเห็นว่าอากาศจะดีวันพฤหัส งั้นเราออกวันนั้นกันดีกว่า พอปั่นออกมาได้หน่อย ทางเริ่มแย่ แย่ และแย่ลงเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่นั้นยังมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาด้วยคือจักรยานโจคิม เขารู้สึกว่ามันครืด ๆ ท่ีกะโหลก จะไปต่อก็ไม่รู้ว่าเมืองข้างหน้าจะมีร้านมีอะไหล่ให้เราซื้อหรือเปล่า จะกลับไปคุนหมิงก็เสียดายอากาศ อุตส่าห์รอจนอากาศดี แต่กลับดีกว่า เพราะยังงัยเราก็ต้องมารอลูกพ่ีลูกน้องของโจคิมชื่อ ”กเรต้า” ท่ีจะมาร่วมทางปั่นกับเราจากมณฑลสิบสองปันนาไปหลวงพระบาง กลับหลังหัน แต่เราไม่กลับไปท่ีอพาร์ตเมนท์นั้น เราไปท่ีเกสต์เฮาส์ ซึ่งดูจากภาพแล้วน่าอยู่่กว่ามีดาดฟ้าให้นั่งชมวิว และยังได้พบกับนักเดินทางคนอื่น ๆ ด้วย เราเจอนักปั่นสองคู่่จากฝรั่งเศส ก็ได้คุยกันนิดหน่อย
บ่ายของอีกวันหนึ่งโจคิมจะไปรับ ”กเรต้า” เวชรออยู่ท่ีเกสต์เฮาส์ หลังจากท่ีเดินไปส่งโจคิมขึ้นแท๊กซี่ก็เดินกลับมาท่ีพัก เจอพี่ ๆ คนไทยเป็นอาจารย์น่าจะปลดเกษียณกันทุกคนแล้วนะค่ะ มาเท่ียวกันเป็นครอบครัวและเพื่อน ๆ ดีใจได้เจอคนไทย หลังจากท่ีโจคิมกับกเรต้ามาถึง เราจัดการประกอบจักรยานซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากร้าน Bok Bok Bike น้องหมาท่ีน่ารัก บริการประกอบแพ๊คส่งให้ถึงมือ ไม่ได้หมาท่ี Bok Bok Bike ก็ไม่รู้ทำอย่างไรเหมือนกันนะเนี่ย ขอบคุณมา ณ ท่ีนี้ค่ะ
นับวันแล้วกเรต้ามีเวลาปั่นแค่ 10 วัน เพราะฉนั้นเราจึงต้องนั่งรถทัวร์ไปลงท่ีเมืองโมเจียง Mojiang เพื่อทำเวลาไม่อย่างนั้นคงได้นั่งรถบัสเข้าหลวงพระบางอีกแน่ แต่ก่อนไปท่ีสถานีรถทัวร์เราแวะไปท่ีร้านจักรยานก่อน เพื่อเปลี่ยนอะไหล่บางส่วนท่ี ”หมา” ส่งมาพร้อมกับกเรต้า เรียบร้อยแล้วเราปั่นออกมาแต่ปั่นกันได้แค่ 5-6 โล โซ่โจคิมขาด ต้องกลับไปร้านจักรยานอีก โชคยังดีท่ีโซ่ไม่ได้ไปขาดท่ีสถานีรถทัวร์หรือไกลกว่านั้น เรียบร้อยแล้วก็ไปขึ้นรถกันเป็นรถนอน ดีเหมือนกันนะ เป็นเตียงนอนสองชั้นเรียงกันสามเตียงตามขวาง จุได้หลายเตียง นอนกันไปกว่าจะถึงเกือบสี่ทุ่ม รถทัวร์เขาก็วิ่งบนทางด่วน แต่ถ้าเราปั่นเราต้องใช้ทางเล็ก ๆ ซึ่งเคยได้ sms จากบาเทคว่าถนนแย่มาก บางครั้งเขาต้องลงมาเข็นจักรยาน มีหลุมมีบ่อเพียบ แต่จากรถทัวร์ทางน่าปั่นแถมลงเขาอีกต่างหาก ไว้ไปปั่นเพิ่มเติมท่ีเมืองไทยชดเชยเอา 😉
พอไปถึงเมืองโมเจียง เช็คอินเรียบร้อยก็ลงไปหาอะไรกินกัน เดินตามถนนใหญ่เพราะคิดว่าร้านน่าจะเปิด แต่กลับกลายเป็นว่ามีร้านเปิดคึกคักมากมายอยู่ด้านหลังถนนใหญ่นั่นเอง ฝนยังคงตกอยู่อย่างสม่ำเสมอ เช้าขึ้นมาก็ยังตก เราเตรียมเอาถุงพลาสติคมาสวมเท้าก่อนใส่รองเท้า พอปั่นออกมาได้หน่อยทางเริ่มขรุขระ แถมเป็นโคลนดินดีท่ีไม่เหนียว ทั้งสองวันเราปั่นอยู่ในถนนท่ีค่อนข้างสมบุกสมบัน จักรยานเขรอะไปหมด โชคดีท่ีเจอบ้านคน เขาบอกให้เราไปล้างรถหน้าบ้านเขาก็ได้ สุดยอด เพราะถ้ารอให้มันแห้งคงล้างยากน่าดู ต่อ ๆ มา ก็เริ่มมีเสียงตรงนั้นตรงนี้ วันรุ่งขึ้นรถเวชเปลี่ยนเกียร์ไม่ได้เลย ต้องแกะต้องเปลี่ยนหยอดน้ำมัน สงสารจักรยาน บางครั้งอยากให้ถึงกรุงเทพฯ เร็วเหมือนกันเพื่อจักรยานเราได้พัก แต่ถ้าเราดูแลมันดีหน่อย มันก็คงอยากจะออกไปเท่ียวมากกว่าจะถูกจอดไว้เฉย ๆ นะ 🙂
ช่วงท่ีเราปั่นอยู่ในเขตสิบสองปันนานั้น มันให้ความรู้สึกเหมือนปั่นอยู่ทางภาคเหนือของเมืองไทยเลย เพียงแต่ทางปั่นขึ้นเขาไม่ชันเท่าบ้านเราเท่านั้นเอง บรรยากาศโดยรอบดูร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่, สวนกล้วย, ข้าวโพด, ต้นยาง และนาข้าวเต็มไปหมด ไม่มีพื้นท่ีไหนท่ีปล่อยว่างนอกจากท่ีเป็นป่า เราปั่นเข้ามาท่ีเมือง ๆ หนึ่ง ตอนแรกคิดว่าเราไม่มีน้ำและเสบียงเพียงพอท่ีจะตั้งแคมป์ เลยคิดว่าถ้าปั่นไปอีกหน่อยเจอร้านแล้วซื้อตุนไว้น่าจะดี แต่หาไม่เจอร้านท่ีไหนเลย ดูจากจีพีเอสเห็นว่าจะมีหมู่บ้านท่ีใหญ่ขึ้นมาหน่อย เอ้า..ลองไปดู ใกล้มืดเต็มที พอไปถึงก็มีคนบอกว่ามีโรงแรมนะ ที่เดียวด้วย เราเลยแวะเข้าไปดู มันเป็นเหมือนรีสอร์ต เพราะแถวนั้นมีวนอุทยานฯ ท่ีคนจีนเขามาเท่ียวกัน ช่วงเวลาท่ีเราไปถึงนั่นน่าจะไม่ใช่ฤดูท่องเท่ียวเพราะไม่เห็นมีใครมากมายนัก ได้เวลาอาหารเย็นเราเดินออกไปเห็นเขากำลังยืนย่าง ๆ อะไรอยู่เลยเดินเข้าไปดู ได้ยินเขาคุยกัน ฟังดูแล้วไม่น่าจะเป็นภาษาจีน อาจจะเป็นลาว เลยลองทัก ”สบายดี?” เขาตอบกลับมาว่า ”สบายดี” อ่ะ โห..ดีใจสุด ๆ ยิ้มแก้มแทบปรี และตั้งแต่คืนนั้นก็ไม่ต้องเอาไอโฟนออกมากด ๆ อีกเลย เพราะไม่มีปัญหาอีกต่อไปในเรื่องการสื่อสาร ระยะทางท่ีปั่นไปทางชายแดนระหว่างจีนและลาว เป็นทางเขาขึ้นลง แต่ทางสวยมากร่มรื่นผู้คนเร่ิมยิ้มแย้มทักทายมากขึ้น ตั้งแต่เราได้กเรต้ามาปั่นด้วยแล้ว เราหาท่ีกางเต้นท์ทั้งสองท่ีดูดี วิวสุดยอด พักในสถานท่ีท่ีน่าอยู่
จนกระทั่งเราปั่นมาถึงเมืองเมงล่า (Mengla) เหลือเวลาอีกแค่ชั่วโมงเดียวก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เราปั่นไม่ได้ระยะทางเท่าไหร่ แต่ก็ขี้เกียจปั่นออกไปหาท่ีกางเต้นท์ เลยมองหาโรงแรมแทน เราเข้าท่ีพักค่อนข้างเร็ว เลยได้เดินเล่นชมเมือง เย็นวันนั้นเองเรานั่งกินข้างสวนสนุกเคลื่อนท่ี ดูเหมือนเขาจะย้ายกันไปเรื่อย ๆ อยู่ตรงนี้ 2-3 อาทิตย์แล้วก็ย้ายไปอีกเมือง เดาเอานะค่ะ มื้อนี้เราได้กินอาหารท่ีไม่ค่อยจะจีนสักเท่าไหร่ สั่งสลัด เอารูปให้ดูด้วยนะ ในรูปมีทั้งหัวหอม มะเขือเทศ ผักชี แต่พอเขายกมากลายเป็นสลัดแตงกวามาแบบยำเลยอ่ะ รสชาติไทยแท้ ๆ
จีน => จาก Mengla (เมงล่า) เข้าลาวไปหลวงพระบางถึงเวียงจันทน์
บล๊อคนี้มาข้ามประเทศเลยละกันนะค่ะ ตั้งแต่เข้าเขตมณฑลสิบสองปันนา รู้สึกสดชื่นเพราะทั้งร่มร่ืนและผู้คนท่ีน่ารักร้องทักทายตลอดทาง เราเลือกเส้นทางท่ีเลียบกับทางด่วนและเลือกไม่ผิด รถราก็น้อยมาแทบจะไม่มี ไม่ต้องปั่นลอดอุโมงค์ เขาสูงก็จริง แต่ธรรมชาติเทียบกันไม่ได้ และยิ่งมีกเรต้ามาป่ันร่วมทางด้วย สมควรท่ีจะปั่นบนทางธรรมดา ปั่น ๆ อยู่ก็มาเจอจักรยาน Recumbent Paul = พอล เป็นชาวฝรั่งเศส เขาบอกว่าเห็นเราแล้วเลยหยุดเพื่อท่ีจะทักทายกัน เป็นคนฝรั่งเศสท่ีพูดภาษาอังกฤษได้คล่องอย่างไม่น่าเชื่อ 😉 เราเลยปั่นร่วมกันจนมาถึงเมืองหนึ่ง จากนั้นตอนเช้าเขาต้องรีบไปขึ้นรถทัวร์เพราะวีซ่าจีนของเขาหมดอายุ ก็แยกกันวันนั้น
ได้กเรต้ามาเป็นทั้งเพื่อนร่วมทางและช่างกล้องด้วยเลย
ระหว่างทางและหมู่บ้านริมทางท่ีค่อนข้างเรียบง่าย
เราแวะดื่มน้ำกัน กเรต้าเห็นผลไม้หล่นอยู่ท่ีพื้น สงสัยเลยเอาขึ้นมาแกะออกดู ปรากฎว่ามันเป็นเสาวรส อร่อยดีไม่เปรี้ยวเท่าไหร่ ไม่รู้เลยนะนี่ว่าต้นมันจะใหญ่ขนาดนี้ ในท้องตลาดเราจะเห็นเปลือกมันเป็นสีเข้ม ๆ เหี่ยว ๆ
อย่างท่ีเคยเล่าให้ฟังว่าสิบสองปันนาให้ความรู้สึกเหมือนถึงเมืองไทยแล้ว ทั้งคนและบรรยากาศ มาถึงตรงนี้ต้องทั้งสถาปัตยกรรมด้วย ประตูทางเข้าหมู่บ้านและศาลาพักร้อน
ตลอดทางมานี่ ถ้ามีเวลาคงได้ถ่ายรูปกันจนการ์ดความจำเต็มแน่ ตอนปั่นขึ้นก็รู้สึกเหนื่อย จราจรท่ีไม่คับคั่งทำให้เราสามารถปั่นไปคุยกันไปได้ แถมอยากจะหยุดทำธุระส่วนตัวหรือชมวิวตรงไหนก็ได้เช่นกัน ตอนอยู่ท่ีจีน นึกปวดก็หยุดและหาท่ีแถว ๆ นั้น แต่อยู่ตรงนี้รู้สึกเกรงใจชาวบ้านนิดหน่อย เพราะท่าทางเขาถึือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ควรปกปิดบ้างไม่เหมือนคนจีน นึกจะนั่งก็นั่ง ขนาดมีต้นไม้ใหญ่ท่ีสามารถช่วยบังให้ได้ เขายังไม่ยอมใช้บริการนั้นเลย เราก็อยากจะปกปิด แต่ทางตรงนี้ก็หาท่ีทางยากหน่อย เพราะด้านหนึ่งเป็นเขา อีกด้านหนึ่งเป็นเหว อาศัยว่ารถน้อยก็ค่อยยังชั่วหน่อย
นาน ๆ ทีจะมีรูปคู่ ต้องขอบคุณกเรต้าท่ีมาร่วมวงกับเรา
ยิ่งใกล้ชายแดน ป้ายบอกทางท่ีเป็นภาษาจีนก็ค่อยลางเลือนไป กลายเป็นภาษาไทยและลาว
ถ่ายรูปกับชายแดนเสียหน่อย และตรงนี้เองท่ีเวชเปลี่ยนหนังสือเดินทางจากสวีดิชเป็นไทย คนไทยเข้าลาว ถ้ามีหนังสือเดินทางไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และสามารถอยู่ได้ถึง 1 เดือน