Turkey IIII

ตุรกี => จาก Havza (ฮัฟซา) ไป Samsun (ซัมซุน)

เมื่อคืนฝนคงจะตก ดูชื้น ๆ ไปหมด เช้านี้ตื่นขึ้นมารู้สึกล้า ๆ ชอบกล ส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบนี้กันตอนเช้า ๆ แต่พอจัดอะไรเสร็จก็กะปรี้กะเปร่าขึ้น แต่วันนี้ไม่ค่อยเหมือนวันก่อน ๆ ที่พอนั่งบนอานแล้วเราก็แฮบปี้ อาจจะเป็นเพราะเราปั่นแต่บนทางหลวงที่่น่าเบื่อ ไม่่ค่อยเจอผู้คน เอาแต่ปั่น ๆ ๆ เหมือนการเดินทางจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง เลยรู้สึกเนือย ๆ ไปหน่อย อืม…ช่วงนี้อากาศร้อน ตอนนี้ตามปั้มเขาเริ่มมีน้ำผลไม้เย็น ๆ ให้ดื่ม เมื่อวันก่อนเป็นครั้งแรกที่เห็นเขาให้ดื่ม “Ayran ไอรัน” ที่ส่วนใหญ่เราต้องสั่งและเสียตังค์ มันคือส่วนผสมของโยเกิร์ตรสธรรมชาติครึ่งหนึ่งและน้ำอีกครึ่งหนึ่ง เขย่าให้เข้ากันแล้วดื่ม ตั้งอยู่ข้าง ๆ เตาต้มชา ก่อนหน้านี้ยังคิดอยู่ว่าร้อนอย่างนี้แล้วเขาไม่รู้สึกอยากดื่มอะไรเย็น ๆ บ้างหรืองัย เหอะ ๆ มาตั้งให้เห็น ๆ เลย แรก ๆ เขาชวนเราก็อึกอักเกรงใจ หลัง ๆ มานี่ “ลุทเฟน :)” แปลว่า yes please และบางครั้งเราก็แบ่งขนมให้เขาบ้าง แล้วแต่สถานการณ์และจำนวนคน 😉

บ่นว่าร้อนพอเขามีน้ำเย็น ๆ มาเลี้ยงกลับอยากดื่มชาร้อน ๆ เพราะบังเอิญฝนตก อากาศเลยเย็นนิดหน่อย

บ่นว่าร้อนพอเขามีน้ำเย็น ๆ มาเลี้ยงกลับอยากดื่มชาร้อน ๆ เพราะบังเอิญฝนตก อากาศเลยเย็นนิดหน่อย

ปั่นออกมานอกเมืองนิดหน่อยมาเจอกาน้ำยักษ์ กานี้น่าจะเลี้ยงได้ค่อนประเทศ ;-)

ปั่นออกมานอกเมืองนิดหน่อยมาเจอกาน้ำยักษ์ กานี้น่าจะเลี้ยงได้ค่อนประเทศ 😉

เมื่อเช้าอืดอาดกันได้สักพัก ปั่นออกมาได้หน่อย ก็ไปหาอะไรกินตอนบ่าย ๆ เรามาแวะตรงที่รถบรรทุกเขามักจะแวะกินข้าวกันข้าง ๆ ปั้มนั่นแหละ เห็นเด็กที่ปั้มฉีดน้ำล้างรถใหญ่กัน รถเข้าออกกันหลายคัน นั่งกินไปได้สักพัก ก็สังเกตุเห็นว่า ถ้าคนขับรถบรรทุกไม่สั่งอะไรที่ร้านมากิน เด็กที่อยู่ตรงลานล้างรถจะไม่ฉีดน้ำล้างให้ เหอะๆๆ ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนมั้ง เขามีอุปกรณ์ที่สร้างสรรค์ดีนะ คือเอาสายยางมาติดตรงด้ามจนถึงหัวแปรง จะได้ขัดไปฉีดน้ำไปในตัวเสร็จ

อาหารเที่ยง

อาหารเที่ยง

เด็กล้างรถ ด้วยอุปกรณ์ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

เด็กล้างรถ ด้วยอุปกรณ์ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

ระหว่างทางที่ปั่นจากเมืองฮัฟซ่า รู้สึกว่าตุรกีจะอุดมไปด้วยน้ำ ดูท่าเฟงชุยเขาจะดี เพราะมีทั้งทะเล ภูเขาและน้ำ ฝนตกเลยทำให้น้ำในลำธารขุ่นข้นเพราะดินที่ถูกชะล้างมา ช่วงที่ปั่นเข้าเมือง ถ้าฝนไม่ตกจะสนุกกว่านี้ เรามาจอดที่ปั้มแห่งหนึ่ง เพื่อเช๊คเมลย์ เพราะติดต่อกับสมาชิกวอร์มเชาเวอร์ไว้ แต่ที่ปั้มไม่มีเน๊ต ไหน ๆ จอดแล้วก็ขอแวะทำธุระเลยละกัน ดีกว่าไปจอดทำข้างทาง 🙂 ระหว่างที่รอโจคิม ก็หาเรื่องมาคุยสัพเพเหระ คุณเวชถนัดฮ่ะ เรื่องเม้าท์มอยไม่มีสาระ เขาชวนดื่มน้ำส้มเย็น ๆ เราไม่เกรงใจแล้วนะ “ลุทเฟน = ขอบคุณค่ะ” เชิญแล้วยังกดให้ด้วยอีกนะ สุดยอดคนตุรกี กดเสร็จเห็นเขาเดินไปที่จักรยานเวช ชี้ไปที่ขวดน้ำที่เหลือน้ำอยู่นิดหน่อย ทำสัญญาณประมาณว่าเอาน้ำส้มไปกินด้วยมั้ย อ่า “ลุทเฟน” กดให้อีกเต็มขวด-ลิตรครึ่ง โอ..น้ำใจเหลือเฟือ

ได้น้ำส้มแล้วเลยลา :)เปล่า ก็คุยกันอีกนิดนึง ถ่ายรูปสักใบ แล้วก็ลากัน จากตรงนั้นก็ไหลลงอย่างเดียวเป็นระยะทาง 6-7 กม. แดดไม่มีและฝนทำท่าจะตก จอดค่ะจอด ขอเสื้อใส่อีกตัว ร้อนก็บ่นเย็นก็บ่น มนุษย์นี่หนอ เราไม่ด่าทอเทวดา 🙂 ปั่นลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาเจอจุดตรวจน้ำหนักรถบรรทุก อากาศเริ่มเย็นมากขึ้น เราเลยจอดเพื่อใส่เสื้ออีกตัว ใส่หลาย ๆ ชั้นดีกว่าใส่ตัวหนา ๆ ตัวเดียว ถึงเวลาหนาวก็ใส่เพิ่มตัวนึง ร้อนก็ค่อยถอดออกทีละตัว จอดอยู่สักพักจนรู้สึกอยากชั่งจักรยานบ้าง เลยลองทำสัญญาณส่งไปว่าขอเข้าไปชั่งได้มัย อืม…ได้ผลด้วย เขาเข้าใจ โบกไม้โบกมือใหญ่ สรุปมัวแต่เม้าท์เลยไม่เห็นว่าเราและจักรยานหนักเท่าไหร่ เฮ้อ..ก็ดีเหมือนกันนะ ไม่อย่างนั้นคงบั่นทอนกำลังขาน่าดู เพราะรู้สึกว่าเราแบกกันมามากเกินไป 🙂

จุดชั่งน้ำหนักรถบรรทุก ห้ามหนักเกิน 42000 กก.

จุดชั่งน้ำหนักรถบรรทุก ห้ามหนักเกิน 42000 กก.

น้องคนขวามือสุด เป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ ส่วนคนตรงกลางทำหน้าที่คุ้มครอง (Security) ขี้เล่นมาก

น้องคนขวามือสุด เป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ ส่วนคนตรงกลางทำหน้าที่คุ้มครอง (Security) ขี้เล่นมาก

อีกด้านหนึ่งของสำนักงานและเพื่อนร่วมงาน

อีกด้านหนึ่งของสำนักงานและเพื่อนร่วมงาน

พอเม้าท์กันได้สักพัก ขั้นตอนต่อไปก็ “ดื่มชามั้ย?” – “ลุทเฟน” เพราะหนึ่งอากาศเริ่มเย็น ๆ ได้ชาร้อน ๆ ก็ดี สองมีเด็กคนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษได้ ถ้าเราสามารถสื่อสารกันได้ก็อยากจะหยุด แชร์ประสบการณ์กันได้ เขาถามเราเราถามเขา นั่นแหละ คุยกันไปคุยกันมา เอ่อ…เห็นหยดน้ำจากฟ้าแปะ ๆ ลงมา ท่าจะต้องไปต่อก่อนที่หยดน้ำจะชวนพรรคพวกมากันเยอะกว่านี้ เราหวังว่าหยดน้ำเหล่านั้นจะถอยทัพไปในอีีกไม่ช้า แต่ขอโทษ กลับพาพรรคพวกแห่กันมา เราเลยเปียกมะล่อกมะแล่ก เพราะใส่แต่เสื้อกันฝน เปียกไปถึงกางเกงปั่นจักรยาน มีช่วงหนึ่งเห็นรถเก๋ง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นฮอนด้า เปิดไฟฉุกเฉินจอดอยู่ข้างหน้าเราไป 200-300 เมตร เอ่อ… จอดทำไม อยากจะคุยอะไรกับพวกฉันตอนนี้!!! พอเราไปใกล้ ๆ เขา เห็นเขาเอาเสื้อกันฝนมาใส่และออกมารอเรา เชื่อหรือไม่เชื่อค่ะ!!! เขาจอดแล้วบอกให้เราเอาจักรยานและสัมภาระขึ้นรถแล้วนั่งไปกับเขาเถอะ ฝนตกแบบนี้ปั่นไม่ไหวหรอก [ประโยคสุดท้ายเสริมเองค่ะ :-] งงไปสักพัก ถ้าเป็นรถกระบะเราคงคิดแล้วคิดอีก นี่เป็นรถเก๋งแถมสีขาว แต่ไม่รู้ข้างในเป็นยังงัย ถ้าปั่นขึ้นเขาเราอาจจะถอดใจนั่งไปกับเขาก็ได้ แต่ตอนนั้นเป็นทางลาดลง ก็อีก 20 กม.ได้ ถ้าขึ้นไปกับเขาสงสัยต้องไปช่วยเขาจ่ายค่าล้างเบาะ เกรงใจอีกอย่างอากาศไม่ได้เย็นมากถึงขั้นหนาว ไม่เหมือนที่โรมาเนีย ตอนนั้นที่ปั่นอยู่บนเขาแล้วหิมะตกหนัก ตอนนั้นแหละ ถ้ามีใครมาจอดถาม ไม่ใช่! ถ้ามีรถผ่านมามากกว่า เพราะตอนนั้นรถยนต์เองก็มีปัญหากับการขับเคลื่อนบนหิมะ แต่ที่ตุรกีนี่เราแค่เปียกโชก แวะปั้มเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้ง ใส่กางเกงกันฝน ใส่เสื้อผ้ากันหนาวและแจ๊คเกตกันฝนก็พร้อมที่จะปั่นต่อเข้าเมืองได้

กว่าจะถึงเมืองและหาที่พักได้มืดพอดี โรงแรมแรกเต็ม เขาเลยแนะนำให้ไปอีกที่หนึ่งใกล้ ๆ พอเราไปถึง ได้เจอเจ้าของ เขาสนใจว่าเราปั่นมาจากไหนและจะไปไหนต่อ คุยกับโจคิมเป็นภาษาเยอรมัน โจคิมกับเด็กที่โรงแรมเอาจักรยานไปจอด เขาก็หันมาบอกเวชว่าให้ขึ้นไปดูห้องคือให้ไปเลือก เห็นเขากดลิฟต์ไปชั้น 6 เบอร์สุดท้าย แถมยังต้องขึ้นบันไดอีกนิดนึง เปิดห้อง เห็นแล้วก็ชอบไม่ต้องไปดูอีกห้องหนึ่งเลย ห้องเล็กก็จริงแต่มีระเบียงที่ใหญ่มาก ความยาวยังยาวกว่าห้องอีก แถมมีอ่างอาบน้ำจากุสซี่ เด็กที่พาขึ้นมาเขาคงนึกว่าเราคงจะใช้อาบและแช่น้ำ แต่ในใจเราคิดว่า “เยส..วันนี้มีอ่างให้ซักผ้าแล้ว 🙂 และยังตากผ้าได้ด้วย สุดยอด”

ถึงเมืองซัมซุนมืดพอดี เพราะนั่งคุยกันนานไปหน่อย ซ่อมทาง ฝนตกด้วยเปียกไปหมด เลยทำอาหารกินกันที่ระเบียงเสียเลย

ถึงเมืองซัมซุนมืดพอดี เพราะนั่งคุยกันนานไปหน่อย ทางอยู่ในระหว่างซ่อมแซม ฝนตกด้วยเปียกไปหมดเลยทำอาหารกินกันที่ระเบียงเสียเลย

ตุรกี => จาก Samsun (ซัมซุน) ไป Giresun (กีเรอซุน)

อยู่ต่อที่ซัมซุนอีกหนึ่งวัน ไปกินข้าว เดินเที่ยวไปทางริมทะเลดำ ซัมซุนเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคนี้ คนตุรกีเองก็มาเที่ยวเองด้วย มีเรือใหญ่ ๆ มาจอดมากมาย วันนี้ฝนตกอีกแล้ว แฉะ ๆ เลยกลับมาที่โรงแรม เจอคนที่ทำงานชั่งนน.รถบรรทุกที่เราแวะเมื่อวันก่อนด้วย เขายังจำเราได้ อิอิ เหมือนเดินอยู่แถวบ้านแล้วมีคนรู้จักมาทักทาย 🙂 โจคิมซื้อเบียร์กระป๋องที่ร้านข้างทาง ท่าทางร้านนี้ยิ่งละอายกลัวบาปกว่าที่อื่นมั้ง เพราะเอาเบียร์ห่อกระดาษนสพ.แล้วค่อยใส่ในถุงหูหิ้วสีดำ เขาไม่ได้หยิบจากตู้ข้างนอกที่โชว์อยู่ แต่หยิบจากตู้ข้างในร้านแล้วห่ออย่างเรียบร้อย ตอนนี้เวลาเดินไปไหนเห็นใครหิ้วถุงดำ 99.99% น่าจะเป็นเบียร์น้ำดื่มต้องห้าม 😉

ภาพในเมืองซัมซุนริมทะเลดำ

ภาพในเมืองซัมซุนริมทะเลดำ

อตาเติร์ก-ทหารยศพันโทที่รวบรวมกำลังพลทหารกู้ตุรกียึดอำนาจจากสุลต่าน

อตาเติร์ก-ทหารยศพันโทที่รวบรวมกำลังพลทหารกู้ตุรกียึดอำนาจจากสุลต่าน

รถตู้เยอะแยะเหมือนแถวสนามหลวงบ้านเราเลย มีคนออกมายืนเรียกผู้โดยสารด้วย

รถตู้เยอะแยะเหมือนแถวสนามหลวงบ้านเราเลย มีคนออกมายืนเรียกผู้โดยสารด้วย

ในถุงดำมีอะไรเอ่ย???

ในถุงดำมีอะไรเอ่ย???

กินข้าวอิ่มแล้ว แต่พอเดินผ่านร้านของหวานก็อดใจไม่ได้ ต้องแวะเสียหน่อย ซื้อมาอย่างละชิ้นสองชิ้น ไม่แพงมาก รู้งี้ซื้ออีกหน่อยก็ดี 🙂 กลับมาที่โรงแรมเราแวะชงกาแฟเอาขึ้นไปดื่มบนห้องกับขนมหวานที่ระเบียง ช่างมีความสุข

ร้านเค้กและขนมหวานที่ดูน่ากินไปหมด

ร้านเค้กและขนมหวานที่ดูน่ากินไปหมด

เช้าวันต่อมา เห็นอากาศแล้วไม่อยากจะไปไหนเลย ฟ้ามืดอีกแล้ว แต่ดีตรงที่ไม่หนาว ลมไม่แรง และแล้วฝนก็ตก เปียกแฉะไปหมด และทางที่จะออกจากเมืองซัมซุนกำลังซ่อมแซมถนน ที่นี้เลยเขรอะเลอะดินโคลนทั้งกระเป๋าและจักรยาน ตัวก็เปื้อนโคลนเต็มหน้าเต็มตัวไปหมด

ภาพจักรยานที่เลอะเทอะ ผลลัพธ์จากการปั่นผ่านตรงที่เขากำลังซ่อมแซมถนนกัน

ภาพจักรยานที่เลอะเทอะ ผลลัพธ์จากการปั่นผ่านตรงที่เขากำลังซ่อมแซมถนนกัน

ออกมาได้นิดนึงก็เที่ยงวันเลยแวะกินข้าวเที่ยงก่อน และคุยกัน โจคิมรู้สึกไม่ค่อยมีอารมณ์เพราะต้องย้ายต้องเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อย ๆ ส่วนเวชแค่เบื่อตอนที่ต้องแพ๊คของก่อนปั่น แต่พอปั่นออกมาได้สักพักรู้สึกปั่นสบายเพราะทางลาดลงนิด ๆ ทำให้รู้สึกเหมือนปั่นเสือหมอบ วันนี้ทำความเร็วได้ตั้ง 24 กม./ชม. ไม่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ปั่นออกจากสวีเดนเลยมั้ง อืม…มีครั้งหนึ่งที่ปั่นจากสโลวาเกียเข้าฮังการี นั่นแทบไม่ต้องปั่น เพราะพายุดันหลังมาตลอด ตอนนั้นปั่นเหมือนปั่นไปหน้าปากซอยซื้อขนมที่เซเว่นมากกว่า แต่ความเร็วอยู่ที่ 35-40 กม./ชม. 🙂

ปั่นกันมาได้ 74 กม.ใช้เวลาแค่ 3 ชม. ถ้ารู้ว่าทางลาดลงปั่นสบายอย่างนี้ คงจะออกมาเร็วกว่านี้ ไม่อย่างนั้นวันนี้น่าจะปั่นได้มากกว่าร้อยโลแน่ เสียดาย เราแวะปั้มทำธุระกันหน่อย พอเวชเดินเข้าไปก็เห็นมีคุณป้าคนหนึ่งกำลังล้างมือ เธอหยุดกิจกรรมนั่นแล้วหันมาพ่นเตอร์กิชใส่ยาววว เอ่อ..เขาไม่เห็นความแตกต่างว่าใครเป็นนักท่องเที่ยวใครเป็นเตอร์กิชหรืองัย เงียบไปสักพัก คาดว่าคงจะพยายามหาคำ แล้วคุณป้าก็ทำลายความเงียบด้วย “boys and girls” อ้าวเฮ้ย!!! แหม..เห็นหน้าอกหน้าใจฉันมีน้อย ๆ แต่ฉันก็ยังต้องนั่งฉี่อยู่นะเว้ย เฮ้อ..ไม่เคยเห็นผู้หญิงผมสั้นหรืองัยหึ

เราพักที่เกสเฮาส์ติดทะเลดำ ได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งด้วย เพลินไปเลย ก่อนออกจากที่พักเราจัดการเอาน้ำใส่ขวดมาฉีดล้างรถที่เขรอะมาจากเมื่อวาน เลยเห็นซี่ล้อที่อยู่ใกล้กับล๊อค “งอ” รู้ทันทีว่าทำไม ต้องเป็นเด็กที่โรงแรมที่พยายามยก (น่าจะลากมากกว่า) จักรยานเรามาจากที่จอดรถซึ่งอยู่ห่างออกไปสัก 200-300 เมตร ฮึ่ม…หาเรื่องให้พวกฉันอีกแล้ว เลยย้ายเอากระเป๋าสองใบข้างหลังที่หนักกว่ามาไว้ข้างหน้าแทนเผื่อว่าจะยืดอายุมันได้หน่อย

เราปั่นมาตามทางหลวงเลียบทะเลดำ สวย ชอบมากเลย แต่แวะยากเพราะเราปั่นอยู่อีกฝากถนนหนึ่ง เลยชมจากอานแทน ได้แต่เอาเท้าแช่น้ำทะเล ยังไม่กล้าลงทั้งตัว กลัวหนาว รออีกหน่อยเห็นเขาว่าสักปลาย ๆ พค.นี่แหละน้ำจะอุ่นขึ้น เมื่อคืนเรานอนที่เกสเฮาส์ ลองต่อราคาเขาดูจาก 50TL เป็น 40TL แต่อีตาเจ้าของมันกลับย้อนศรเรา บอกว่า “เอามั้ย? จ่ายเพิ่มอีก 10TL ได้อาหารเย็น” เป็นไปได้มั้ยว่า มันเป็น bed & breakfast แต่พอเราต่อปุ๊บเลยกลายเป็น bed & dinner แทน อืม..น่าคิด

อาหารเย็นที่ Bed & Dinner รสชาติน้ำแกงเหมือนมาม่าต้มยำเลยอ่ะ แถมยังใส่ข้าวลงไปด้วยนะ เหมือนนั่งกินอยู่ริมทะเลบางแสนสมัยวัยเอ๊าะ ๆ เลย

อาหารเย็นที่ Bed & Dinner รสชาติน้ำแกงเหมือนมาม่าต้มยำเลยอ่ะ แถมยังใส่ข้าวลงไปด้วยนะ เหมือนนั่งกินอยู่ริมทะเลบางแสนสมัยวัยเอ๊าะ ๆ เลย

เช้าเราเลยออกกันแต่เช้าหน่อยแล้วไปหาอะไรกินตามทาง ปั่นมาเจอคาร์ฟูเอ๊กเพรส จอดซื้ออาหารเช้ากินกัน นั่งกินได้สักพัก ก็เห็นจักรยานคันหนึ่ง แบกสัมภาระเหมือนเราเล้ย เย้ๆๆ ในที่สุดเราก็ได้เจอเพื่อนนักปั่นทางไกลเป็นครั้งแรก “ทอม” เป็นคนที่เลี้ยวเข้ามาก่อน คุยกันได้นิดนึงก็มีอีกสองคันเลี้ยวตามมาคือ “นิค” และ “อาเธอร์” พวกเขาเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเรามาก่อนแล้วจากปั้มห้าดาวที่เราเคยพักหลังจากที่ออกจากบ้านเพื่อนที่เมืองซอนกูลดัค ทอมและนิคเจอกันโดยบังเอิญที่ซอนกูลดัค ส่วนอาเธอร์เป็นเพื่อนของนิคซึ่งบินมาจากอังกฤษมาร่วมเดินทางกับนิคจากเมืองซัมซุนไปเมืองหลวงของประเทศจอร์เจียคือทิบลิซิและจะบินกลับอังกฤษ ทอมจะปั่นไปเมืองไทยโดยจะปั่นเข้าอินเดียแล้วค่อยหาทางออกจากอินเดียเข้าไทย ส่วนนิคตั้งใจและปั่นเพื่อสะสมเงินทุนช่วยเหลือเด็กที่ด้อยการศึกษาที่อินเดียและจบทริปของเขาที่นั่น หลังจากที่คุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับเส้นทางและความประสงค์ของแต่ละคนแล้ว เราทั้งห้าคนก็ปั่นไปด้วยกัน ตั้งใจไว้ว่าจะปั่นให้ได้มากที่สุดหรือจนกระทั่งแสงตะวันแห่งวันจะมืดดับไป แล้วมันก็มืดดับไปจริง ๆ เพราะเรามัวแต่ตระเวณหาที่พัก หาซื้อปลาสดที่ทอมอยากทำกินมาก ๆ และเพราะทางเลียบทะเลดำมีหมู่บ้านและคนอยู่กันเยอะมาก ทำให้เราหาที่กางเต้นท์ลำบาก อีกอย่างคือด้านนึงเป็นทะเล อีกด้านนึงเป็นเขา แต่ในที่สุดเราก็ปั่นออกมานอกเมืองหน่อย และสามารถกางเต้นท์ที่ปั้มแห่งหนึ่งที่มีที่ทางพอสำหรับเต้นท์ 4 หลัง เฮ้อ…วันนั้นก็ปั่นกัน 140 กม.

ได้เพื่อนนักปั่นชาวอังกฤษตั้ง 3 คนพร้อมกัน แต่เรายังคงรอที่จะเจอกับนักปั่นที่ปั่นมาจากเอเซียอยู่

ได้เพื่อนนักปั่นชาวอังกฤษตั้ง 3 คนพร้อมกัน แต่เรายังคงรอที่จะเจอกับนักปั่นที่ปั่นมาจากเอเซียอยู่

ตุรกี => จาก Giresun (กีเรอซุน) ไป Trabzon (ทรับซอน)

เมื่อคืนพอจัดแจงกางเต้นท์ อาบน้ำ เอ่อ..ห้องน้ำที่ตุรกีเป็นแบบนั่งยอง ๆ เหมือนบ้านเรา นั่นก็ทำให้เราสามารถอาบน้ำได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าห้องน้ำเขาจะเปียก แต่อีกสามคนไม่อาบกัน เขาคิดว่ากระบวยตักน้ำสกปรก แต่เวชกะโจคิมคิดว่าเราสกปรกกว่าถ้าไม่อาบต่างคนต่างความคิด ดีที่ไม่ได้นอนเต้นท์เดียวกัน แฮ่ๆๆ ชำระร่างกายกันแล้ว เราก็เริ่มทำอาหารกินกัน เริ่มด้วยทอมหมักปลาด้วยเครื่องเทศสารพัดที่เขาขนมา ซึ่งใส่ในขวดแก้ว ขนาดเวชจะเอายาหม่องของแม่มาด้วย ยังอุตส่าห์แคะมันออกมาใส่ในกระปุกพลาสติคแทน นี่พี่ทอมแพ๊คมาแบบครึ่งโหลเลยอ่ะ นับถือ!! แต่ให้เราถือมาด้วยคงต้องคิดดูอีกหลายตลบ ขนาดถุงเท้าเรายังชั่งดูว่าคู่ไหนหนักกว่ากันเลย คงไม่ต้องคิดว่าจะแบกกระปุกแก้วมาด้วยแน่ ทอมน่ารักมาก เขาทำอาหารให้พวกเรากินกันก่อนและของเขาทำทีหลัง มื้อนี้พิเศษหน่อยคือมีทอมมาทำให้กิน ได้กินปลาที่ได้รับการปรุงอย่างดี เสร็จภารกิจแล้วทุกคนก็เข้านอน เท่านั้นเอง ก็ได้ยินเสียงฝนแปะ ๆ ๆ ๆ มาเรื่อย ตอนนั้นก็นอนจินตนาการไปไกลแล้วว่าถ้ามันตกหนัก ๆ นี่น้ำจะท่วมเข้าเต้นท์หรือเปล่าน้อ ที่คิดอย่างนี้เพราะเรากางเต้นท์กันบนพื้นกระเบื้อง ซึ่งน้ำจะไม่ซึมแต่จะนองแทน แต่ด้วยความเหนื่อยก็ปล่อยให้ความคิดล่องลอยเลือนหายไป มารู้สึกตัวอีกทีก็โจคิมมาสะกิด “เก็บถุงนอนดีกว่า” เพราะมันเป็นขนเป็ดที่ไม่ควรเปียก ของทุกอย่างย้ายไปย้ายมา แต่มีใบหนึ่งจะมีแต่เสื้อผ้าของใช้ที่เปียก ของเรายังเก็บทัน แต่เห็นนิคเอาถุงนอนออกมาบีบน้ำได้เลย แล้วเราก็เลยสรุปกันว่าคืนนี้ควรจะเช็คอิน นอนโรงแรมหรือเกสเฮาส์ถูก ๆ แล้วหาที่ตากอุปกรณ์เครื่องนอน เพราะของเราก็ไม่ใช่ว่าแห้งสะทีเดียว

ที่กางเต้นท์ตรงระเบียงของปั้มตอนเช้าเขายังมาตะโกนเรียกให้ตื่น ภาพนี้หลังจากที่พยายามเก็บถุงนอนและของใช้อื่น ๆ ที่ไม่ควรเปียกน้ำ

ที่กางเต้นท์ตรงระเบียงของปั้มตอนเช้าเขายังมาตะโกนเรียกให้ตื่น ภาพนี้หลังจากที่พยายามเก็บถุงนอนและของใช้อื่น ๆ ที่ไม่ควรเปียกน้ำ

เราเก็บข้าวของเสร็จแล้ว แต่พวกเขายังอีกสักพัก เลยขอตัวออกไปก่อน เพราะรู้สึกว่าพวกเขาปั่นกันเร็วกว่าเรานิดนึง มาเช็คทีหลังเห็นว่าความเร็วต่างกันแค่ 1 กม. เขาปั่น 27 ส่วนเรา 26 กม./ชม. และอีกอย่างคือปั่นกัน 5 คนมันเยอะเกิน มีครั้งหนึ่ง อาเธอร์ซ่าไปนิด ริจะดูดตามหลังรถบรรทุก ปรากฎว่าล้มค้าบบบ เพราะขณะที่เขาเอื้อมมือจะไปจับท้ายรถ เสียหลักเลยล้มกลิ้งไป ดีที่เจ็บไม่มากและจักรยานก็ไม่มีปัญหา จัดโซ่หน่อยก็ไปกันต่อ ประมาณ 10 กม.ข้างหน้า เราจะแยกทางกันแต่ก็ไปเจอกันข้างหน้า เพราะทางที่เราเลือกนั้นเป็นทางเรียบต้องลอดอุโมงค์ที่ยาวที่สุดในตุรกีคือ 3 กม.แต่ก่อนที่จะลอดเข้าอุโมงค์ที่ยาวที่สุด ล้อหลังโจคิมแบน อีกแล้ว ครั้งที่สี่ เอ..ถ้าแบนเพราะที่เคยปะไว้ไม่ดีจะนับมั้ยนะ? ควรจะนับเนอะ เราจะได้ชนะโจคิมขาดลอย 🙂 4-0

ช่วงนี้ไม่ค่อยถ่ายรูปกัน เพราะทางเรียบถนนใหญ่อยากไปกันเร็ว ๆ จะหยุดก็เฉพาะตอนที่ต้องเข้าอุโมงค์ เพราะต้องเปิดไฟท้าย ถ้าอุโมงค์ยาวเป็นกิโลก็จะใส่เสื้อสะท้อนแสงอีกตัว รู้สึกปลอดภัยดียอมร้อน หลัง ๆ มานี่ในอุโมงค์มักจะมี เฮ้อ…เขาเรียกไรหว่า ที่มันเป็นก้อน ๆ สี่เหลี่ยมบ้างกลม ๆ บ้าง ตรงใกล้ ๆ ฟุตบาธ เหมือนเตือนพวกรถยนต์ว่าขับใกล้ฟุตบาธเกินไปแล้ว มันใหญ่ประมาณเท่ากำมือ แค่เห็นก็หนาว ต้องพยายามไม่ปั่นไปแตะมัน อาจเสียหลักได้ ตื่นเต้นน่าตกใจดี แฮ่..

เห็นว่าไม่ค่อยมีรถเลยขอแช๊ะสักภาพในอุโมงค์ แต่อู่นี้ไม่มีเจ้าก้อนสี่เหลี่ยมที่เวชพูดถึงเนอะ เสียดายไม่มีให้เห็นแต่ก็ดีที่ไม่มีที่สถานที่จริง ;-)

เห็นว่าไม่ค่อยมีรถเลยขอแช๊ะสักภาพในอุโมงค์ แต่อู่นี้ไม่มีเจ้าก้อนสี่เหลี่ยมที่เวชพูดถึงเนอะ เสียดายไม่มีให้เห็นแต่ก็ดีที่ไม่มีที่สถานที่จริง 😉

เวลาเราแวะปั้มต่างคนต่างวิ่งไปหาซื้อของกิน เห็นทอมยืนรออะไรยู่ที่หน้าตู้ขายอาหาร เลยไปดู อ่า..เขารอซื้อชี้คคืฟเตอะ มันคือถั่วชนิดหนึ่งเอามาบด ใส่เครื่องเทศแล้วนวด ๆ ให้เข้ากัน ดูในกาละมังน้อย ๆ ของเขาแล้วนึกถึงถาดขายเครื่องแกงบ้านเรา แต่ที่ตุรกีนี่เขาเอามาใส่ในในขนมปังแผ่นบาง ๆ วางเป็นก้อน ๆ แลวเอาผักวางม้วนยาว ๆ เหมือนโรตี เลยซื้อมากินมั่ง เราปั่นออกมาก่อนตามเคย แต่เราก็นัดกันว่าจะปั่นกันประมาณกี่กิโลและกี่โมงถึงจะหยุด เรามาหยุดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่คิดมาสะดวกกับเขาที่จะเห็นเราและจอดจักรยานได้ง่าย เราสั่ง “พิเด้” มันคือเตอร์กิชพิซซ่ามาแบ่งกันกิน เพราะเที่ยงกินเยอะไม่ไหวจะหลับเอา

พิเด้ ร้านนี้อร่อย และไม่เคยเห็นที่ไหนที่เขาทำแบบยาว ๆ อย่างนี้มาก่อน กรอบอร่อย

พิเด้ ร้านนี้อร่อย และไม่เคยเห็นที่ไหนที่เขาทำแบบยาว ๆ อย่างนี้มาก่อน กรอบอร่อย

วันนี้ตามลมปั่นสบาย ๆ ได้ระยะทาง และที่ปั้มสุดท้ายนี่เองที่เรารอพวกเขาทั้งสามคนแล้วปั่นเข้าเมืองพร้อมกัน เมื่อวานเราตัดสินใจว่าจะนอนตามเกสเฮาส์ เพราะฉนั้นก็ควรจะเช็คหาที่พักก่อนที่จะเข้าเมือง ตอนที่กำลังมอง ๆ หาที่พักกันอยู่ อ้าว..ล้อหน้าเวชฟีบ ๆ แบน ๆ ไปเสียแล้ว โจคิมตีไข่แตกแล้ว 4-1 เราเลยอยู่เฝ้าจักรยานและปะล้อไปด้วย พวกเขาเดินหาที่พักได้ราคาคนละ 25TL ใช้ได้ถูกดี ห้องก็โอเค มีที่จอดรถจักรยานและยังสามารถกางเต้นท์ที่เปียก ๆ ให้แห้งได้ด้วย

ล้อหน้าเวชแบนเป็นครั้งแรก โจคิมตีไข่แตกแล้ว ตอนนี้ 5-1 ยางเวชแบนจากลูกแม๊กซ์เพราะเข้าใกล้ความซิวิไลซ์หรืองัย ;-)

ล้อหน้าเวชแบนเป็นครั้งแรก โจคิมตีไข่แตกแล้ว ตอนนี้ 5-1 ยางเวชแบนจากลูกแม๊กซ์เพราะเข้าใกล้ความซิวิไลซ์หรืองัย 😉

กว่าทุกคนจะอาบน้ำและพร้อมที่จะออกไปกินข้าวกันก็ดึกอีกแล้ว แต่ร้านอาหารที่ตุรกีเปิดค่อนข้างดึก เราสั่งอาหารง่าย ๆ กินกัน ที่เรากางเต้นท์เมื่อคืนทอมซื้อไอศครีมฝากทุกคน กินกันหลังอาหารเย็น และอีกปั้มหนึ่งอาเธอร์ก็เอาไอติมมาแจกทุกคนอีก คืนนี้หลังอาหาร พวกเราเลยขอเลี้ยงขนมหวานตุรกีเขา อิ่มกันไป มันเจริญอาหารเนอะ เวลาที่ได้นั่งกินไปด้วยคุยกันไปด้วย เวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช๊คบิลเรียบร้อยแล้ว ออกไปเดินเล่นกันนิดหน่อย เจอร้านขายขนมหวานอีกแล้ว อาเธอร์กับเวชเหมือนกันตรงที่เห็นของหวานไม่ได้ อิ่มแล้วแต่ขอเข้าไปดม ๆ หน่อยก็ยังดี เขาก็เชียร์ให้ซื้อ ร้านแรกอดใจได้ ร้านที่สอง เอ้า..ลองสักสองชิ้นถึงแม้จะบอกเขาว่าเราอิ้มอิ่ม พอจะจ่ายตังค์เขาว่าเอาไปชิมละกันฉันให้ โห้ย..อะไรจะใจดีขนาด นี่ของขายนะยังมีการให้กินกันฟรี ๆ อีก อาจจะเป็นเพราะว่ามันดึกแล้วก็ได้นะ

เช้าวันรุ่งขึ้นนิคกับอาเธอร์เดินทางต่อ เพราะอาเธอร์มีเวลาน้อย อีกอย่างพวกเขาอยากปั่นขึ้นเขาตามเส้นทางที่คุณสว่างเคยส่งลิ้งค์มาให้พวกเราคือขึ้นเขาเมสเทีย ยังไม่ได้ข่าวจากเขา ไม่รู้ปั่นขึ้นไปได้หรือเปล่า ส่วนเราแยกกับทอมเพราะเราอยากขึ้นไปชมวิหารสุเมล่า อ่านรายละเอียดตามลิ้งค์นี้ได้ค่ะ วิหารสุเมล่า มีรถเที่ยวเดียวตอน 10 โมงเช้าและกลับเข้าเมืองตอนบ่ายสาม กว่าเราจะออกจากที่พักหารถตู้เข้าเมือง สายไปแล้ว ตอนแรกคิดว่าอาจจะหารถนั่งกันไปเอง แต่ท่าทางจะใช้เวลานานกว่ารถทัวร์ เลยไปเดินเล่นแทน อากาศร้อนพอสมควร มองไปมองมาเห็นมีคนนั่งอยู่บนดาดฟ้าของโรงแรมใกล้ ๆ เลยขึ้นไปนั่งดริ้งชมวิวกัน

วิวจากดาดฟ้าโรงแรมในใจกลางเมือง

วิวจากดาดฟ้าโรงแรมในใจกลางเมือง

ได้เวลากลับที่พักนอกเมืองละ เดินมาได้หน่อย ได้ยินเสียงเขาเล่นดนตรีเลยเดินตามเสียงไป ก็เห็นว่าเขามีนิทรรศกาลแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับประเทศเพื่อนบ้านแถบนั้น เราเห็นบูธของจอร์เจียกับอัซเซอร์ไบจานก่อน พอได้ข้อมูลและแผนที่ก็ไปจ๊ะเอ๋กับธงไทย เดินไปถึงน้องผู้หญิงยิ้มให้ แต่ยังติดพันกับคนที่มาถามรายละเอียดอยู่ แต่ยิ้มนั้นรู้สึกได้ว่าน้องเป็นคนไทยแน่ เป็นยิ้มสยามแท้ ๆ พอน้องว่างเราได้ทักทายสวัสดีกัน ได้คุยกันนิดหน่อยเพราะน้องต้องทำหน้าที่เผยแพร่วัฒนธรรมบ้านเรากับผู้สนใจ แต่ก็ได้ความว่าน้องทั้งสองคนได้ทุนมาเรียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ตุรกีนี่ เพิ่งมาได้แค่ 6 เดือนแต่เห็นน้องสามารถให้้ข้อมูลต่าง ๆ เป็นภาษาเตอร์กิชอย่างคล่องเลย เก่งมาก เราแลกเปลีื่ยนอีเมลย์กัน จากนั้นเราเดินไปหารถตู้กลับที่พัก

ถ่ายกับน้องสองคนที่ได้ทุนมาเรียนที่มหาลัยที่เมืองทรับซอน

ถ่ายกับน้องสองคนที่ได้ทุนมาเรียนที่มหาลัยที่เมืองทรับซอน

เช้าวันต่อมาเราตื่นกันแต่เช้าเพราะต้องการปั่นเข้าเมืองให้ทันรถทัวร์ขึ้นไปเยี่ยมชมวิหารสุเมล่า ก่อนขึ้นรถเวชถามคนขายตั๋วว่าต้องเอาเสื้อกันหนาวหรือกันฝนไปด้วยมั้ย เขาบอกว่าไม่ต้อง ควรจะเชื่อคนท้องถิ่นใช่มะ แต่ครั้งนี้รู้สึกว่าเขาจะไม่เคยขึ้นไปเลยละมั้ง เพราะพอรถจอดให้ลงปุ๊บฝนก็ตกแปะ ๆ ทันที มารู้ทีหลังว่าที่สุเมล่าฝนตกปีละ 300 วัน ถ้าวันนั้นฝนไม่ตกนี่คงเป็นอะไรที่โชคดีเกินคาด อีกอย่างเป็นวันเสาร์แถมเป็น long weekend ของตุรกีอีกต่างหาก เพราะวันจันทร์เป็นวันหยุดชดเชย เหมือนบ้านเราอีกแล้วที่ถ้าวันหยุดไปอยู่วันเสาร์หรืออาทิตย์จะได้ชดเชยวันนั้น เมื่อวันอาทิตย์นั้นเป็นวันที่ 19 พค. เป็นวันสำคัญเพราะเมื่อปี 1919 วันนั้นเป็นวันที่อตาเติร์กขึ้นฝั่งที่เมืองซัมซุน จำภาพที่เวชเคยลงก่อนหน้านี้ได้มั้ยคะ? นั่นคือเขาและทหารข้างกายที่ได้รับคำสั่งจากสุลต่านให้ไปตามเมืองต่างเพื่อปลดระวางยอมแพ้ แต่อตาเติร์กกลับไปรวบรวมกำลังทหารและปฏิวัติแยกตุรกีออกจากจักรวรรดิออโตมันเป็นเวลา 4 ปีกว่าจะมาเป็นประเทศตุรกีได้ คนตุรกีนับถืออตาเติร์กดั่งพ่อของประเทศของเขา นี่คือที่มาว่าทำไมสุเมล่าถึงได้มีคนมากมาย จากตรงที่รถจอดให้เราเดินไปนั้น เป็นทางแคบแบบเดินไปข้างหนึ่งเดินมาอีกข้างหนึ่ง แซงกันแทบจะไม่ได้

ภาพวิหารไกล ๆ จากจุดจอดรถครั้งแรก คนขับว่าให้เวลา 5 นาทีถ่ายรูป คนที่นั่งมาเที่ยวด้วยเขาบอกต่ออีกที เพราะคนขับพูดภาษาอังกฤษไม่ได้:-)

ภาพวิหารไกล ๆ จากจุดจอดรถครั้งแรก คนขับว่าให้เวลา 5 นาทีถ่ายรูป คนที่นั่งมาเที่ยวด้วยเขาบอกต่ออีกที เพราะคนขับพูดภาษาอังกฤษไม่ได้:-)

ภาพเขียนด้านใน

ภาพเขียนด้านใน

สองพี่น้องที่น่ารักพากันไปเที่ยว พี่สาวมาเที่ยวหาน้องชายที่เรียนเป็นหมออยู่ที่เมืองทรับซอน ส่วนพี่สาวเป็นครูอยู่ที่ซัมซุน

สองพี่น้องที่น่ารักพากันไปเที่ยว พี่สาวมาเที่ยวหาน้องชายที่เรียนเป็นหมออยู่ที่เมืองทรับซอน ส่วนพี่สาวเป็นครูอยู่ที่ซัมซุน

หลังจากได้สองพี่น้องตระกูลอัลทานพาลงมาที่ร้านอาหารที่นัดกับคนขับรถ เรานั่งกินข้าวกลางวันกัน ใจจริงอยากเลี้ยงเขา แต่ตัวเองยังไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าเป็นอย่างไร จึงต้องแค่แชร์กัน ซึ่งเขาก็เริ่มจ่ายของเขาครึ่งหนึ่งก่อน เลยรู้สึกสบายใจเล็กน้อย เราคุยกันว่าเขาน่าจะมาเที่ยวสวีเดน ไปปั่นจักรยานและกางเต้นท์นอน เพราะอย่างน้อยเดนิซชอบท่องเที่ยวแบบนี้อยู่แล้ว ไว้ตอนนั้นเราค่อยทำอะไรให้เขาน่าจะดีกว่า

เราไปที่สำนักงานขายตั๋วรถทัวร์เพื่อไปเอาจักรยานออกมา ตั้งใจว่าวันนี้น่าจะปั่นได้สัก 50 กม. แต่ปรากฎว่ายางแบนล้อหน้ามั้ง 😉 แบนบ่อยเลยจำไม่ได้ว่าล้อไหน รู้สึกมันจะแบนได้เท่ากันละ ก็เลยจอด และ ปะ ด้วยความที่ต้องการติดต่อคุณสว่างที่บาทุมิประเทศจอร์เจีย เราเลยต้องไปแถว ๆ โรงแรมที่เราขึ้นไปดริ้งบนดาดฟ้าเมื่อวาน เพราะเคยได้รหัสมา ฝั่งตรงข้ามของโรงแรมเป็นจัตุรัสของเมืองที่เขากำลังมีงานรื่นเริงพอดี เกี่ยวกับฟุตบอล ปะ ๆ อยู่คนที่อยู่ในงาน มานั่งดูโจคิมปะ ช่วยสูบลม สักพักเดินหายไป อ่า..ไปเอาน้ำมิรินด้ามาให้ อืม..สดชื่น อีกแป๊บเดินไปเอาหมวก ปากกา ที่ทับกระดาษและพวงกุญแจ เอ่อ..ข้าพเจ้าไม่อยากแบกหง่า อีกสักพัก เอาชามาให้ดื่มอีก นี่ถ้าไม่เคลื่อนย้ายไปไหน ไม่รู้พี่เขาจะชวนไปนอนบ้านด้วยหรือเปล่า 😉 คุยกันก็ไม่รู้เรื่อง อยู่ ๆ แกเดินมาสะกิด ชี้ไปบนเวที ทำมือทำไม้ว่าไปถ่ายรูปกัน เอ้า..เอาก็เอา เดินกันขึ้นไปถ่ายสักสองแช๊ะ แล้วก็บอกให้เรารอสัก 10 นาที รอทำอะไรล่ะค่ะ อ่ะ..รอก็รอ เพราะตอนนั้นเราตัดสินใจว่าคงต้องค้างที่ทรับซอนอีกวันเพราะตะวันคล้อยเต็มทีละ หลังจากนั้น 10 นาที คุณพี่ก็เดินเอารูปใส่กรอบเรียบร้อยมาให้เรา

5-1 = โจคิมแบนไปแล้ว 5 ครั้ง ยางที่ปะไม่ดี มันรั่วจากรูเดิมที่เคยปะเมื่อคราวที่แล้ว แต่เราก็นับ นับทุกครั้งที่แบน ;-)

5-1 = โจคิมแบนไปแล้ว 5 ครั้ง ยางที่ปะไม่ดี มันรั่วจากรูเดิมที่เคยปะเมื่อคราวที่แล้ว แต่เราก็นับ นับทุกครั้งที่แบน 😉

เวทีนั่นแหละที่เขามาสะกิดให้ขึ้นไปถ่ายรูปกัน

เวทีนั่นแหละที่เขามาสะกิดให้ขึ้นไปถ่ายรูปกัน

จักรยานของโจคิมโดนเล่นงานบ่อยมาก เดี๋ยวยางแบน (ไม่รู้กี่ครั้งนับไม่ถ้วน 😉 เดี๋ยวก้านเกียร์หัก มาวันนี้ plug-in ที่ต่อเข้ากับไดนาโมล้อหน้าและสามารถชาร์ตแบตฯของจีพีเอสและเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ผ่านยูเอสบี ก็มาเสียอีก เราสามารถติดต่อกับคุณสว่างได้แล้ว และถามเกี่ยวกับเรื่องเกียร์ fiction ที่หัก ก็ได้คำแนะนำจากคุณสว่างให้ลองไปดูร้านที่ทรับซอน เพราะใหญ่กว่าบาทุมิ ปะยางเสร็จและแพ๊คของที่ระลึกทั้งหลายลงกระเป๋า เราออกเดินตามหาร้านจักรยาน หายากนิดนึง เพราะร้านอยู่ในตัวอาคารเข้าไปอีกหน่อย วนไปวนมากว่าจะเจอ ที่เจอนี่เพราะถามเขาอีกเหมือนกัน คนนี้ก็น่ารักมาก ถามปุ๊บเขาเดินพาไปส่งถึงหน้าร้านเลย

เข้าไปในร้านพูดไปชี้ไป รู้มั่งไม่รู้มั่ง พอดีมีลูกค้าคนหนึ่งเข้ามาดูจักรยาน เขาพูดภาษาเยอรมันได้ เลยพยายามสื่อเยอรมันแทน ดีนะที่โจคิมรู้ภาษาเยอรมันบ้าง ไม่อย่างนั้นก็คงใช้เวลาอีกนาน แต่ในที่สุดหลังจากที่เดินดูไปทั่วร้านก็เห็นเกียร์ที่สามารถใช้แทนกันได้ คุณภาพอาจจะไม่ดีเท่าแต่ทดแทนกันได้ก็ดีที่สุดแล้ว ไหน ๆ อยู่ที่ร้านแล้วก็ให้เขาเปลี่ยนซี่ล้อไปด้วยเลย ที่มันงอจากที่ซัมซุน ทำให้เสร็จ จะได้ไม่ต้องลุยเอง พอจ่ายตังค์ถึงรู้ว่าคุ้มจริง ๆ ที่ให้เขาทำให้ ค่าเซอร์วิสถูกมาก ที่นี่คิดแค่ 10TL ที่อิสตันบูลคิดตั้ง 50TL

คนใส่เสื้อลายสก๊อตเป็นลูกค้าที่คุยภาษาเยอรมันได้ พากันรุมจักรยานโจคิม

คนใส่เสื้อลายสก๊อตเป็นลูกค้าที่คุยภาษาเยอรมันได้ พากันรุมจักรยานโจคิม

แล้วก็ถึงเวลาตระเวณหาที่พักต่อ กลับไปโรงแรมตรงที่เราปะล้อละกัน ว่าจะเข้าไปต่อค่าห้องเขาหน่อย แต่ไม่ต้องเพราะเต็ม :-O แต่ความที่เป็นคนตุรกี เขาจับโทรศัพท์หมุนไปโรงแรมเพื่อนบ้าน เช๊คให้ว่ามีห้องว่างมั้ย ราคาเท่าไหร่ หันมาบอกเราว่าได้ราคานี้ พอถามเขาว่าไปยังงัย เขาทำมือเหมือนกับว่ารอก่อน อืม..รออะไรหว่า สักพักเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาส่งภาษาเตอร์กิชกัน แล้วหันมาส่งสัญญาณให้เราตามเขาไป เป็นเซอร์วิสหรือเขากลัวว่าเราจะหลงไปโรงแรมอื่น หาทราบไม่ เอาเป็นว่าบริการของเขาละกันสบายใจดี

รวมอาหารเช้าด้วย โรงแรมนี้มีไข่ต้มเราเลยขอไข่ติดตัวไปด้วยคนละฟอง แยมคนละ 2-3 แพ๊ค สำหรับมื้อกลางวัน เพราะหนึ่งอยากจะประหยัด สองเราก็ไม่อยากกินอะไรเยอะ แค่แวะซื้อขนมปังกินกับแยม แล้วค่อยหนักตอนเย็นทีเดียว ช่วงที่ปั่น ๆ มาก็เห็นป้ายเขาโฆษณาขนมปังทรับซอน เขาว่ามันมีขนาดที่ใหญ่กว่าปกติ สามารถเก็บได้นานกว่าขนมปังทั่วไปและมีรสชาติออกเค็ม ๆ นิด ๆ หลังจากที่ซื้อมาชิมดูแล้วก็รู้สึกว่าเนื้อขนมปังจะแน่นกว่าธรรมดา มินาล่ะมันถึงได้แพงกว่าตั้งสองเท่า ตัดใจซื้อนะนั่น เพราะอยากรู้ว่ามันพิเศษอย่างไร เห็นโฆษณาตั้งแต่อยู่บ้านเพื่อนที่ซอนกูลดัคละ และตอนที่แวะปั้มกินขนมปังทรับซอน เราก็นั่งกินกันแอบ ๆ หน่อย เพราะไม่ได้ซื้ออะไรจากปั้มก็ไม่อยากไปนั่งเกะกะ พอดีเขาเดินผ่านเราก็ชวนเขา ”เป็นพิธี” เขาทำท่าเหมือนบอกว่าเขาอิ่มแล้วและขอบคุณ หลังจากนั้นไม่นาน เขาคนเดิมเดินกลับมาถามว่า … ทายออกมั้ยว่าเขาถามว่าอะไร …. ”ชัย???” = เอาชามั้ย? ลุทเฟ่น = ค่ะ เอาค่ะ จะไปขอชาเขาก็เกรงใจ เลยแกล้งทำเป็นชวนเขา เผื่อเขาจะเข้าใจว่าเรารอชาอยู่ 😉

ขนมปังของทรับซอนและแยมจากโรงงแรมพร้อมชาแก้วใหญ่กว่าธรรมดา

ขนมปังของทรับซอนและแยมจากโรงงแรมพร้อมชาแก้วใหญ่กว่าธรรมดา

กลางวันทานน้อยก็ไม่ต้องรอให้อาหารย่อย ดื่มชากันเสร็จก็ออกเดินทางต่อ ช่วงนี้ทำเวลาหน่อยเพราะอยากเข้าบาทุมิเพื่อไปเจอกับคุณสว่าง ติดต่อกันมานาน รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอคนไทยในต่างแดน รู้จากเสือออย – ศิรินทร์ คุ้มวงศ์ นักปั่นสาวไทยอีกคนที่ไปไหนไปกัน ว่าคุณสว่างมาพักอยู่ที่ทิบลิซิ ทำให้มีจุดมุ่งหมายและกำหนดเวลา ดีค่ะ ไม่อย่างนั้นก็เรื่อยเปื่อย คุณสว่างจะเดินทางขึ้นเขาและจะเข้ามาพัก 5-6 ที่เมืองบาทุมิ แต่จากทรับซอนปั่นวันเดียวไม่ถึงแน่ เราเลยปั่นให้ได้ระยะทางมากที่สุดเท่าที่แสงอาทิตย์เอื้ออำนวย พอเริ่มจะมืดเราเริ่มมองหาที่พัก เห็นป้ายเกสเฮาส์อยู่หลายป้าย แต่เงินตุรกีเหลือน้อยเต็มที ถ้าเขารับบัตรก็ดีไป แต่ไปถามที่ปั้มข้างหน้าดีกว่า แล้วเราก็มาจอดอยู่ที่ปั้มแห่งหนึ่ง ตามแผนคือเวชเข้าไปเช๊คห้องน้ำ พอเดินออกมาเห็นโจคิมกำลังเม้าท์อยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่มารู้ทีหลังว่าชื่อ ”ฮัคคั่น” เขาไม่ได้ทำงานที่ปั้มแต่มีเพื่อนหลายคนทำงานที่นั่น คิดว่าทุกเย็นเขาคงมานั่งเม้าท์กับเพื่อน โชคดีของเราที่วันนั้นเขามาอยู่ตรงนั้นและตอนนั้น เขาเริ่มคุยกับโจคิม อาจจะเป็นเพราะเขาทำงานด้านการท่องเที่ยว ทำให้รู้สึกสนใจการเดินทางของเราด้วยมั้ง เราถามเขาเรื่องขอกางเต้นท์เขาก็พาเราไปดูที่ทางทันที เสร็จแล้วก็ถามว่าเรากินข้าวหรือยัง? เอ่อ..พวกเรามีสปาเก็ตตี้กับปลากระป๋อง เขาเลยบอกว่าไม่ต้องทำหรอก ไปกินบ้านฉันละกัน อ่า..ลุทเฟ่น yes please !! แล้วเราก็นั่งรถเขาไปอพาร์ตเมนท์ซึ่งภรรยาของเขาเตรียมอาหารไว้แล้ว สุดยอด กินกันเสร็จแล้ว เขาก็ขับรถมาส่งเราที่ปั้ม

จุดกางเต้นท์ใต้บ้านโบราณอายุราวร้อยปี เคยเป็นที่เก็บข้าวโพด แต่ตอนนี้กลายเป็นที่สวดมนต์สำหรับลูกค้าและคนทั่วไป

จุดกางเต้นท์ใต้บ้านโบราณอายุราวร้อยปี เคยเป็นที่เก็บข้าวโพด แต่ตอนนี้กลายเป็นที่สวดมนต์สำหรับลูกค้าและคนทั่วไป

มื้อเย็นที่บ้านฮัคคั่น จานนี้แค่เริ่มต้น หลังจากนั้นถ่ายไม่ทันค่ะ หมดเสียก่อน

มื้อเย็นที่บ้านฮัคคั่น จานนี้แค่เริ่มต้น หลังจากนั้นถ่ายไม่ทันค่ะ หมดเสียก่อน

นั่งกินอาหารเช้าที่ปั้ม อืม..เหมือนมื้อกลางวันเมื่อวานเลย จุ๊ๆๆ เสื้อผ้าก็ชุดเดียวกัน ;-) หากินเองเลยไม่ค่อยหรูหราเท่าไหร่

นั่งกินอาหารเช้าที่ปั้ม อืม..เหมือนมื้อกลางวันเมื่อวานเลย จุ๊ๆๆ เสื้อผ้าก็ชุดเดียวกัน 😉 หากินเองเลยไม่ค่อยหรูหราเท่าไหร่

วันนี้เราตื่นกันเช้าเพราะอยากเข้าบาทุมิกัน ฮัคคั่นมาที่ปั้มแต่เช้าเพื่อมาร่ำลากัน เรานั่งกินอาหารเช้ากันก่อน หลังจากนั้นก็ปั่นกันค่อนข้างสบาย ตามลมนิด ๆ มาถึงที่เมืองที่ติดชายแดน พักกินข้าวกัน แต่ก่อนที่จะสั่งอะไร ต้องถามก่อนว่าจานละเท่าไหร่ กลัวมีตังค์ไม่พอจ่าย เราสั่งข้าวกับกับข้าวหนึ่งอย่าง เขาบอก 12 TL โอเค เอาอย่างนั้นแหละ แบ่งกันกิน พอจะไปจ่ายตังค์ เวชหยิบเงินออกมา เขาดึงแต่แบงค์ 10 ไปและบอกว่าโอเค เอ่อ..ขอบคุณค่ะ คงเห็นว่าเราเดินทางด้วยจักรยานคงไม่มีเงิน น่าสงสาร อืม..ยอม สงสารฉันเถอะ 😉

อาหารกลางวันที่เมืองใกล้ ๆ ชายแดนระหว่างตุรกีกับจอร์เจีย

อาหารกลางวันที่เมืองใกล้ ๆ ชายแดนระหว่างตุรกีกับจอร์เจีย

อีก 10 กว่ากิโลจะถึงจุดผ่านแดน มีอุโมงค์เยอะแยะ แต่อุโมงค์สุดท้ายทำเราประหลาดใจ เพราะพอโผล่ออกมาปุ๊บก็เป็นทางผ่านเข้าจอร์เจียเลย อ้าว..ยังไม่ได้ใช้เงินตุรกีที่เหลือเลย เห็นมีร้านขายของชำอยู่เลยไปดูว่าเงินที่เหลืออยู่เท่านี้จะซื้ออะไรได้บ้าง สรุปว่าได้โค้ก 1.5 ลิตร ขนมปัง ช๊อคโกแลต 2 อัน

เดินไปซื้อด้วยเงินตุรกีทั้งหมดที่มีอยู่ เทให้หมดกระเป๋าเลย แล้วก็มานั่งพักกันตรงนี้ก่อน ชมวิว

เดินไปซื้อด้วยเงินตุรกีทั้งหมดที่มีอยู่ เทให้หมดกระเป๋าเลย แล้วก็มานั่งพักกันตรงนี้ก่อน ชมวิว