Category Archives: Posts in Thai / โพสต์ภาษาไทย

จีน => จาก Zhangye (จ๋างเย่อ) – Minle (หมินเล่อ) – Menyuan (มึนหยวน) – Minhe (หมินเฮอ)

ท่ีจ๋างเย่อเราต้องจัดการเรื่องซิมโทรศัพท์เพราะตังค์ในซิมหมด ออกไปเดินหา China Unicom พอมาถึงก็คุยกันไม่รู้เรื่องเพราะเราไม่มีเน็ตแล้วไม่สามารถคุยกันผ่านกูเกิ้ลได้ กว่าเขาจะเข้าใจว่าเราต้องการอะไรร้านจะปิดแถมเติมไม่ได้อีกเพราะอยู่คนละมณฑลซิมแรกซื้อท่ีมณฑลซินเจียงแต่ตอนนี้เราอยู่มณฑลจิงไห่ โอ๊ะ..ข้าพเจ้างง กฎเกณฑ์อะไรของเขานั่น แล้วเราจะทำอย่างไร??? กลับท่ีพักด้วยความหงุดหงิด ขนาดเวชใจเย็นมากแล้วนะยังรู้สึกปวดตับอยากจะกรี้ดดดดดัง ๆ ๆ แต่รู้ว่าไม่มีประโยชน์ วันรุ่งขึ้นออกไปจัดการเรื่องซิม เราตัดสินใจว่าถ้าอย่างนั้นทิ้งซิมเก่าเปลี่ยนยี่ห้อเป็น China Mobile แต่ก็ยังมีปัญหาคือพนักงานคนแรกพอเห็นพาสปอร์ตเวชไม่ยอมทำให้บอกว่าเอกสารไม่ถูกต้อง เอ่อ..อันนี้แก้ไขยากหน่อยนะ ฉันมีเล่มนี้เล่มเดียว และกว่าเขาจะเข้าใจว่าควรจะเอามือถือตัวเองขึ้นมากด ๆ คุยกันผ่านเวบต์ช่วยแปล เฮ่อ.. อยากกรี้ดดดดดัง ๆ อีกที ปวดหัวตึ๊บเลยอ่ะ สักพักนึกขึ้นได้ว่าท่ีคัชก้าท่ีเราซื้อซิมแรก เข้าคุ้ย ๆ เอกสารตรงหน้าแล้วก็หยิบเอาแผ่นก้อปปี้บัตรประชาชนของใครไม่รู้มาลงทะเบียนให้เรา ตอนนั้นก็คิดว่าทำอย่างไรก็ได้ขอให้ฉันได้ซิมมา เลยเล่าให้เขาฟัง แต่กว่าเธอจะเข้าใจว่าเวชไม่สามารถเข้าใจภาษาจีน เอาโทรศัพท์มากดคุยกันบอกให้เขาทำอย่างท่ีพนักงานท่ีคัชก้าทำให้ได้มั้ยละ ไม่ได้! อยากกรี้ดด้วยบ้างหรือยังคะ??? พอดีมีเพื่อนพนักงานอีกคนเดินเข้ามา เขาคุยกันและก็บอกว่าน่าจะทำได้ หันมาหาเวชแล้วถามว่ามีชื่อจีนมั้ย? ไอ่หย๋า..ก็มีนะ แต่จำไม่ได้แล้วว่าเขียนยังงัย สรุปเขาเขียนชื่อตามในพาสปอร์ต เราเลยขอให้เขาจัดการให้เราโดยท่ีเราจ่ายไปเลยสำหรับ 2 เดือนท่ีอยู่ท่ีเมืองจีนจะได้ไม่ต้องวุ่นวายอีกครั้งหนึ่ง เฮ้อ..แต่ก็ไม่วาย เพราะเมื่อวานนี้รู้สึกว่าเรามีสัญญาณแต่ไม่มีอินเตอร์เนต คงต้องลุยหรือกรี้ดดดกันอีกรอบละ เบื่อจริง ๆ สื่อสารกันไม่ได้นี่มันช่างเสียเวลาจริง ๆ

ออกไปเดินหาซื้อของกิน เห็นร้านนี้ป้ายเขาว่ามีกาแฟ แพนเค้ก เลยมากินอาหารเช้าท่ีนี่ มี wifi ด้วยเลยนั่งกันนานเลย

ออกไปเดินหาซื้อของกิน เห็นร้านนี้ป้ายเขาว่ามีกาแฟ แพนเค้ก เลยมากินอาหารเช้าท่ีนี่ มี wifi ด้วยเลยนั่งกันนานเลย

ทางออกจากเมืองมีตึกเก่า ๆ ข้างล่างเป็นร้านอาหารร้านขายของซื้อน้ำท่ีนั่น

ทางออกจากเมืองมีตึกเก่า ๆ ข้างล่างเป็นร้านอาหารร้านขายของซื้อน้ำท่ีนั่น

ถนนหนทางของจีนมักจะมีต้นไม้ข้างทาง ทำให้รู้สึกร่มรื่นเขียวเย็นตา

ถนนหนทางของจีนมักจะมีต้นไม้ข้างทาง ทำให้รู้สึกร่มรื่นเขียวเย็นตา

ก่อนท่ีจะเราจะถึงเมืองหมินเล่อ เราเห็นนักปั่นคนหนึ่งกำลังนอนพักผ่อนอยู่ข้างถนน จะเข้าไปทักก็กลัวจะเป็นการรบกวนเราเลยปั่นเลยไป ทางเข้าเมืองก็ดูไม่เหมือนเช่นกันว่าจะมีเมืองใหญ่ท่ีอยู่ลึกเข้าไปอีก พอเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมท่ีอยู่ก็เห็นโรงแรมอยู่ข้าง ๆ อีกท่ีหนึ่ง ปั่นออกมาได้ไม่ไกลนัก ก็เห็นจักรยานอยู่ข้างหน้าเราคันหนึ่ง ตอนแรกนึกว่าเป็นบาเทคเพราะเขาเขาปั่นช้าเลยมักจะออกก่อนเรา แต่ไม่เห็นกระเป๋าสองใบเล็กด้านหน้า ไม่ใช่บาเทคแล้วล่ะ พอเราปั่นไปถึงก็หยุดคุยกับเขาและได้ความว่าเป็นชาวจีนคนหนึ่ง ทำงานได้ 3 ปีเป็นวิศกรด้านคอมพิวเตอร์ ลาออกแล้วมาปั่นรอบประเทศจีน เขาออกทริปมาได้ 1 ปีนิด ๆ ละ

ในตัวเมืองหมินเล่อ

ในตัวเมืองหมินเล่อ

หนุ่มจีนชื่อฟิชเชอร์

หนุ่มจีนชื่อฟิชเชอร์

หลังจากนั้นเราปั่นกันสักช่วงหนึ่ง จนกระทั่งมาถึงยอดเขาแรกของวันนี้ เผอิญบาเทคเพื่อนเราเกิดอาการอยากจะอาเจียนท้องเสียเป็นไข้ หลายอย่างพร้อมกันทีเดียว เราเลยต้องให้เขาตัดสินใจว่าจะไปต่อท่ีความสูงสูงขึ้นแล้วไหลลงไปในเมืองหรือจะย้อนลงไปท่ีต่ำกว่าแล้วตั้งแคมป์ เราเข้าใจบาเทคเพราะในสภาพแบบนั้นก็ไม่อยากนอนเต้นท์ อยากนอนในท่ีอุ่น ๆ มากกว่า เราเลยปั่นต่อขึ้นเขาและไหลลงมาท่ีเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง โชคดีของเราท่ีวันนี้เรามีฟิชเชอร์มาด้วย เขาช่วยเราหาโรงเตี้ยม เพราะเมืองเล็ก ๆ นี้ไม่มีโรงแรมแน่นอน เขาวิ่งหาติดต่อเช็คราคา แต่ตรงท่ีเรายืนรอนั้นลมแรงมากอุณหภูมิอยู่ท่ี 7 องศา ได้ห้องพักคู่เรายกเตียงให้ฟิชเชอร์และบาเทค ส่วนเราสองคนนอนพื้น พื้นเป็นเสื่อน้ำมันเรามีอุปกรณ์พร้อมเลยยกเตียงให้พวกเขา อย่างน้อยบาเทคท่ีเข้าห้องพักปุ๊บก็สลบหลับไปเกือบถึงเช้าเลย

เช้านี้โจคิมเปลี่ยนยางในทั้งสองล้อ บาเทคล่วงหน้าไปก่อน ฟิชเชอร์รอเรา แต่ใจจริงอยากให้เขาไปพร้อมกับบาเทคเพราะเขาปั่นความเร็วพอ ๆ กัน พอโจคิมเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทาง สักพักฟิชเชอร์ว่าเขาปวดท้องแถมบางครั้งอยากจะอาเจียน เหมือนท่ีบาเทคเป็นเมื่อวานนี้ แต่เขาไม่มีไข้เท่านั้นเอง ปั่นได้แต่ค่อย ๆ ไป เราไม่กล้าทิ้งเขาให้ปั่นอยู่คนเดียว เรายต้องปั่นตามความเร็วของเขา สำหรับเวชปั่นความเร็วขนาดนั้นเหมือนตอนปั่นไปเซเว่นมากกว่า วันนี้เราปั่นขึ้นเขาต่อจากเมื่อวานนี้ ยังคงขึ้นเรื่อย ๆ

วิวระหว่างทางจากเมืองเล็ก ๆ นั่น

วิวระหว่างทางจากเมืองเล็ก ๆ นั่น

SONY DSC

SONY DSC

วัดสไตล์ทิเบตบนทางขึ้นเขา

วัดสไตล์ทิเบตบนทางขึ้นเขา

SONY DSC

มาถึงยอดแรกของเส้นทางท่ีเราจะปั่นกันใน 3-4 วันนี้

มาถึงยอดแรกของเส้นทางท่ีเราจะปั่นกันใน 3-4 วันนี้

เมืองเล็ก ๆ ท่ีบาเทคนอนไม่สบาย เช้าวันรุ่งขึ้นก็ดีขึ้นเยอะแต่ยังไม่ 100% เท่านั้นเอง

เมืองเล็ก ๆ ท่ีบาเทคนอนไม่สบาย เช้าวันรุ่งขึ้นก็ดีขึ้นเยอะแต่ยังไม่ 100% เท่านั้นเอง

เมื่อเช้ามองออกไปทางหน้าต่าง เห็นพื้นถนนชื้น ๆ ฝนตกแหมะ ๆ อากาศเย็น ๆ เสร็จเลยเรา ดันส่งเสื้อผ้าชุดกันฝนกลับบ้านไปหมดแล้ว ลองลงไปกินข้าวเช้าแล้วดูว่าอากาศเป็นยังงัย อืม..ก็ไม่ถึงกับแย่นัก!!! เรานั่งกินท่ีร้านท่ีเรากินเมื่อคืนนี้ กินเสร็จก็ซื้อไข่และซาลาเปาไปกินกลางวัน ฝนยังคงตกอยู่แต่ดีท่ีไม่มีลม บาเทคไปก่อน เราไปหาซื้อเสื้อผ้ากันหนาวและถุงเท้า ได้ถุงเท้ามาคนละคู่ กางเกงคนละตัว เสื้อฟลีซอีก 1 ตัว ซื้อได้แล้วฝนเริ่มซาดีแดดไม่ออกด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นคงได้คืนทุกตัวแน่ 🙂 ช่วงเช้าป่ันออกมาถนนยังเปียก ๆ แค่ตรงช่วงท่ีต้นไม้หนาตา ถ้าเป็นท่ีโล่ง ๆ พื้นแห้งแล้ว สองข้างทางดูเหมือนต้นไม้ท่ีสวีเดน ดูร่มรื่น แต่เรารีบและไม่อยากเอากล้องออกมาตอนนั้นเพราะอากาศชื้น ๆ ทางขึ้น ๆ ลง ๆ ส่วนใหญ่ลงมากกว่า พอออกจากเมือง เข้าเขตภูเขา ทางเริ่มสวย ปั่นตามแม่น้ำดาตอง ผ่านหมู่บ้านหลายแห่ง มีท่ีหนึ่งเด็กตะโกนเรียก “ฝรั่ง ๆๆ” เราปั่นไปชมวิวถ่ายรูปไป สวยทุกมุม เลือกทางได้ถูกต้องจริง ๆ วันนี้เป็นอะไรท่ีพิเศษอีกวันหนึ่ง

วิวหลังจากออกจากเมืองเล็ก ๆ นั้น

วิวหลังจากออกจากเมืองเล็ก ๆ นั้น

บ้านสไตล์ทิเบตมีการตกแต่งเห็นหลายหลังเชียวแหละ

บ้านสไตล์ทิเบตมีการตกแต่งเห็นหลายหลังเชียวแหละ

ปั่นเป็นเพื่อนฟิชเชอร์มาเรื่อย ๆ เพราะเขาเริ่มรู้สึกไม่ดี ปวดท้อง

ปั่นเป็นเพื่อนฟิชเชอร์มาเรื่อย ๆ เพราะเขาเริ่มรู้สึกไม่ดี ปวดท้อง

ระหว่างทางจะเห็นแกะและยอร์ค เขาว่ายอร์คมันมีปอดท่ีใหญ่เป็นพิเศษ มิน่าชอบอยู่ในท่ีสูง ๆ

ระหว่างทางจะเห็นแกะและยอร์ค เขาว่ายอร์คมันมีปอดท่ีใหญ่เป็นพิเศษ มิน่าชอบอยู่ในท่ีสูง ๆ

SONY DSC

ถ่ายรูปคู่่หน่อย โจคิมกับฟิชเชอร์ท่ียอดท่ีสองสูงเกือบ 3800 เมตร

ถ่ายรูปคู่่หน่อย โจคิมกับฟิชเชอร์ท่ียอดท่ีสองสูงเกือบ 3800 เมตร

หลังจากยอดสูง 3800 เมตรนั่นเราก็ไหลลงอย่างเดียวเกือบ 20 กม. สนุกมาก พอมาถึงท่ีลุ่ม เขาเริ่มทำการเกษตรกันมากขึ้น

หลังจากยอดสูง 3800 เมตรนั่นเราก็ไหลลงอย่างเดียวเกือบ 20 กม. สนุกมาก พอมาถึงท่ีลุ่ม เขาเริ่มทำการเกษตรกันมากขึ้น

ปลูกอะไรกันสักอย่าง เขามีปลูกต้นคริสต์มาสด้วยนะ คาดว่าคงจะเอาไปปลูกบนเขาเพื่อกันดินถล่ม

ปลูกอะไรกันสักอย่าง เขามีปลูกต้นคริสต์มาสด้วยนะ คาดว่าคงจะเอาไปปลูกบนเขาเพื่อกันดินถล่ม

อีก 7-8 โลเข้าเมืองเรารอบาเทคและฟิชเชอร์ มาถึงแล้วปั่นเข้าเมืองพร้อมกัน Fisher เห็นโรงเตี้ยมหลายท่ี ถ้าเรามากันเอง คงไม่รู้ว่าท่ีไหนเป็นท่ีพักแน่นอน เราเดินเข้าไปสอบถามและดูห้องด้วยกัน เอาท่ีแรกเพราะสามารถต่อราคาได้ จากราคาคนละ 30 เป็น 20 หยวน ไม่มีห้องอาบน้ำมีแต่ห้องน้ำอยู่ข้างนอก เป็นรูท่ีพื้น แต่ดีกว่าท่ีจินตนาการไว้ ชักหิว รีบเอากระเป๋าเข้าไปเก็บท่ีห้อง แล้วตรงไปท่ีร้านอาหารเลย ฟิชเชอร์จัดการถามเจ้าของท่ีพักให้เรียบร้อยแล้วว่าร้านไหนอร่อย มีเพื่อนท่ีเป็นคนท้องถิ่นปั่นด้วยกันทำให้เราได้สัมผัสเมืองจีนในอีกแง่มุมหนึ่ง

มื้อเย็นมื้อสุดท้ายกับฟิชเชอร์ในทริปนี้ หวังว่าคงได้มานั่งกินด้วยกันอีกครั้ง ไม่ว่าท่ีจีนหรือท่ีไทยนะฟิชเชอร์นะ ;-)

มื้อเย็นมื้อสุดท้ายกับฟิชเชอร์ในทริปนี้ หวังว่าคงได้มานั่งกินด้วยกันอีกครั้ง ไม่ว่าท่ีจีนหรือท่ีไทยนะฟิชเชอร์นะ 😉

ฤกษ์ดี!!! ตื่นเช้ามาก็ได้ปะยางอีกแล้ว คิดว่าเมื่อวานแวะเข้าข้างทางบ่อย อ๊ะ ๆ รู้นะว่าคิดอะไรอยู่ แวะถ่ายรูปค่ะ เลยโดนจิ้มด้วยลวดเพื่อนเก่าจากทางด่วน เฮ้อ…นึกว่าจะหลุดพ้นแล้วนะเนี่ย แต่เปล่า มันยังคงตามมากวนใจ บอกให้บาเทคไปก่อน เกรงใจเขาอีกอย่างเขาปั่นช้ากว่าเรา ปะเสร็จเราชวนฟิชเชอร์ไปกินอาหารเช้ากัน เขาอยากได้อาหารร้อน ๆ เราไปท่ีร้านเดิมท่ีกินมื้อเย็น แต่เขายังเตรียมไม่เสร็จเขาแนะนำให้ไปร้านก๋วยเตี๋ยวตรงหัวมุม แถมยังบอกด้วยว่าเป็นร้านเก่าแก่ เปิดมานานกว่า 20 ปีแล้ว ว้าว… คงจะเป็นการถ่ายทอดภายในครอบครัว หายากแล้วเนอะแบบนี้ เดี๋ยวนี้กลายเป็นศูนย์อาหารกันไปหมด คงจะพอมีให้เห็นบ้างตามชนบทมั้ง เราซื้อไข่ต้มขนมปังติดตัวไปด้วยเผื่อมื้อกลางวัน ส่วนใหญ่กลางวันจะกินน้อยเพราะถ้ากินมากไปคงปั่นไม่ไป จุกเสียก่อน วันนี้บรรยากาศรอบ ๆ ก็สวย แต่เรารีบอีกแล้ว เพราะวันนี้อยากให้ถึงเมืองมินเฮอ ระยะทางประมาณ 120 กม. ทางยังคงลาดลงเหมือนเมื่อวาน เราตั้งใจจะออกเร็วหน่อยแต่ยางแบนและก็อยากจะร่ำลาฟิชเชอร์ เลยออกสายเกินกว่าท่ีตั้งใจไว้ 60 โลแรกถนนดีมาก แดดยังไม่จ้าเท่าไหร่ยังพอถ่ายรูป แต่หลังจากนั้นเขาเริ่มทำถนน เป็นช่วง ๆ บางช่วงยาวบางช่วงสั้น ถนนแย่เป็นหลุมเป็นบ่อ ยังดีท่ีทางส่วนใหญ่ลาดลง ไม่อย่างนั้นแย่เลยเพราะบางครั้งรถใหญ่รถบรรทุกมากมาย ขนเอาทรายเอาหินไปท่ีก่อสร้างอีกท่ีหนึ่ง ฝุ่นตลบทั้งครึ่งวัน ระยะทางช่วงนี้มีหมู่บ้านหนาแน่นขึ้น ชาวบ้านส่วนใหญ่มองเราเหมือนตัวประหลาด มีส่วนน้อยท่ีหันมายิ้มและเชียร์เรา คงไม่เคยชินท่ีมีคนแปลกหน้าผ่านมาด้วยจักรยานขนสัมภาระเต็มคันอย่างเรา 🙂

แยกกันตรงนี้

แยกกันตรงนี้

ฟิชเชอร์เลี้ยวขวาขึ้นเขา เราเลี้ยวซ้ายลงเขา ชวนเขาแล้ว อิอิ แต่เขานัดกับเพื่อนท่ีชินหนิง มีพบก็ต้องมีจาก แต่หวังว่าคงจากเพื่อมาพบกันใหม่

ฟิชเชอร์เลี้ยวขวาขึ้นเขา เราเลี้ยวซ้ายลงเขา ชวนเขาแล้ว อิอิ แต่เขานัดกับเพื่อนท่ีชินหนิง มีพบก็ต้องมีจาก แต่หวังว่าคงจากเพื่อมาพบกันใหม่

ปั่นมาได้อีก 40 กม.จะถึงเมืองมินเฮอท่ีเราตั้งใจ เผอิญเกิดอาการหิว ขี้เกียจนั่งกินตามร้านเลยซื้อกล้วยกับลูกพลับมากินรองท้องไว้ มีรถสามล้อวิ่งอยู่ข้างหน้าเรา ช่วงทางเรียบเราแซงเขา พอทางเริ่มชันเขาก็มาแซงเรา เราทำท่าเหมือนจะพยายามเกาะท้ายรถ พวกเขาก็รีบชวนให้เกาะแถมทำไม้ทำมือชวนขึ้นรถเลยด้วย น่ารักนะเวลาท่ีเขาเล่นด้วย แต่พอทางลาดลงปุ๊บ บ๊ายบาย!! เราแซงเขาดิ่งลงมาถึงเมืองเลยมาเจอกันอีกทีตรงทางแยก เพราะเราจอดดูแผนท่ี นี่ถ้าเลี้ยวไปทางเดียวกันจะไปขอนอนท่ีบ้านเขาเลยนะเนี่ย บางช่วงปั่นกันอยู่ขอบภูเขาเลย อยากแวะถ่ายรูปแต่จราจรคับคั่งมาก แค่เราไปใช้ถนนร่วมกับเขา เขากดแตรไม่รู้เตือนหรือรำคาญ เอาเป็นว่าเตือนละกันเนอะ บางครั้งรถใหญ่กดแตรทีขี้หูเต้นระบำเลย มีครั้งหนึ่งตกใจ ดีท่ีทางตรงนี้ยังดี จากตรงนี้ยังมีอีกหลายช่วงท่ีกำลังก่อสร้าง เอ้า..ลุยกันต่อ พอถึงเมืองเราเริ่มมองหาท่ีพัก เริ่มจำตัวอักษรจีนท่ีแปลว่าโรงเตี้ยมได้บ้าง มีค่ะมีจดในกระดาษอยู่เหมือนกัน วันนี้อยากนอนท่ีดี ๆ หน่อยอยากเขียน๊อคเล่าเรื่องให้เพื่อน ๆ อ่านกัน อิอิ อยากอาบน้ำซักผ้าด้วยค่ะ 🙂 🙂 มีปัญหาเรื่องเขาไม่รับชาวต่างชาติอีกล่ะ นี่ถ้าฟิชเชอร์ไม่ปั่นไปชินหนิง (Xining) เสียก่อน เราคงไม่ต้องควานหาโรงแรมนั้นโรงแรมนี้ เพราะเราสามารถลงทะเบียนในชื่อเขาทีเดียว เอ้า..หากันต่อไป แต่ก็ยังดีนะท่ีพนักงานโรงแรมนี้รู้ว่าควรจะแนะนำเราไปท่ีไหน ปั่นไปก็ถามไป จนมาถึงจนได้

SONY DSC

บ้านตามแถบภูเขาท่ีเราปั่นผ่านมีหลายหลังท่ีมีเรือนกระจกท่ีเห็นบ่อย ๆ ท่ีสวีเดน ท่าทางอากาศน่าจะคล้าย ๆ สวีเดนมั้ง อึ๋ย...

บ้านตามแถบภูเขาท่ีเราปั่นผ่านมีหลายหลังท่ีมีเรือนกระจกท่ีเห็นบ่อย ๆ ท่ีสวีเดน ท่าทางอากาศน่าจะคล้าย ๆ สวีเดนมั้ง อึ๋ย…

SONY DSC

DCIM100GOPRO

DCIM100GOPRO

ช่วงท่ีปั่นเข้าหมินเฮอประมาณ 40 กม.แรกทางดีมาก หลังจากนั้นก็เริ่มมีการก่อสร้างถนนเป็นช่วง ๆ ถนนเฉอะแฉะ เป็นหลุมเป็นบ่อ ฝุ่นตลบ ถึงโรงแรมคุยกับเขาต่อรองราคาถามรายละเอียดจนกระทั่งขึ้นมาถึงห้องพักถึงได้เห็นหน้าตัวเองว่าดำปี๋ขนาดไหน

นี่ขนาดเอาผ้าปิดหน้า เห็นรอยท่ีหน้าผากมั้ยคะ ขอบหมวกท่ีใส่กันแดด พิสูจน์ได้ว่ากันฝุ่นได้เหมือนกัน

นี่ขนาดเอาผ้าปิดหน้า เห็นรอยท่ีหน้าผากมั้ยคะ ขอบหมวกท่ีใส่กันแดด พิสูจน์ได้ว่ากันฝุ่นได้เหมือนกัน

จีน => จาก Guazhou (กัวจู) ไปยาวถึง Zhangye (จ๋างเย่อ)

คืนท่ี “หยงฉาง” และลูกชายแวะมาบ๊ายบายเรา เขาถามว่าเรามีท่ีอยู่ท่ีกัวจูหรือยัง? เราคิดว่าอาจจะไม่พักท่ีเมืองนั้นเพราะรถทัวร์จะถึงตอนบ่ายโมง แต่เขาเขียนในกูเกิ้ลว่าเขาจองให้เรียบร้อยแล้ว เป็นโรงแรมของเพื่อนเขา ถ้าอยากอยู่เขียนข้อความไปบอกเขา และยังบอกด้วยว่า “free of charge” เอ่อ…หมายความว่าอยู่แบบไม่ต้องจ่ายตังค์เลยงั้ยรึ? เป็นไปได้รึ? เขาเขียนภาษาจีนยาว ๆ ในกูเกิ้ลช่วยแปล และบอกว่าถ้าไปถึงโรงแรมให้เอาโน๊ตนั้นแสดงให้พนักงานดู แต่ตอนนั้นเราตั้งใจอย่างมากท่ีจะปั่นหลังจากท่ีมาถึงเมืองกัวจูเลยไม่ค่อยได้ใส่ใจ

นี่คือโน๊ตประกาศิตท่ี "หยงฉาง" เขียนไว้ให้

นี่คือโน๊ตประกาศิตท่ี “หยงฉาง” เขียนไว้ให้

หลังจากท่ีร่ำลากับ “หยงฉาง” รถทัวร์ก็ยังไม่ออกจนกระทั่ง 20 นาทีผ่านไป วิวระหว่างทางดูไม่น่าสนใจ น่าเบื่อมาก เลยนั่งเขียนบล๊อคบนรถทัวร์ มาถึงท่ีจุดพักรถรถทัวร์จอดให้เข้าห้องน้ำ แต่ไม่มีใครไปท่ีห้องน้ำ คงเดากันออกนะค่ะ เขาทำธุระกันรอบ ๆ ห้องน้ำนั่นแหละค่ะ ดีท่ีให้โจคิมลงไปทำธุระก่อน เพราะรถไหลไปหาท่ีจอดข้างหน้าซ่ึงมีมุมมิดชิดกว่าหน่อย 🙂 เรามาถึงเมืองกัวจูสายกว่าท่ีเขาเคยบอกไว้ เกือบสามโมงแทนท่ีจะเป็นบ่ายโมง หลังจากท่ีเจอบาเทคท่ีโรงแรมท่ีเขานอนเมื่อคืน เราตัดสินใจติดต่อกับ “หยงฉาง” เกี่ยวกับโรงแรมท่ีเพื่อนเขาเป็นเจ้าของ หากันอยู่นาน ถามคนแรกบอกให้เลี้ยวขวาท่ีส่ีแยก เลี้ยวไปหามีไม่ ถามอีกคนบอกให้เลี้ยวกลับไปไม่ค่อยอยากเชื่อเลยต้องถามอีกหลาย ๆ คน รวมทั้ง “หยงฉาง” และน้องสาวของเขาก็ช่วยโดยการโทรมาคุยทางโทรศัพท์ เพราะเขาพูดภาษาอังกฤษได้ ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเจอ พอเจอก็ไม่แน่ใจว่าข้อความท่ีหยงฉางเขียนไว้จะใช้ได้หรือเปล่า เพราะโรงแรมนั้นระดับ 4 ดาว ดูหรูและใหญ่โตมากแล้วเขาจะให้เราอยู่ฟรี ๆ รึ? มาถึงแล้วก็ต้องลองดูกันล่ะ โห…ใช้ได้ เราไม่ต้องแนะนำตัวเลย เขาจัดการเรียบร้อย หยิบกุญแจห้องมาให้ตรงหน้าเลย และพอบอกว่ามีเพื่อนมาด้วยอีกหนึ่งคน เขาก็หันไปคุยกัน แล้วก็ยื่นกุญแจมาให้อีกอัน รู้สึกเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง พอเข้ามาได้สักพักก็มีพนักงานโรงแรมมาเคาะประตูพร้อมยื่นถาดผักและผลไม้มาให้ โห…เหมือนแขกวีไอพีเลย หลังจากนั้นเราออกไปหาตลาดกินมื้อเย็น ไปเจอท่ีหนึ่งคล้ายศูนย์อาหารบ้านเราเลย มีโต๊ะเก้าอี้อยู่ตรงกลาง ร้านอาหารอยู่ข้าง ๆ ตื่นตาตื่นใจไปหน่อยเลยไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลย อาหารทางนี้ยังไม่ค่อยมันเท่าไหร่ ทำให้นึกถึงอาหารไทยบ้านเรา

ภาพผักและผลไม้ท่ีทางโรงแรมจัดมาให้ ตอนแรกนึกว่าให้เราสองห้องเท่านั้น แต่ไม่ใช่ค่ะ เขาไปเคาะทุกประตูเลย พาลนึกไปว่าตัวเองเป็นแขกวีไอพี

ภาพผักและผลไม้ท่ีทางโรงแรมจัดมาให้ ตอนแรกนึกว่าให้เราสองห้องเท่านั้น แต่ไม่ใช่ค่ะ เขาไปเคาะทุกประตูเลย พาลนึกไปว่าตัวเองเป็นแขกวีไอพี

ห้องโรงแรมท่ีเพื่อนหยงฉางเป็นเจ้าของ และให้เรานอนโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ สุดยอด

ห้องโรงแรมท่ีเพื่อนหยงฉางเป็นเจ้าของ และให้เรานอนโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ สุดยอด

พนักงานสาวออกมาส่งถึงหน้าประตู

พนักงานสาวออกมาส่งถึงหน้าประตู

ตอนเดินไปกินอาหารเช้า ท่ีเราไม่แน่ใจว่าจะรวมอยู่ด้วยแต่ก็ได้กินกัน เป็นอาหารเช้าท่ีดีท่ีสุดตั้งแต่อยู่ท่ีเมืองจีนนี่ เราเพิ่งมาเห็นว่ามีสวนท่ีน่านั่งอยู่ด้านในโรงแรม อยากอยู่ต่ออีกสักวันจะนั่งพักผ่อนให้สบายตรงนั้นแหละ เช้ามาแทบไม่อยากเช็คเอาท์ไป แต่การเดินทางต้องดำเนินต่อไป เห็นวิวข้างทางแล้วทำให้คิดว่าดีแล้วท่ีนั่งรถบัสย่นระยะทางไปหน่อย เพราะยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงดูน่าเบื่ออยู่เช่นเดิม เราไปถึงท่ีเมือง Qiaowan เข้าทางท่ีมีคนเปิดไว้ข้างทางด่วน ตอนแรกหาอะไรไม่เจอ ตำรวจบอกว่าร้านอยู่ด้านข้างพิพิธภัณฑ์ มันดูเหมือนโรงอาหารมากกว่า กินท่ีนี่มีเติมได้ด้วยเป็นถาดหลุม เรานั่งกินท่ีพื้นข้างนอกเพราะไม่อยากทิ้งจักรยานไว้ นั่งกินกันไป ตบยุงกันไป เอ…ไม่ใช่สิแค่เวชเท่านั้นท่ีต้องตบต้องคันยิก ๆ เพราะมันไม่ไปแตะโจคิมเลย มีอะไรดีแน่ ๆ 🙂 ยุงไม่ได้แค่ตอมเราเท่านั้น หันไปท่ีกระเป๋าเห็นตอมกันให้พรึ่บไปหมด ด้านนอกมีนักท่องเท่ียวจีนจากรถบัสทั้ง 3 คันมามุงดูเราเหมือนเราเป็นตัวประหลาด ชักเริ่มชินละ อยากมองก็มองไป เรากินและขอเขาอาบน้ำเพราะคิดว่าคืนนี้คงได้กางเต้นท์นอนแน่ รอจนบาเทคมา เขากินท่ีนี่ด้วยเลย ปั่นออกจากโรงอาหารง่าย ๆ นั่นท้องฟ้าเริ่มมืดละ หันไปเห็นปั้มน้ำมันฝั่งตรงข้ามเลยปั่นเข้าไปถามเขาดู ยุงเพียบเลย เขียนคุยกันไปมือก็โบกปัดยุงไปด้วย กัดจนหน้าเป็นตุ่มเล็กตุ่มน้อยไปหมด เพราะแค่ท่ีหน้าท่ียุงสามารถมาเจาะเลือดเราได้ เขาว่านอนตรงนั้นไม่ต่อยปลอดภัยเพราะเป็นท่ีท่ีเขามาเติมก๊าซธรรมชาติกัน เขาพาเราเดินกลับไปท่ีร้านอาหารถามให้เราแต่ไม่ได้ เดินเลยไปท่ีพิพิธภัณฑ์คุยกันนิดหน่อย เขาขอให้เราช่วยออกค่าใช้จ่ายนิดหน่อยเข้าพิพิธภัณฑ์ โอเค..เราได้นอนกันคนละห้อง เป็นห้องง่าย ๆ มีเตียงกับโต๊ะตัวหนึ่ง เปิดประตูแล้วต้องรีบปิด เพราะไม่อย่างนั้นมีหวังได้แขกท่ีไม่ได้รับเชิญมานอนด้วยแน่

จีนมุง เวชเข้าไปซื้อและเอาออกมานั่งกินข้างนอก กระป๋องข้างหน้าโจคิมคือกระป๋องเบียร์นะค่ะ แต่มันดูเหมือนให้คนมาโยนตังค์ให้เลยเนอะ

จีนมุง เวชเข้าไปซื้อและเอาออกมานั่งกินข้างนอก กระป๋องข้างหน้าโจคิมคือกระป๋องเบียร์นะค่ะ แต่มันดูเหมือนให้คนมาโยนตังค์ให้เลยเนอะ

ธรรมชาติแปลกตาระหว่างทางเข้าเมืองเจี๊ยวหวัน Giaowan

ธรรมชาติแปลกตาระหว่างทางเข้าเมืองเจี๊ยวหวัน Giaowan

ถ่ายกับไกด์พิพิธภัณฑ์ พอคุยกันรู้เรื่องหน่อยนึง

ถ่ายกับไกด์พิพิธภัณฑ์ พอคุยกันรู้เรื่องหน่อยนึง

ห้องนอนง่าย ๆ 3 คน 100 หยวนห้องนี้เป็นห้องเรา เวชนอนพื้นเพราะไม่ค่อยมีท่ี ตัวสั้นเลยต้องเสียสละ ;-)

ห้องนอนง่าย ๆ 3 คน 100 หยวนห้องนี้เป็นห้องเรา เวชนอนพื้นเพราะไม่ค่อยมีท่ี ตัวสั้นเลยต้องเสียสละ 😉

เช้าวันรุ่งขึ้นเดินไปดูด้านหลังของพิพิธภัณฑ์ เป็นสถานท่ีเมืองเก่า

เช้าวันรุ่งขึ้นเดินไปดูด้านหลังของพิพิธภัณฑ์ เป็นสถานท่ีเมืองเก่า

เห็นหนองน้ำปุ๊บแล้วไม่ต้องสงสัยว่าทำไมยุงถึงได้เยอะขนาดนั้น

เห็นหนองน้ำปุ๊บแล้วไม่ต้องสงสัยว่าทำไมยุงถึงได้เยอะขนาดนั้น

เขาว่าตรงนี้เคยเป็รราชวังเก่า

เขาว่าตรงนี้เคยเป็รราชวังเก่า

ตามจุดจอดพักรถส่วนใหญ่จะมีน้านอาหารและซุปเปอร์มาเกต มีร้านอาหารนี้และอีกท่ีหน่ึงท่ีเราผ่านมา เขาให้เราจ่ายตังค์ใส่บัตรก่อนหมือนท่ีเมืองไทยเลย รู้สึกคุ้นเคย อิอิ อีกร้านหนึ่งไปจ่ายท่ีเคาน์เตอร์ ได้ใบเสร็จมาก็เอาไปให้คนตักอาหาร เขาจะหยิบถาดยื่นมาแล้วเราก็ชี้ ๆ ว่าจะเอาอะไรบ้าง ถาดหลุมเหมือนกัน แต่ท่ีนี่ไม่กล้าเข้าไปเติม ไปเติมแต่น้ำแกงจืด มีแต่น้ำจริง ๆ หลังจากนั้นเราต้องปั่นไปอีก ประมาณ 70 โลได้ เพื่อไปให้ถึงจุดจอดรถถัดไป นี่คือข้อเสียอีกข้อหนึ่งท่ีปั่นอยู่บนทางด่วนนอกจากจะทำให้ยางแบนบ่อย ๆ แล้ว เรายังต้องพึ่งจุดจอดรถเพื่อเติมน้ำเติมพลัง ตามจุดพวกนี้มักมีบริการร้านอาหารเครื่องดื่ม ซุปเปอร์มาเกตเหมือนกันทั้งสองฝั่งถนน แต่ฝั่งท่ีเราปั่นมาถึง มันดูเงียบ ๆ ไม่มีรถไม่มีคน มีคนแก่หนึ่งคนนั่งอยู่หน้าห้องน้ำ ทักทายแกกี่ครั้ง ๆ แกก็ไม่ทักกลับ ไม่เปงลาย ท่าทางอารมณ์่บ่จอย เราอุตส่าห์มาถึงจุดจอดรถท่ีสองนี่ก็ตั้งใจว่าจะนอนท่ีนั่น แต่ฝั่งท่ีเราจอดไม่มีน้ำ โจคิมลองเดินลอดอุโมงค์ไปเช็คอีกฝั่ง ปรากฎว่ามีโรงแรมและน้ำท่ีจำกัด ในห้องมีแค่เตียง ห้องน้ำท่ีไม่มีน้ำเป็นห้องน้ำรวมอยู่ด้านนอก เจ้าของเขาน่ารักนะ อุตส่าห์ลองน้ำใส่กระถังให้ เวชอาบก่อนได้น้ำอุ่นเพราะน้ำร้อนหมดก่อนท่ีจะอาบเสร็จเสียอีกนี่ขนาดอาบอย่างประหยัดแล้ว คิดว่าอาบได้สะอาดหมดจดแล้วนะ ยุงยังมาตอม นอนไม่ได้เลยทั้งคืน ใส่แจ๊กเก๊ตมันมากัดท่ีมือ พอเอามือไปแอบในถุงนอนผ้าใหมบาง ๆ มันกัดทะลุเลยทั้งท่ีขาและท่ีมือ หงุดหงิดมาก เช้าขึ้นมา “บาเทค” ก็โดนกัดเหมือนกัน ถ้าได้รู้จะได้คุยกันแล้วลุกขึ้นมาจัดการกับเจ้ายุงวายร้าย โธ่..

ร้านนี้ดีท่ีสุดเพราะสามารถมองเห็นจักรยานจากโต๊ะท่ีเรานั่ง อาหารก็อร่อย แต่อยู่ตามทางด่วนเลยแพงไปนิด

ร้านนี้ดีท่ีสุดเพราะสามารถมองเห็นจักรยานจากโต๊ะท่ีเรานั่ง อาหารก็อร่อย แต่อยู่ตามทางด่วนเลยแพงไปนิด

ร้านนี้หามุมท่ีจะสามารถเห็นจักรยานมิได้เลย เราเลยต้องออกมานั่งกินข้างนอก โดยก่อนหน้านั้นก็มีจีนมามุงดู

ร้านนี้หามุมท่ีจะสามารถเห็นจักรยานมิได้เลย เราเลยต้องออกมานั่งกินข้างนอก โดยก่อนหน้านั้นก็มีจีนมามุงดู

บาเทคเพื่อนเก่ามาร่วมปั่นกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากแยกกันท่ีซาร์มาคัน ดีใจได้เจอเพื่อนท่ีคุ้นเคย

บาเทคเพื่อนเก่ามาร่วมปั่นกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากแยกกันท่ีซาร์มาคัน ดีใจได้เจอเพื่อนท่ีคุ้นเคย

เช้าออกมาเย็นนิดหน่อย ตามลม ถนนเลียบทะเลทรายโกบี เห็นเขาท่ีมีหิมะปกคลุม ข้างทางเริ่มเขียวชอุ่มไปด้วยไร่นาและสวนดอกไม้ บ่าย ๆ ฝนเริ่มตกสักประมาณชม.นึง เปียกแต่ก็ทันแห้งก่อนเข้าเมือง วันนี้รู้สึกเหนื่อยมาก จนกระทั่งเห็นสวนสาธารณะตะโกนบอกให้โจคิมกางเต้นท์เลย กดบันไดจักรยานไม่ลงเลย อ่ะ..อีกนิดนึง ทนเอาหน่อย 2 กม.เข้ามาถึงในตัวเมือง เห็นป้ายเขียนว่าโรงแรมอยู่ฝั่งตรงข้าม เดินเข้าไปถาม เขาบอกเลยว่ารับเราไม่ได้ แต่เดี๋ยวลองโทรหาตำรวจท้องถิ่นให้ เขาให้เราเอาจักรยานและกระเป๋าไปเก็บ แต่เราต้องรอบาเทคก่อน เลยไปอาบน้ำ ซักผ้ารอ พอบาเทคมาเขาขับรถพาเราไปท่ีสถานีตำรวจเพื่อไปลงทะเบียน แปลกตรงท่ีสถานีตำรวจอยู่ค่อนข้างไกลออกไปจากใจกลางเมือง เรากลับมากินข้าว ยังไม่ทันเสร็จดี ฝนเริ่มลงเม็ดแล้วมันก็ตกทั้งคืนเลย อากาศเย็นลงทันที เพราะตรงนั้นท่ีคิงชุย (Qingshui) สูงประมาณ 1600 เมตรจากระดับน้ำทะเล

วิวหลังจากท่ีเราปั่นออกจากเมืองคิงชุย

วิวหลังจากท่ีเราปั่นออกจากเมืองคิงชุย

ถ่ายจากหน้าต่างห้องพักท่ีคิงชุย

ถ่ายจากหน้าต่างห้องพักท่ีคิงชุย

ช่วงนี้เราปั่นเลียบระหว่างทะเลทรายทาคลามาคันกับโกบี ดีใจ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายท่ีจะอยู่ในทะเลทรายแล้ว เยส!

ช่วงนี้เราปั่นเลียบระหว่างทะเลทรายทาคลามาคันกับโกบี ดีใจ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายท่ีจะอยู่ในทะเลทรายแล้ว เยส!

มีสวนดอกไม้และปลูกหัวหอมอยู่ข้าง ๆ เขากำลังเก็บเกี่ยวใส่ถุงกันอยู่ เริ่มมีสีสรรหน่อยช่วงนี้

มีสวนดอกไม้และปลูกหัวหอมอยู่ข้าง ๆ เขากำลังเก็บเกี่ยวใส่ถุงกันอยู่ เริ่มมีสีสรรหน่อยช่วงนี้

ท่ีจุดจอดพักรถท่ีเก๋าไท่ (Gaotai) คือจุดสุดท้ายท่ีเราจะใช้บริการ เพราะเราจะพยายามไม่ขึ้นทางด่วนและตำรวจคงไม่ให้ขึ้นด้วยแหละ :)

ท่ีจุดจอดพักรถท่ีเก๋าไท่ (Gaotai) คือจุดสุดท้ายท่ีเราจะใช้บริการ เพราะเราจะพยายามไม่ขึ้นทางด่วนและตำรวจคงไม่ให้ขึ้นด้วยแหละ 🙂

วิวระหว่างทางท่ีปั่นออกมาจากเมืองกัวจู

วิวระหว่างทางท่ีปั่นเข้าเมือจ๋างเย่อ

ปั่นสบาย ๆ บนทางอีกฝั่งหนึ่งท่ีเขาปิดซ่อมแซมถนน

ปั่นสบาย ๆ บนทางอีกฝั่งหนึ่งท่ีเขาปิดซ่อมแซมถนน

วันท่ีปั่นเข้าเมืองจ๋างเย่อรู้สึกสบาย เพราะตามลมแถมทางลาดลงด้วย มีขึ้นบ้างนิดหน่อยแต่ปั่นสบาย พอมาถึงทางเข้าเมืองโรงแรมเล็ก ๆ ท่ีเราคิดว่าจะพักนั้นไม่มีอยู่ในแผนท่ีของกูเกิ้ล ขี้เกียจหา หันไปเห็นตำรวจพอดีเลยถาม เขาพยายามอธิบายว่าให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เราก็พยายามเข้าใจเหมือนกัน แต่พอถามซ้ำอีกทีคุณตำรวจเลยบอกว่า “ไป ตามฉันมา” แล้วเราก็เดินกันไปจนกระทั่งมาถึงหน้าโรงแรมเล็ก ๆ นั่นเลย น่ารักจังดูแลแม้แต่พลเมืองต่างชาติหน้าหมวย 😉

โจคิมเพลินปั่นเร็วไปหน่อย ตำรวจโบกให้จอดเลย ซ่าเกินเหตุเดี๋ยวได้โดนปรับหรอก แต่ก็รอดมาได้ ตำรวจจีนน่ารัก แค่โบกเฉย ๆ  ;-)

โจคิมเพลินปั่นเร็วไปหน่อย ตำรวจโบกให้จอดเลย ซ่าเกินเหตุเดี๋ยวได้โดนปรับหรอก แต่ก็รอดมาได้ ตำรวจจีนน่ารัก แค่โบกเฉย ๆ 😉

เช๊คอินอาบน้ำซักผ้าเรียบร้อยแต่ยังไม่เห็นเงาของบาเทคเลย เขาปั่นช้าค่อย ๆ ไป ทำไปทำมา อ้าว..ฝนตกลมแรง เสร็จแน่บาเทคจะรอดจากฝนมั้ยเนี่ย สักพักเราได้ข้อความจากเขา บอกว่า “หาโรงแรมไม่เจอ” เขียนกันไปเขียนกันมา เวชตัดสินใจออกไปยืนรอ อึ๋ย..หนาวอ่ะ ยืนได้สัก 15 นาที กลับขึ้นไปเอาเสื้อแจ็กเกตมาใส่ แต่ดันลืมเปลี่ยนรองเท้าใส่รองเท้าฟองน้ำลงไป ขี้เกียจขึ้นมาเปลี่ยนเนอะและคิดว่าคงไม่ใช้เวลานาน ได้ข้อความอีกอันบอกว่า “ยืนรออยู่ท่ีหอคอย คาดว่าน่าจะเป็นอันท่ีเลื่องชื่อของเมืองนี้” อ้าว..เราก็ยืนอยู่ท่ีหอคอยทำไมไม่เจอ เลยเดินไปถามน้องผู้หญิง 2 คน ตอนแรกเขาก็ไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษเท่าไหร่ นาน ๆ ไปก็เริ่มพูดมากขึ้น เพราะเขาพาเวชเดินไปโน่นรู้สึกไกลมาก แถมทำท่าทำทางว่าไม่่ค่อยแน่ใจอีก เวชก็เป็นประเภทท่ีว่าหาทางกลับบ้านไม่ค่อยถูกอยู่ด้วย สองคนคุยกันไปคุยกันมาแล้วหันมาบอกเราว่านั่งแท๊กซี่ไปเถอะ จ้าก…ข้าพเจ้าไม่มีตังค์ติดตัวออกมาสักแดงเดียว เขาบอกว่าไม่เป็นไรฉันมี เกรงใจอ่ะ เขาพยายามช่วยอย่างมาก พอไปถึงท่ีท่ีคิดว่าบาเทคน่าจะอยู่ตรงนั้น ทั้งสองคนถามว่าบาเทคหน้าตาเป็นอย่างไร ผิวสีอะไร สูงแค่ไหน เพราะเขาจะช่วยมองหา สองคนเดินควงแขนขนาบข้างเวชเลยเพราะเราเริ่มสั่น เดินหาได้สักพัก ได้ข้อความจากบาเทคว่า “อยู่ท่ีโรงแรมแล้ว” ฮึ่ม… เราทั้งสามคนฟุดฟิดขึ้นมาทันที อ้าว..เดินกลับ

น้องสองคนนี้ดูหน้าตาเด็กมากแต่เขาเริ่มมหาลัยปีหนึ่งแล้วอ่ะ ;-)

น้องสองคนนี้ดูหน้าตาเด็กมากแต่เขาเริ่มมหาลัยปีหนึ่งแล้วอ่ะ 😉

หิวแล้วเลยออกไปหาอะไรกินกันใกล้ ๆ ท่ีพักนั่นแหละ อร่อยมาก

หิวแล้วเลยออกไปหาอะไรกินกันใกล้ ๆ ท่ีพักนั่นแหละ อร่อยมาก

จีน => จาก Tulufan (ทูลูฟาน) ไป Shanshan (ชันชัน) รถทัวร์ไป Hami (ฮามิ) และ Guazhou (กัวจู)

เมื่อเย็นวานรีบหาท่ีกางเต้นท์กัน หันไปเจอท่ีโล่ง ๆ นิดหน่อยลองปั่นเข้าไปดู มันเป็นท่ีท่ีเขาปลูกกระเทียมแต่ข้าง ๆ มีท่ีว่าง ๆ อยู่เลยขอละกันนะค่ะ ขอนอนหน่อยนะคืนนี้ ท่ีท่ีมีต้นไม้ พงหญ้าก็ต้องมียุงและแมลง เลยต้องเอาเสื้อแจ๊กเก๊ตออกมาใส่กันยุง ดีท่ีแผ่นรองนอนของเราทั้งหนาทั้งนุ่ม ไม่อย่างนั้นคงได้รู้สึกถึงความเป็นลูกคลื่นของพื้นแน่เลย ตรงนั้นหาท่ีเรียบ ๆ ไม่มี ได้ยินเสียงคนเสียงรถเพราะอยู่ใกล้ถนน ก็ต้องหยุดกิจกรรมทุกอย่าง คอยมองว่าจะมีใครเดินเข้ามามั้ย? คิดว่าไม่น่ามีปัญหาเพราะตรงท่ีเรากางเต้นท์นั่นไม่มีอะไรปลูกอยู่ ตอนเช้าเราตื่นกันค่อนข้างเร็วหน่อยเพราะอยากจะไปถึงทูลูฟานเที่ยง ๆ แต่ก็บ่ายสองจนได้ เพราะโจคิมต้องปะยางก่อน จริง ๆ ทางก็เรียบ ๆ รถไม่ค่อยมีเท่าไหร่นัก แต่ถนนลาดขึ้นเล็กน้อยทวนลมนิดหน่อย ทุกครั้งที่เราออกจากจุดที่เรากางเต้นท์นอน ปั่นไปสักอย่างน้อย 10 กม.ขึ้นไปจะเห็นมีที่กางเต้นท์ท่ีดีกว่าท่ีเราเคยอยู่ ทุกทีเลย ครั้งนี้ก็เหมือนกันปั่นมาได้ 15 กม.มาเจอท่ีหนึ่งท่ีมีน้ำไหลใส่สะอาด ท่ีกางเต้นท์โล่ง ๆ แสดงว่าไม่มียุงและแมลงมากวนใจ เฮ้อ..เห็นแล้วปวดใจ แต่ตอนท่ีหยุดก็ไม่กล้าเสี่ยงปั่นต่อ เกิดไม่เจอท่ี ๆ กางเต้นท์ได้ก็แย่เหมือนกัน

แคมป์กันข้าง ๆ สวนกระเทียม

แคมป์กันข้าง ๆ สวนกระเทียม

ถนนเส้นตรงท่ีออกจากเมืองหยางจี๊ รถไม่มีมากนัก

ถนนเส้นตรงท่ีออกจากเมืองหยางจี๊ รถไม่มีมากนัก

ไม่เคยเห็นสถานีผลิตไฟฟ้าพลังลมมากมายอย่างนี้มาก่อน

ไม่เคยเห็นสถานีผลิตไฟฟ้าพลังลมมากมายอย่างนี้มาก่อน

ทำผิดกฎจราจรอย่างจัง เราเห็นคนจีนเขายังขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นมา เราก็เลยขึ้นบ้าง ตำรวจขับผ่านเราตั้งหลายครั้ง ไม่เคยว่าสักคำเลย มีบางครั้งเรียกเรา แค่อยากดูพาสปอร์ตเราเท่านั้นเอง ;-)

ทำผิดกฎจราจรอย่างจัง เราเห็นคนจีนเขายังขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นมา เราก็เลยขึ้นบ้าง ตำรวจขับผ่านเราตั้งหลายครั้ง ไม่เคยว่าสักคำเลย มีบางครั้งเรียกเรา แค่อยากดูพาสปอร์ตเราเท่านั้นเอง 😉

วันนี้เราปั่นสั้นหน่อย เพราะตั้งใจว่าจะเข้าทูลูฟานเร็วหน่อยจะได้พักยาวขึ้นอีกนิดจะได้ไปต่อในอีกวันรุ่งขึ้น เป็นครั้งแรกท่ีเห็นนักท่องเท่ี่ยวต่างชาติ อาจจะเป็นเพราะทูลูฟานมีภูมิประเทศท่ีเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือเป็นพื้นท่ีท่ีต่ำกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 150 เมตร มีอากาศท่ีร้อนและร้อนนาน แต่ท่ีสำคัญคือท่ีนี่ปลูกองุ่นได้ผลดีมีชื่อเสียงของประเทศจีน มีการเอาองุ่นมาทำลูกเกดตามแบบฉบับของชาวอูกูร เราปั่นผ่านตึกท่ีมีช่องเล็ก ๆ ตอนแรกไม่รู้ว่ามันคืออะไร นึกว่าเป็นบ้านของแกะ แพะพวกสัตว์เลี้ยง แต่เผอิญเห็นรถสามล้อท่ีเต็มไปด้วยองุ่นไปจอดอยู่หน้าประตู เลยเข้าใจว่านี่คือท่ีตากองุ่นนี่เอง

ไร่องุ่น พอเขาหันมาเห็นเราก็โบกไม้โบกมือให้มาเอาองุ่นไปกิน แต่เราอยู่บนทางด่วน ทางมันชันมาก เดินลงไปได้แต่เดินขึ้นคงลำบากน่าดู

ไร่องุ่น พอเขาหันมาเห็นเราก็โบกไม้โบกมือให้มาเอาองุ่นไปกิน แต่เราอยู่บนทางด่วน ทางมันชันมาก เดินลงไปได้แต่เดินขึ้นคงลำบากน่าดู

ท่ีตากองุ่นเพื่อทำลูกเกด เขาว่าวิธีการนี้เป็นแบบฉบับของคนอูกูร

ท่ีตากองุ่นเพื่อทำลูกเกด เขาว่าวิธีการนี้เป็นแบบฉบับของคนอูกูร

ก่อนเช็คอินเข้าโรงแรมท่ีทูลูฟานเห็นป้ายหน้าโรงแรม ‘John’s café’ และมีเขียนในไกด์บุ๊คด้วยว่ามีอาหารนานาชาติ เราเบื่อลัคมานอาหารประจำชาติของขาวอูกูรมานานแล้วถึงแม้ว่าเส้นของเขาจะอร่อยขนาดไหนก็ตาม เลยอยากไปลองกินอาหารอื่น ๆ บ้าง เห็นท่ีป้ายมีบอกพิซซ่า เสต็ก อืม…อยากกินขึ้นมาทันที แต่พอเห็นราคาเลยต้องคิดดูอีกที เห็นเขามีเมนูทำไก่สไตล์เสฉวนด้วย เลยไปลองอันนี้แทน 😉 วันนั้นถึงแม้ว่าจะร้อน แต่เรารู้สึกได้พักผ่อนสบาย ๆ จริง ๆ

ที่ร้าน ‘John’s café’ ดูแล้วน่านั่ง น่าสบายเนอะ แต่ขอโทษ มันร้อนมาก ได้ยินคำว่าเหงื่อท่วมตัวมานาน วันนั้นรู้สึกได้ทันทีว่าถ้าเราไม่มีผ้ามาเช็ดเหงื่อ ตรงพื้นท่ีเรานั่งมันคงเป็นแอ่งน้ำน้อย ๆ เลยล่ะ

ที่ร้าน ‘John’s café’ ดูแล้วน่านั่ง น่าสบายเนอะ แต่ขอโทษ มันร้อนมาก ได้ยินคำว่าเหงื่อท่วมตัวมานาน วันนั้นรู้สึกได้ทันทีว่าถ้าเราไม่มีผ้ามาเช็ดเหงื่อ ตรงพื้นท่ีเรานั่งมันคงเป็นแอ่งน้ำน้อย ๆ เลยล่ะ

ด้านหลังโรงแรม ทางเดินไปร้าน ‘John’s café’

ด้านหลังโรงแรม ทางเดินไปร้าน ‘John’s café’

และวันนี้เองท่ีปั่นออกจากเมืองทูลูฟานท่ีร้อนจนแสบหลังเหมือนถูกเผา ไมล์วัดระยะทางของเวชขึ้นเป็น 10,000 กิโลตรงท่ีเป็นจุดท่องเท่ียวของเมืองนี้ด้วยคือ Flaming mountain เป็นภูเขาดินทรายท่ีบางเวลามันจะดูเหมือนเป็นเปลวไฟ แต่วันนั้นดูสลัว ๆ มัว ๆ เลยดูเป็นภูเขาไฟมอดไป แต่ดูอลังการมาก

หมื่นโลแล้ว

หมื่นโลแล้ว

ที่ภูเขาเปลวไฟ

ที่ภูเขาเปลวไฟ

วันรุ่งขึ้นเราปั่นกันต่อจุดหมายเราคือเมืองชันชัน (Shanshan) ออกจากทูลูฟานมาได้นิดหน่อยก็มาเห็นตึกอพาร์ตเมนท์ท่ีเขาสร้างเสร็จแล้ว สังเกตุดูหลังคาสิค่ะ จีนเขานึกถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ฝั่งตรงข้ามกำลังก่อสร้าง เขาสร้างแผงเซลล์แสงอาทิตย์พร้อม ๆ กันไปเลย เราปั่นผ่านชานเมืองบางแห่ง ยังเห็นแผงพวกนี้บนหลังคาบ้านท่ีไม่ได้สร้างด้วยปูนซิเมนต์แต่เป็นดิน เห็นมอเตอร์ไซค์แบบใช้ไฟฟ้ามากมาย ไม่มีมลพิษทั้งทางอากาศและเสียง แต่เสียงนี่ไม่เป็นพิษแต่อาจจะเป็นภัยเพราะเล่นมาแบบเงียบ ๆ

ตึกอพาร์ตเมนท์ท่ีสร้างพร้อมกับแผงเซลล์แสงอาทิตย์

ตึกอพาร์ตเมนท์ท่ีสร้างพร้อมกับแผงเซลล์แสงอาทิตย์

เราวางแผนไว้ว่าจะอยู่โรงแรมชานเมืองจะได้ไม่ต้องเข้าไปหาให้ยุ่งยาก แต่มีปัญหาตรงท่ีเขาไม่สามารถรับชาวต่างชาติได้ จากท่ีแรกเราต้องปั่นเข้าเมืองอยู่ดี ก็มาเจอโรงแรมหนึ่งดูใหญ่โตมาก ดูจากขนาดแล้วน่าจะมีใบอนุญาติรับเราได้ เลยเดินเข้าไปถาม ได้ค่ะแต่แพง ขี้เกียจหาแล้วเลยเอาตรงนี้แหละ ทุกครั้งท่ีเช็คอินจะต้องเสียเวลากับการสื่อสารเรื่องห้อง ว่าไม่เอาห้องท่ีสูบบุหรี่, ท่ีจอดจักรยานต้องปลอดภัยห้ามหาย, อินเตอร์เนตแบบ wifi หรือใช้เคเบิ้ลและอาหารเช้าว่าอยู่ท่ีไหนกี่โมงถึงกี่โมง และท่ีนี่โรงแรมนี้ก็มีปัญหาว่าเราจะเอากระเป๋า 2-3 ใบทิ้งไว้ท่ีจักรยาน คนหนึ่งบอกปลอดภัยคนหนึ่งบอกไม่ได้ เฮ่อ…เหนื่อยใจเมื่อยมือท่ีต้องเขียนในไอโฟนโดยใช้กูเกิ้ลช่วยแปล ไม่มีกูเกิ้ลนี่แย่เลยนะเนี่ย สรุปได้ขึ้นห้องเสียที แค่เห็นทางเดินก็รู้สึกว่ามันจะหรูเกินไปสำหรับเราหรือเปล่าเนี่ย และพอเปิดประตูเข้าไป ไอ่หย๋า…ห้องใหญ่มาก มีอ่างอาบน้ำ แต่ครั้งนี้ไม่ได้คิดถึงเรื่องซักผ้าสักเท่าไหร่ แต่อยากลงไปแช่ขัดขี้ไคลเสียมากกว่า วันนั้นรู้สึกว่าเนื้อตัวสะอาดมาก ไม่รู้ว่าเคยสะอาดอย่างนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ 😉

โรงแรมนี้น่าจะห้าดาวมั้ง หรูเกิ้น มีห้องน้ำแห้งและเปียกแยกกัน มีห้องเสื้อผ้าสำหรับแต่งตัว

โรงแรมนี้น่าจะห้าดาวมั้ง หรูเกิ้น มีห้องน้ำแห้งและเปียกแยกกัน มีห้องเสื้อผ้าสำหรับแต่งตัว

ก่อนออกจากโรงแรมมองผ่านทางหน้าต่างดูแล้วขมุกขมัวชอบกล นึกว่าหมอกลงแต่พอเอาจักรยานออกไปนอกโรงแรมถึงเข้าใจว่าลมมันพัดฝุ่นคลุ้งเต็มเมือง แฮ่…อยากจะเดินกลับเข้าไปในโรงแรมอีกรอบเลย แถมยางหลังเวชแบนอีก เฮ้อ..ท่ีปะยางท่ีซื้อมาเป็นแผงนี่มันจะพอมั้ยเนี่ย แบนกันได้วันละหลาย ๆ รอบแบบนี้ ปะยางเสร็จเราก็ตัดใจปั่นออกจากเมืองชันชันลมแรง ฝุ่นเยอะมาก วันนั้นเราปั่นไปคุยไป ไปกันเรื่อย ๆ จริง ๆ เราปั่นบนทางธรรมดาก่อนเพราะอยากลองดูว่ายางจะแบนมั้ย มันช่างแตกต่างระหว่างท่ีปั่นอยู่บนทางด่วนท่ีไม่มีอะไรดีแค่ว่าไม่ต้องหาทางปั่นอย่างเดียวกับทางธรรมดาท่ีมีชีวิตชีวา เห็นผู้คนนั่งพักผ่อน, ขายของและทำไร่ส่วนใหญ่จะเป็นไร่องุ่น เราปั่นมาได้สักพักก็มีรถสามล้อขับผ่านเราไป เห็นเขามองมาเราเลยโบกมือให้ เขาผ่านเราไปแล้วไปจอดอยู่ข้างหน้าเรา บอกให้เราหยุดและยื่นองุ่นมาให้หนึ่งพวงใหญ่ ๆ และตามมาอีกหลายพวง เอ่อ..แล้วข้าพเจ้าจะไปวางท่ีไหน รีบหาถุงมาใส่ให้แต่เขาไม่มี จะสละผ้าพันคอมาห่อให้ เวชนึกขึ้นได้ว่าชอบสะสมถุงอยู่ท่ีกระเป๋าหน้ารถ พอหยิบออกมา คุณพี่เขาก็ยิ่งหยิบมาอีกหลายพวง พอแล้ว ถุงนั้นท่าจะปาเข้าไป 2-3 โล ครั้นจะให้ใครแถวนั้นก็คิดว่าเขาคงเบื่อกินองุ่นกันแล้ว เอาออกมาพวงหนึ่งล้างน้ำแล้วก็วางท่ีกระเป๋าหน้ารถนั่นเลย ปั่นไปกินไป เพลินมากเลย มันหวานและเป็นองุ่นไร้เม็ด เพิ่มพลังดีจริง ๆ

คุณพี่พยายามหยิบยื่นองุ่นมาให้พวงแล้วพวงเล่า เราก็พยายามปฏิเสธแต่ไม่เป็นผลจนกระทั่งต้องหาถุงมาใส่ ปั่นมาแวะปั้มซึ่งดูท่าทางห่างไกลจากเมืองมาก เลยหยิบองุ่นขึ้นมาให้เด็กปั้ม 3 พวงใหญ่ ๆ เบาและได้แบ่งปันด้วย ดีทั้งสองฝ่าย ;-)

คุณพี่พยายามหยิบยื่นองุ่นมาให้พวงแล้วพวงเล่า เราก็พยายามปฏิเสธแต่ไม่เป็นผลจนกระทั่งต้องหาถุงมาใส่ ปั่นมาแวะปั้มซึ่งดูท่าทางห่างไกลจากเมืองมาก เลยหยิบองุ่นขึ้นมาให้เด็กปั้ม 3 พวงใหญ่ ๆ เบาและได้แบ่งปันด้วย ดีทั้งสองฝ่าย 😉

ทางธรรมดาเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ เลยถูกบังคับให้ขึ้นทางด่วนอีกครั้ง ปั่นมาก็หลายกิโลอยู่ ยางยังดีอยู่ พอขึ้นทางด่วนปั่นได้ไม่เท่าไหร่ เอ๊ะ..มีเสียงอะไรท่ีล้อหน้า หยุดและสำรวจดูเลยเจอนี่เลย ลวดเส้นยาวปักติดยาวไปชนกับบังโคลนจนต้องหยุดหา ตอนแรกคิดว่าคงไม่เจาะไปถึงยางใน ปั่นไปได้สักพัก เฮ้อ..แบนอีกแล้ว

เส้นลวดเจ้าปัญหา หวังว่าหนทางข้างหน้าไม่ต้องขึ้นมาปั่นบนทางด่วนบ่อยนัก

เส้นลวดเจ้าปัญหา หวังว่าหนทางข้างหน้าไม่ต้องขึ้นมาปั่นบนทางด่วนบ่อยนัก

ปะอีกแล้ว หวังว่าท่ีปะยางคงจะพอจนกว่าเราจะไปถึงเมืองท่ีสามารถหาซื้อได้ ;-)

ปะอีกแล้ว หวังว่าท่ีปะยางคงจะพอจนกว่าเราจะไปถึงเมืองท่ีสามารถหาซื้อได้ 😉

ปั่น ๆ ไปลมเริ่มดันหลังเราไป สบายเลย แต่พอปั่นมาถึงตรงช่องเขา ลมเริ่มแรงพัดมาทางข้าง ๆ ลมแรงขึ้นเรื่อย ๆ บางครั้งมีรถบรรทุกขับผ่านเหมือนมันดูดเราเข้าไปหา จนหลายครั้งเราต้องหยุดให้มันผ่านไปก่อน ปั่นกันเอียง ๆ นึกถึงตอนท่ีเจอพายุหิมะท่ีฮังการีเลย แต่ตอนนั้นแย่กว่านี้เยอะเพราะมีหิมะหนาวติดลบ ตรงนี้เย็นเหมือนกันจนเราต้องเอาแจ๊คเก๊ตออกมาใส่ ปั่นจนเริ่มรู้สึกว่ามันเริ่มอันตรายนะ เลยมองหาท่ีกางเต้นท์ แต่ลมแรงขนาดนี้เต้นท์คงไม่ติดพื้นแน่ เราลองเดินหาช่องระบายน้ำใต้ถนนซึ่งก็เริ่มมีน้อยลง มาเจอท่ีหนึ่งค่อนข้างเตี้ย ขนาดเวชยังต้องก้มแต่ยังดีกว่านอนข้างนอกเพราะไม่รู้ว่าตกกลางคืนฝนจะตกหรือเปล่า ไม่สามารถคาดเดาได้เลย

วิวท่ีโล่งโจ้ง ไม่มีอะไรมาต้านทานลมได้เลย

วิวท่ีโล่งโจ้ง ไม่มีอะไรมาต้านทานลมได้เลย

กางเต้นท์ไม่ได้ เรานอนกันบนพื้นปูนนั่นเลย เอากระเป๋ามาวางบังลมช่วยได้เยอะทีเดียว

กางเต้นท์ไม่ได้ เรานอนกันบนพื้นปูนนั่นเลย เอากระเป๋ามาวางบังลมช่วยได้เยอะทีเดียว

เช้านี้เรานอนกันแบบเต็มอิ่มเลย ตื่นขึ้นมาก็ฉลองด้วยการเปลี่ยนยางในของเวช ล้อหลังแบน แบนกันได้ทุกวัน ขนาดใส่ยางในท่ีกันหนามแล้วนะเนี่ย ลมก็ยังแรงอยู่ ก้มหน้าก้มตาปั่นกันไป ไม่มีโอกาสได้ชมวิวทิวทัศน์แถวนั้น แต่คิดว่าคงไม่ได้พลาดอะไร เพราะเรายังอยู่ในเขตทะเลทราย เห็นมีตึกอุตสาหกรรมโรงงานอะไรสักอย่างนี่แหละ อ้าว..มีเสียงอะไรอีกละ ตึก ๆ ๆ และแล้วบันไดโจคิมเริ่มงอแง มันไม่ยอมหมุนตามเท้า ลองถอดออกมาดูปรากฎว่าลูกปืนในบันไดเสื่อม ปั่นได้สิบรอบขามันก็ติดขัด เลยต้องโบกรถเข้าเมืองฮามิ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ตอนแรกคิดว่าจะปั่นไปให้ถึงจุดจอดพักรถท่ีมีเป็นระยะ ๆ แต่ดูท่าทางคงไปได้ไม่เร็วเท่าไหร่ เราจึงคอยมองเช็คจราจรว่ามีรถบรรทุกคันไหนบ้างท่ีสามารถรับเราไปด้วยได้ แต่หามีไม่ ส่วนใหญ่จะเป็นรถบรรทุกน้ำมันหรือไม่ก็บรรทุกของกันจนเต็มคันรถแทบจะล้นออกมา เราเลยต้องพยายามไปให้ถึงจุดจอดพัก แต่พอไปถึงกลับยังสร้างไม่เสร็จ 😉 ยิ่งทำให้โอกาสท่ีเราจะได้รถเป็นไปได้ยากขึ้น เพราะมันจะขับผ่านเลยไป แต่!!! มีรถตู้คันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ ลอบมองเข้าไปในรถเห็นผู้ชายสองคนกำลังนอนพักผ่อน ขณะท่ีเราพยายามโบกรถเราก็จ้องรถตู้คันนี้ไว้ ความพยายามเราไม่เป็นผลสักเท่าไหร่ จนกระทั่งเห็นการเคลื่อนไหวในรถตู้ พวกเขาตื่นกันแล้ว!!! เราเดินเข้าไปหาเขาและพยายามเขียนคุยกับเขาทางไอโฟนขอให้เขาไปส่งเรา และเราพร้อมท่ีจะจ่ายค่าน้ำมันค่าเสียเวลาและค่าเสื่อมรถ คือตอนนั้นจ่ายเท่าไหร่บอกมา เงินไม่สำคัญสำหรับเราเสียแล้วแต่กลายเป็นเวลาและบันไดท่ีสำคัญกว่า หนุ่มน้อยทั้งสองบอกว่าเขาต้องไปทำงานต่อ ไปส่งเราถึงในเมืองไม่ได้ แต่เขาขับไปส่งเราไปสักระยะหนึ่งแถว ๆ ที่ทำงานเขาได้ พอมาถึงจุดท่ีเราต้องลง เขาก็ลงมาช่วยเราโบกรถ ขนาดเขาพูดภาษาได้ยังไม่สามารถโบกรถให้เราได้ เรายืนโบกหารถกันเกือบชั่วโมง เริ่มรู้สึกกดดันเรื่องเวลา เขาคงเห็นว่าถ้าปล่อยเราอยู่ตรงนั้นคงไม่มีหวังได้รถ เขาเลยตัดสินใจ ขับพาเราไปถึงทางขึ้นทางด่วน ซึ่งตรงนั้นรถทุกคันต้องหยุดให้ตำรวจเช็ค รวมทั้งรถบัส เขาช่วยเราถามคนขับรถจนกระทั่งได้ กระบวนการตั้งแต่เจอหนุ่มสองคนนี้จนกระทั่งได้ขึ้นรถบัสใช้เวลาเกือบครึ่งวัน นี่ขนาดมีคนจีนมายืนข้าง ๆ คอยช่วยคอยถามยังใช้เวลาขนาดนี้ :-O และก่อนท่ีเราจะบ๊ายบายกัน เวชยัดเงินใส่กระเป๋าเสื้อเขา เขารีบหยิบขึ้นมาดูและพยายามยัดกลับใส่มือเวช แบบจับมือกำไว้แล้วผลัก ๆ ดัน ๆ เวชให้ขึ้นรถบัสไป เราเกรงใจเขามากเลย เขาต้องขับรถมาตั้งไกล ขาดงานมาหลายชั่วโมง แล้วยังต้องขับกลับไปทางเดิมอีก

หนึ่งในสองหนุ่มท่ีขับรถมาส่งเราท่ีทางขึ้นทางด่วน หาทางช่วยเหลือเราอย่างเต็มท่ี ชื่อก็ไม่ได้ถามมาแถมไม่ยอมให้เราตอบแทนอะไร คนจีนก็น่ารักเหมือนกันนะ

หนึ่งในสองหนุ่มท่ีขับรถมาส่งเราท่ีทางขึ้นทางด่วน หาทางช่วยเหลือเราอย่างเต็มท่ี ชื่อก็ไม่ได้ถามมาแถมไม่ยอมให้เราตอบแทนอะไร คนจีนก็น่ารักเหมือนกันนะ

เข้ามาถึงเมืองฮามิ (Hami) มืดพอดี ท่ีจีนนี่ก่อนท่ีเราจะเช็คอินเข้าพัก เราต้องถามก่อนว่าเขาสามารถรับชาวต่างชาติได้มั้ย เหมือนเขาลืมเองนะ เพราะเวชก็คุยภาษาจีนไม่ได้แค่หน้าท่ีเหมือนจีน ถามแล้วถามอีกว่าได้มั้ยก็ยังบอกว่าได้ พอเอาพาสปอร์ตให้ดูถึงมาบอกว่าไม่ได้ เฮ่อ… โหลดกระเป๋าขึ้นจักรยานอีกรอบปั่นไปหาท่ีใหม่ ขณะปั่น ๆ อยู่ก็มีจักรยานคันหนึ่งปั่นมาข้าง ๆ และถามอะไรสักอย่างเดาไม่ออก เวชเห็นว่าเขาใช้จักรยานของเทรค (Trek) นั่นแสดงว่าเขาต้องรู้ว่าร้านจักรยานอยู่ที่ไหน เลยจอดและคุยกับเขา เขาถามว่าเราจะไปพักท่ีไหน พอเราบอกว่ากำลังหาอยู่ เขาเลยพาเราไปท่ีโรงแรมแห่งหนึ่ง Super 8 ช่วยถามช่วยเจรจาลดราคาค่าห้องให้ จัดการให้เราได้บัตรวีไอพีเพื่อไปใช้ลดราคาท่ีซุปเปอร์ 8 ที่เมืองอื่น ๆ คืนแรกเราจ่ายเต็มแต่คืนท่ีสองเราได้ลด 10% ก็ยังดีเนอะ โรงแรมท่ีนี่ต่อได้นะ ลดได้ประมาณ 10-20% หรืออาจจะมากกว่านั้น ตอนแรกก็ไม่กล้าต่อ หลัง ๆ ลองต่อดู ต่อกันไปต่อกันมาสนุกดี เขาก็น่ารักนะ

เพื่อนใหม่เราน่ารักมากและครั้งนี้ไม่ลืมท่ีจะถามชื่อแต่ต้องจดไม่อย่างนั้นไม่สามารถจำได้ 🙂 ชื่อ หวังหยงฉาง คืนนั้นพาเราไปกินข้าว กินเสร็จขับรถไปส่งท่ีโรงแรมอีก เราช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ พอวันรุ่งขึ้นเราเอาจักรยานไปเซอร์วิส รถโจคิมเปลี่ยนบันได เช็คเกียร์ ส่วนรถเวชต้องเปลี่ยนลูกปืนและแกนของล้อหลัง เพราะตอนเปลี่ยนยางในสังเกตุเห็นว่าเอานิ้วดันล้อไปข้าง ๆ ได้ตอนท่ีจะใส่เบรคเข้าท่ีเดิม พอไปถึงร้านเลยให้เขาเช็คทุกล้อเลย เราคงต้องคอยดูแลใกล้ชิดมากกว่านี้ จักรยานสองคันนี้ถือว่าเป็นสมาชิกในครอบครัวเราต้องดูแลกันเยอะ ๆ หน่อย หยงฉางส่งข้อความถามมาว่าจะไปกินข้าวมั้ย? เมื่อคืนเขาเลี้ยงเราเลยอยากเลี้ยงเขาคืน เขียนกลับไปว่า ”โอเค ท่ีไหน เมื่อไหร่” ต้องเขียนสั้น ๆ นะ ไม่อย่างนั้นกูเกิ้ลแปลมั่ว เขาเขียนกลับมาว่า ”อีก 10 นาที” อ้าว…แล้วจะเจอกันยังงัย เขาบอกว่าให้รอท่ีนั่น สักพักหนึ่งมีรถสีแดง 4WD ใหม่เอี่ยมมาจอดหน้าร้านจักรยานและมีเพื่อน ๆ (4 คน) ของเขาเดินมาหา เราทั้งหมดเลยกระโดดขึ้นรถเขาพาเราไปกินติ่มซำ มีจานหนึ่งไส้เนื้อลาด้วย ไม่บอกก็ไม่รู้หรอก แต่อิ่มอร่อยจนถึงเย็นเลย

เพื่อน ๆ ของหยงฉาง น่ารักมาก หลังจากกินอิ่มแล้วเราถามเขาว่าร้านขายของ outdoor อยู่ท่ีไหนเขาขับพาไปส่งเลย ถ้าเขาไม่ต้องกลับไปทำงานคงจะไปช่วยเราหาซื้อด้วยแน่ :-)

เพื่อน ๆ ของหยงฉาง น่ารักมาก หลังจากกินอิ่มแล้วเราถามเขาว่าร้านขายของ outdoor อยู่ท่ีไหนเขาขับพาไปส่งเลย ถ้าเขาไม่ต้องกลับไปทำงานคงจะไปช่วยเราหาซื้อด้วยแน่ 🙂

ออกไปเดินช้อปปิ้งซื้ออาหารและน้ำสำหรับวันรุ่งขึ้น มาเจอแพ๊คนี้ งง มีลูกตาอยู่ด้วยอ่ะ น่าสงสัยว่าเขาจะเอาไปทำอะไร ;-)

ออกไปเดินช้อปปิ้งซื้ออาหารและน้ำสำหรับวันรุ่งขึ้น มาเจอแพ๊คนี้ งง มีลูกตาอยู่ด้วยอ่ะ น่าสงสัยว่าเขาจะเอาไปทำอะไร 😉

ท่ีจีนเขาคงกินบะจ่างกันทั้งปีมั้ง มีแช่แข็งด้วย แต่ลูกเล็กกว่าท่ีแม่เวชเคยทำและคิดว่าคงไม่อร่อยเท่าแน่นอน ;-)

ท่ีจีนเขาคงกินบะจ่างกันทั้งปีมั้ง มีแช่แข็งด้วย แต่ลูกเล็กกว่าท่ีแม่เวชเคยทำและคิดว่าคงไม่อร่อยเท่าแน่นอน 😉

เราเปลี่ยนแผนนิดหน่อย!!! ยังจำเพื่อนเก่าเราได้มั้ยคะ? บาเทคจากโปแลนด์เขาปั่นห่างจากเราประมาณ 2-3 วัน เพราะเขาสามารถเข้าจีนได้ในขณะท่ีเราค้างเติ่งอยู่ท่ีหมู่บ้านในคีร์ซกิสถาน ตอนนี้เขาอยู่ท่ีเมืองกัวจู (Guazhou) เราเลยตัดสินใจขึ้นรถบัสจากเมืองฮามิไปเมืองกัวจูที่ไกลออกไปอีกประมาณ 400 กม.เพื่อเจอกับบาเทค โชคดีท่ีเราได้รับการช่วยเหลือจากพนักงานท่ีโรงแรมพาไปซื้อตั๋วรถทัวร์ เพราะยุ่งยากมากตอนแรกว่าจะขึ้นรถไฟ แต่คนจีนเขาคงเดินทางกันเป็นว่าเล่นมั้ง ขนาดวันธรรมดาตู้นอนยังเต็ม เขาเลยพาเราไปเช็คท่ีสถานีรถบัส เราซื้อได้ตั๋วท่ีนั่งแต่ปรากฎว่าค่าระวางจักรยานแพงกว่าอีก ท่ีเราตัดสินใจเช่นนี้เพราะเราเริ่มเบื่อทะเลทราย อยากเห็นอะไรเขียว ๆ แล้วและความท่ีรู้สึกว่าเราคืบหน้าไปช้า เรื่องวีซ่าเพื่อความสะดวกในการต่ออายุเราต้องต่อท่ีเมืองเล็กแห่งหนึ่งซึ่งเราต้องไปให้ทันก่อนวีซ่าจะหมดอายุ เราอยากปั่นขึ้นเขามากกว่าปั่นอยู่ในทะเลทรายท่ีเราปั่นผ่านกันมาแล้วทั้งท่ีคาซัคฯ และอุซเบกฯ คิดว่าพอละ

ใต้ท้องรถทัวร์บรรทุกของจิปาถะ กระเป๋าเดินทาง จักรยาน และยังมีสัตว์ด้วยเช่นหนูตัวเล็ก ๆ และ แกะเป็น ๆ :-O

ใต้ท้องรถทัวร์บรรทุกของจิปาถะ กระเป๋าเดินทาง จักรยาน และยังมีสัตว์ด้วยเช่นหนูตัวเล็ก ๆ และ แกะเป็น ๆ :-O

คืนก่อนท่ีเราจะออกเดินทาง “หยงฉาง” มาเคาะประตูห้องท่ีโรงแรม เขาแวะมาคุย เขาเองก็สงสัยว่าทำไมเราไม่ปั่นต่อ นั่งเขียนคุยกันสักพักเขาถามเราว่าถ้าเขาจะพาลูกชายเขามาให้รู้จักจะได้มั้ย น่ารักเนอะมีการขออนุญาติก่อนด้วยอ่ะ ได้สิทำไมจะไม่ได้ สักพักเขากลับมาพร้อมกับลูกชายอายุ 11 ปี น่ารักมาก คงจะถูกอบรมมาอย่างดี แต่ท่ีดีอีกอย่างคือเขาพูดภาษาอังกฤษได้ เก่งมากสำหรับเด็กอายุแค่นี้ เลยให้เขาสอนภาษาจีนให้เขียนและออกเสียงให้ฟัง เช้าวันรุ่งขึ้นตอนเราจะไปขึ้นรถทัวร์ “หยงฉาง” ยังมาส่งท่ีสถานีแถมเอาชาแพ๊คอย่างดีมาให้ด้วย รู้สึกอบอุ่นปลอดโปร่งดีท่ีีมีเพื่อนเรามายืนอยู่ข้าง ๆ คอยเป็นล่ามให้

คุณพ่อและคุณลูก น่ารักจริง ๆ แวะมาบ๊ายบายท่ีโรงแรมดูรูปกัน

คุณพ่อและคุณลูก น่ารักจริง ๆ แวะมาบ๊ายบายท่ีโรงแรมดูรูปกัน

จีน => จาก Yanqi (หยางจี๊) ผ่าน Hoxud (ฮ๊อคซุด) – Toksun (ทุคชุน) – Tulufan (ทูลูฟาน)

เรายังปั่นอยู่บนทางด่วนเช่นเคย การจะหยุดพักหาของกินและน้ำดื่มก็ต้องพึ่งจุดจอดพักรถหรือที่เขาเรียกกันว่า “Service Center” ส่วนใหญ่เราจะเช็คในแผนท่ีในกูเกิ้ลว่าอีกกี่กิโลจะถึงจุดนั้น ๆ บางครั้งก็ไม่ตรงเสียทีเดียว แต่ส่วนใหญ่จะมีมากกว่าอาจจะเป็นเพราะกูเกิ้ลอัพเดทไม่ทันเพราะจีนสร้างทุกอย่างเร็วทันใจ ในกูเกิ้ลว่าจากเมืองหยางจี๊ออกไปอีก 50 กม.จะมีจุดจอดพักรถ แต่ปั่นไปได้แค่ 44 กม.ก็เห็นล่ะที่เมืองฮ๊อคซุดนี่เอง บางครั้งมีจุดจอดแต่ยังไม่มีเซอร์วิส ช่วงนี้เรายังปั่นบนทางด่วนได้ แต่เมื่อไหร่ที่เราเข้าเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่นมากขึ้น เราต้องลงไปใช้ทางสายธรรมดา ออกจากหยางจี๊เกือบเที่ยง อากาศเริ่มดีขึ้นตามลมปั่นสบาย ๆ บรรยากาศข้างทางก็เริ่มเขียวมีการทำสวน เห็นว่าแถวนั้นมีทะเลสาปที่ค่อนข้างใหญ่ คิดว่าชื่อ “ทะเลสาปบอสตัน” วันนี้ทางขึ้น ๆ ลง ๆ จนถึงจุดสูงสุดท่ี 1500 เมตรจากระดับน้ำทะเล และ 30 กม.สุดท้ายก็ลงอย่างเดียว สนุกมาก แซงรถบรรทุกตั้งหลายคันที่ต้องลงมาอย่างช้า ๆ

วิวจากทางด่วน หลังจากออกจากเมืองหยางจี๊

วิวจากทางด่วน หลังจากออกจากเมืองหยางจี๊

วิวระหว่างทาง

วิวระหว่างทาง

30 กม.สุดท้ายลงอย่างเดียวลงมาที่เมืองทุคชุน มันส์มาก

30 กม.สุดท้ายลงอย่างเดียวลงมาที่เมืองทุคชุน มันส์มาก

ไหลลงมาถึงเมืองทุคชุน จากระดับความสูง 1500 ม.ลงมาที่ 0 เมตร ไอ่หย๋า..ร้อนอย่าบอกใคร เหมือนเตาอบ เมืองนี้อยู่ในเขตทูลูฟานซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใต้ระดับน้ำทะเลถึง 150 เมตร ใจจริงอยากจะปั่นต่อไปข้างหน้าเพราะไต่ขึ้นไปที่ความสูง 400 เมตรน่าจะเย็นขึ้นมาหน่อย แต่ต้องเติมพลังก่อนอีกอย่างคือยางแบนอีกแล้ว คราวนี้ล้อหลังทั้ง ๆ ที่เปลี่ยนยางในแบบหนากันหนามได้แต่กันเจ้าเส้นลวดนี่ไม่ได้มั้ง โดนไป 3 รู กิน “ลัคมาน” เสร็จก็จัดการปะยางต่อ หลัง ๆ มานี่ขี้เกียจนับแล้วว่าแบนไปกี่ครั้ง วันนี้ก็ต้องเปลี่ยนยางในไปสองรอบ วิวระหว่างทางไปเมืองทูลูฟานสวยมาก มีช่วงหนึ่งกำลังปั่น ๆ อยู่เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทางเปิดไฟฉุกเฉินทิ้งไว้แล้วออกมาโบกไม้โบกมือ เราคิดว่ารถเขาคงมีปัญหา คงไม่ได้โบกให้เรา เราเลยปั่นผ่านไปสักพักเขาขับผ่านเราก็ยกนิ้วให้ เราเลยเข้าใจว่าเขาพยายามโบกให้เราจอด เขาขับไปสัก 2-300 เมตรและจอดข้างหน้าเรา เราเลยต้องหยุด เมินเขามาทีละเลยจอด เขาอยากถ่ายรูปเรา เอา ๆ … มายืนมา แช๊ะ ๆ ไปสัก 4-5 ใบ คุยกับเขาหน่อยก็ประโยคเดิม ๆ นั่นแหละค่ะ หนึ่งในนั้นเปิดท้ายรถหยิบขวดน้ำมาให้ 5-6 ขวดได้มั้ง อืม..กำลังจะปั่นเข้าปั้มไปซื้ออยู่พอดี ดีเลยไม่ต้องเสียตังค์ซื้อน้ำ ขอบคุณค่ะ

คนมือบอนมีอยู่ทั่วไป ขนาดในทะเลทรายยังไม่วายเลยนิ

คนมือบอนมีอยู่ทั่วไป ขนาดในทะเลทรายยังไม่วายเลยนิ

เห็นเขาปีนขึ้นไปเขียนบนเขา เลยอยากสัมผัสดูมั่ง เปล่านะไม่ได้ไปทิ้งอะไรไว้ ;-)

เห็นเขาปีนขึ้นไปเขียนบนเขา เลยอยากสัมผัสดูมั่ง เปล่านะไม่ได้ไปทิ้งอะไรไว้ 😉

คืนนั้นเราขอเขากางเต้นท์ท่ีปั้ม แต่พอดูอีกที เดี๋ยวเราต้องต้มมาม่ากินเลยไปกางตรงที่เป็นเนินทรายถัดออกไปอีกหน่อยคิดว่าดีกว่าด้วยเพราะเป็นส่วนตัวมากกว่า แต่ตอนท่ีเรากำลังกางเต้นท์จัดโน่นจัดนี่ มีคนเดินมาด้านหลังเราทั้ง ๆ ที่ดูแล้วไม่น่าจะมีบ้านคน เขาอาจจะได้ยินเสียงเราเลยเดินมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นมากกว่า คุยกันไม่รู้เรื่อง สักพักเขาก็เดินกลับไป ตอนนอนก็รู้สึกร้อน ๆ แต่สักพักเท่านั้นเองอากาศเริ่มเย็นลง ถึงขนาดต้องเอาถุงนอนออกมาห่มและอีกสักพักต้องปิดประตูเต้นท์ด้วย แต่นอนตอนอากาศเย็นดีกว่าร้อน ๆ นะสบายกว่ากันเยอะเลย เช้าวันต่อมาเราเดินไปนั่งกินอาหารเช้าที่หน้าปั้มเพราะจะไปขอน้ำร้อนเขาชงกาแฟดื่มกัน พอเดินเข้าไปเขาก็ชวนกินกับเขาด้วย เกรงใจเลยขอแต่น้ำร้อนมาจะซื้อน้ำส้มขวดหนึ่ง เดินไปจ่ายตังค์แต่เขาพยักหน้าบอกเราให้เอาไปดื่มเถอะ น่ารักจังแต่พวกเขาเป็นชาวอูกูร ไม่รู้ว่าถ้าเป็นชาวจีนจะน่ารักเหมือนกันมั้ย???

จุดกางเต้นท์เมื่อคืน ไม่ใกล้ไม่ไกลจากปั้มน้ำมัน

จุดกางเต้นท์เมื่อคืน ไม่ใกล้ไม่ไกลจากปั้มน้ำมัน

กลับเข้าสู่ถนนปุ๊บทางลาดขึ้นทันที ค่อย ๆ ขึ้น แต่เอาการเหมือนกันเล่นเอาเหนื่อยพอดู ช่วงนี้เราปั่นข้ามเขาวิวสวยมาก หยุดถ่ายวีดีโอและรูปบ่อยมากเลือกรูปไม่ถูกเลยว่าจะลงภาพไหนดี ช่วงนี้มีจุดจอดพักรถเยอะ แต่ไม่มีจุดไหนท่ีขายอาหารหรือน้ำเลย ปั่นมาถึงท่ีหนึ่งเห็นมีป้ายและมีตัวอักษรตัวหนึ่งที่รู้ความหมายนั่นคือ “น้ำ” พอเข้าไปถามว่ามีเป็ปซี่มั้ย คำตอบคือไม่มี มีแต่น้ำที่เติมให้รถยนต์รถบรรทุก เฮ่อ..โอเค งั้นก็ไปต่อ แต่เขาเรียกเรากลับไปแล้วหยิบแตงโมออกมาจากตู้เย็นให้เรากินกัน น่ารัก คนอูกูรอีกแล้ว เส้นทางนี้ตอนที่เช็คจากแผนท่ีภาพผ่านดาวเทียม เห็นแล้วหมดอารมณ์จะปั่นเพราะไม่มีอะไรเลย มีแต่สีน้ำตาลอ่อนซึ่งน่าจะแปลว่าทะเลทราย แต่ในภาพดาวเทียมเราไม่เห็นความแตกต่าง ไม่เห็นว่ามีเขาหลากหลายรูปแบบ อย่างไรเราก็ต้องปั่นพอปั่นเข้าไปแล้ว โอเค..ไม่มีอะไรก็จริง แต่วิวที่ได้เห็นกับตามันทำให้เราทึ่งกับสภาพภูมิประเทศช่วงนั้นมาก ตะลึงกับความงามจนไม่อยากไหลลงมาเร็วเกินไปนัก มาถึงตรงนี้ไม่นึกเสียดายที่พลาดโอกาสซื้อทัวร์ที่คัชก้า เพื่อออกไปสัมผัสกับทะเลทราย มาอยู่ ณ จุดนี้คิดว่าคุ้มเหมือนกัน ชมภาพและบรรยากาศกันนะค่ะ

ตอนขึ้นก็เหนื่อยแต่คุ้มท่ีอุตส่าห์ปั่นขึ้นไป

ตอนขึ้นก็เหนื่อยแต่คุ้มท่ีอุตส่าห์ปั่นขึ้นไป

หยุดพักและถ่ายรูปกันบ้างบ่อย ๆ

หยุดพักและถ่ายรูปกันบ้างบ่อย ๆ

วิวระหว่างทางไปทูลูฟาน

วิวระหว่างทางไปทูลูฟาน

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

จีน => พัก 1 วันท่ี Korla (โคร์ลา) ต่อไป Yanqi (หยางจี๊)

ตื่นเช้าปั่นไปได้นิดหน่อยแค่ 400 เมตรมั้ง ยางโจคิมแบน ฉลองวันใหม่ด้วยการปะยางเลย โจคิมอารมณ์เสียแต่เช้า 🙁 ป่ันกันมากำลังเหนื่อย ๆ กำลังจะหมดแรงและหมดกำลังใจว่าจะมีท่ีพักหรือเปล่า ก็มาเจอที่จอดรถมีร้านอาหารพอดี เหมือนเคย!! ทุกร้านมีแต่รัคมาน (อาหาร “ประจำชาติ” ของคนอูกูร) ดีกว่าไม่มีอะไรกินเนาะ เส้นเขาอร่อยนะ ทำเองสด ๆ ไม่เคยเห็นมีขายที่ไหน ว่าจะลองขอซื้อเขามาสักหน่อยชักเบื่อกินเส้นมาม่าละ เราหาซื้อเส้นสปาเก็ตตี้ไม่ได้เลยทุกร้านมีแต่มาม่า แต่ท่ีนี่มาม่าห่อใหญ่กว่าบ้านเราเยอะนะ พอกินกันเสร็จจะจ่ายตังค์ โจคิมหันไปจะหยอดน้ำมันท่ีโซ่ ปรากฎว่ายางแบนอีกแล้ว สงสัยแบนตอนท่ีเลี้ยวเข้าร้าน เพราะแถวนั้นมีร้านซ่อมเปลี่ยนยางให้รถใหญ่ อย่างท่ีเคยบอกไว้เมื่อคราวท่ีแล้วว่าบนถนนไฮเวย์มักจะมีเศษเส้นลวดท่ีกระจายออกมาจากล้อของรถใหญ่ท่ีระเบิด ไว้เอารูปมาแปะให้ดูกันค่ะ ดีท่ีมาแบนตรงท่ีเรานั่งอยู่แล้ว ร่ม ๆ ปะ ๆ อยู่มีเด็กมานั่งมองนั่งเล่นหมุนล้อจักรยานเล่น

ปั่นมาได้ 21 กม. เวชสังเกตุว่าทำไมล้อหลังดูเหมือนไม่มีลม เลยหยุดเพื่อจะสูบลม แต่สูบยังงัยก็ไม่เห็นเต็มสักที อ้าว…แบนเหมือนกัน เอ้า…หยุด ปะ เสร็จแล้วก็ปั่น ปั่นไปได้ 99 กม. ล้อเวชแบนอีก เจอ 3 รู ไปซ่อมท่ีอุโมงค์ใต้ถนน เลยถือโอกาสเอาแคนตาลูปของลุงท่ีให้มาเมื่อวานมากินกันให้หายโมโห หลังจากนั้นเราเริ่มระวังมากขึ้น เพราะไม่อย่างนั้นไปไม่ถึงไหนแน่วันนี้ มัวแต่หยุด ๆ ปะ ๆ อยู่นี่ แต่อีกสักพักยางโจคิมดูแบน ๆ จนได้ เลยสูบลมเข้าไปก่อน แล้วรีบปั่นเข้าเมืองโคร์ลา

ปะกันเป็นว่าเล่น ไม่สนุกเลย

ปะกันเป็นว่าเล่น ไม่สนุกเลย

ทางเข้าเมืองโคร์ลาดูไม่ออกเลยว่าจะเป็นเมืองใหญ่ขนาดนี้ เพราะมันใหญ่พอ ๆ กับเมืองโกเธนเบิร์กที่เป็นเมืองที่สองของสวีเดน ก่อนจะถึงโรงแรมเราคอยมองหาร้านจักรยาน เห็นร้านไจแอนท์อยู่ฝั่งตรงกันข้าม จอดทันทีเพราะต้องการให้เขาจัดสมดุลย์ล้อให้ใหม่และซื้ออุปกรณ์ปะยาง เราข้ามไปคุย แต่คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เด็กท่ีร้านเลยโทรไปหาลูกค้าคนหนึ่งท่ีพูดภาษาอังกฤษได้ เราไปเช็คอินที่โรงแรมก่อนแล้วปั่นกลับไปท่ีร้าน พอกลับมาอีกทีได้คุยกับเขา แต่ท่ีร้านไม่มีอะไหล่ท่ีต้องการ เลยต้องไปอีกสาขาหนึ่ง ซึ่งเพื่อนคนนั้นนำไป เด็กคนนั้นก็ปั่นมาด้วย แต่เผอิญยางแบนตอนที่เพิ่งออกจากร้านมาเลยแยกกันตรงนั้น ตอนปั่นไปอีกร้านหนึ่ง เราผ่านห้างเล็กใหญ่สารพัด ผ่านสวนสาธารณะที่เขามาออกกำลังกายกัน นึกถึงสวนลุมบ้านเรา 🙂 มีทางจักรยานที่กว้างมาก แต่จราจรที่นี่แย่มาก ขับขี่กันสวนกันแบบไม่ค่อยมีระเบียบ คืนนั้นเราทิ้งจักรยานไว้ที่ร้านให้เขาเปลี่ยนโซ่และเกียร์ทั้งสองคัน เพราะเริ่มขี้เกียจถอดโซ่ออกมาล้างที่สำคัญคือไม่ต้องแบกโซ่ด้วย เราพยายามลดน้ำหนักกระเป๋า รู้สึกดีที่มาถึงจีนที่ที่มีทุกอย่าง ไม่เหมือนตอนที่อยู่ที่ประเทศสถาน ๆ ทั้งหลายที่เราต้องพกทุกอย่างทั้งท่ีจำเป็นและที่ควรจะมี แต่ท่ีจีนเมื่อไหร่ท่ีเราเข้ามาในเมืองท่ีใหญ่หน่อยท่ีนั่นจะมีทุกอย่างแถมมียี่ห้อด้วย คนนำทางบอกว่าปั่นไปแค่ 2 กม. แต่คิดว่าไกลกว่านั้นนะ เราต้องเรียกแท๊กซี่กับโรงแรม ให้เขาเขียนชื่อโรงแรมให้ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะบอกคนขับอย่างไร แท๊กซี่ท่ีนี่ไม่แพงนะ ราคาเริ่มต้นท่ี 5 หยวน ขับจะถึงท่ีอยู่ล่ะยังขึ้นไม่ถึง 6 หยวนเลย คงได้ใช้บริการอีกแน่ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นท่ี 5 หยวนเหมือนกันทั้งประเทศหรือเปล่านะสิ

ภาพที่ร้านไจแอนท์ร้านแรกร้านเล็กกว่าร้านที่เราไปทิ้งจักรยานไว้ แต่ไม่ได่ถ่ายรูปมา

ภาพที่ร้านไจแอนท์ร้านแรกร้านเล็กกว่าร้านที่เราไปทิ้งจักรยานไว้ แต่ไม่ได่ถ่ายรูปมา

ภาพในเมืองโคร์ลา

ภาพในเมืองโคร์ลา

ภาพในเมืองโคร์ลา

ภาพในเมืองโคร์ลา

ท่าทางเราต้องหาวิธีศึกษาภาษาจีนเสียแล้ว เพราะพอเขาเห็นหน้าเราเขาก็พ่นภาษาจีนใส่ ก็หน้าหมวยขนาดนั้น เวชต้องออกตัวก่อนทุกครั้งว่า “ฉันเป็นคนไทย = ไทกั๋วเหยิน และ รุยเดี่ยนเหยิน = คนสวีเดน” อืม… ก่อนหน้านี้มักจะบอกว่า “ฉันเกิดที่ไทย แต่จริง ๆ ฉันเป็นคนจีน” พร้อมกับเอานิ้วดึงหางตาชี้ขึ้น แต่ที่นี่ ท่ีเมืองจีนเคยทำครั้งหนึ่งแล้วรู้สึกเสียมารยาทยังงัยไม่รู้ มีครั้งหนึ่งไปท่ีร้านขายยา คนขายเขาวาดมือทั้งสองข้างจากหน้าผากลงมาท่ีคาง (อ๋อ…เขาทำอย่างนี้กันท่ีนี่ละมั้ง) และพูดทำนองว่าหน้าตาเราเหมือนคนจีน เราเลยต้องอธิบายไปว่าเราเป็นจีนท่ีเกิดท่ีเมืองไทย เฮ้อ…คงต้องหัดพูดประโยคนี้เป็นภาษาจีน หรือไม่อย่างนั้นก็เขียนใส่แผ่นกระดาษเสียเลย 🙂 ตามเส้นทางจากชายแดนระหว่างคีร์ซกิสถานและจีนถึงตรงนี้ ยังไม่ค่อยเจอใครท่ีพูดภาษาอังกฤษได้ จนมาถึงโรงแรมท่ีนี่ มีผู้จัดการสาวคนหนึ่งพูดได้คล่องและช่วยเหลือดีมาก แถมยังให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ด้วยเผื่อมีอะไรให้ช่วย

ผู้จัดการสาวท่ีโรงแรม

ผู้จัดการสาวท่ีโรงแรม

วันต่อมาเราเดินชมเมืองและไปรับจักรยาน เผอิญเดินผ่านร้านจักรยานอีกร้านหนึ่งชื่อ UCC มีขายทั้งเสือภูเขา เสือหมอบ ทัวร์ริ่ง คิดว่าน่าจะขายอย่างเดียว ไม่เหมือนร้านไจแอนท์ท่ีมีรับซ่อมและขายอะไหล่ด้วย เราลองเดินเข้าไปดู ๆ เขาเข้ามาทัก แน่นอนเป็นภาษาจีนและก็แน่นอนท่ีเราบอกเขาอย่างท่ีเขียนไว้ข้างบนนี่ เฮ่อ…แค่คิดนี่ก็เหนื่อยแล้ว ว่านี่ฉันต้องพูดอธิบายทุกอย่างไปอีกสามเดือนข้างหน้าหรือเนี่ย :-O แต่ผู้หญิงคนนี้เขาน่ารัก ชวนให้นั่งก่อน เอากาแฟมาเสริฟและยังถามอีกด้วยว่าใส่น้ำตาลมั้ย? ครีมมั้ย? ธรรมดาโจคิมสั่งกาแฟดำยังได้น้ำตาลใส่มาด้วยทั้ง ๆ ท่ีบอกว่าเอาแต่กาแฟ เธอพยายามตั้งใจฟังและพยายามที่จะเข้าใจและบอกเล่าให้เพื่อนร่วมงานฟังด้วย ท่ีนี่ดีอย่างคือเวลาเราบอกคนหนึ่งไปแล้ว เขาก็จะเล่าต่อให้คนอื่น ๆ ฟัง แต่สงสัยว่าทำไมฟังดูประโยคยาวกว่าท่ีเราบอกไปหว่า 🙂 เขาคงแต่งเติมบ้างละมั้ง พวกเขาคงเริ่มสนใจว่าเราไปมาอย่างไรถึงมาถึงเมืองนี้ได้ เราเลยให้นามบัตรกับเขาและเปิดดูบล๊อคด้วยกัน

ที่ร้าน UCC กับพนักงานและลูกค้า

ที่ร้าน UCC กับพนักงานและลูกค้า

เราเดินต่อไปท่ีร้านไจแอนท์ ซื้อของเพิ่มเติมเช่นน้ำมันหยอดโซ่ ที่สูบลม และที่สำคัญคือแผ่นปะยางคราวนี้ซื้อยก 4 โหลเลย 48 อัน แบนบ่อยเหลือเกิน แถมเหลือบไปเห็นยางในที่หนาหน่อยกันหนามทิ่มได้ดีขึ้น เอาค่ะ สองเส้นเลยค่ะ ไหน ๆ อยู่ท่ีร้านละก็ขอยืมเครื่องมือเขาเปลี่ยนยางเสียเลย หมดเรื่องหมดราว พอปั่นกลับมาท่ีโรงแรมก็เริ่มทำการปะยางมาราธอนกันเลย มียางในทั้งหมด 6 เส้นรั่วหมดเลย บางเส้นมีรอยปะหลายอันละ ถ้าปะอีกสัก 4-5 ครั้งคงจะรอบยางพอดี ทีนี้คงไม่แบนเพราะมีเกราะคุ้มกันเกือบรอบยาง 🙂

นั่งปะยางท่ีโรงแรมสี่ดาว ก่อนจะไปหาซื้อท่ีปะยางเรามีเหลืออยู่แค่ 1 อันเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ เพียบ!!!

นั่งปะยางท่ีโรงแรมสี่ดาว ก่อนจะไปหาซื้อท่ีปะยางเรามีเหลืออยู่แค่ 1 อันเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ เพียบ!!!

วันรุ่งขึ้นได้เวลาออกเดินทางต่อ เป้าหมายจริง ๆ คือเมืองฮ้อคซุด (Hoxud) แต่ตอนเช้าได้ยินเสียงลมแล้วหดหู่มาก เราอยู่ชั้น 9 ลมกระแทกตึกเสียงดังน่ากลัวมาก เห็นต้นไม้ข้างล่างไหวเอียงแล้วขอรอก่อนอีกหน่อย ออกไปผจญกับลมแรง ๆ เสียพลังงานเปล่า ๆ ดีท่ีโรงแรมเขาให้เช็คเอาท์บ่ายสอง แต่กว่าเราจะออกนอกเมืองได้ก็เย็นละ ตอนนั้นลมยังแรงอยู่ เราเลือกท่ีจะปั่นบนเส้นทางสายเก่าก่อนแล้วค่อยขึ้นทางด่วนข้างหน้า ทางเริ่มชันและขรุขระแถมลมยังพัดแรงอยู่ ชักใจเสีย เอางัยดีหนทางยังอีกยาวไกล ปั่น ๆ กันไปละกัน เอ..ทำไมไม่เห็นมีรถเลยหว่า มีแต่มอเตอร์ไซค์และรถบรรทุกบ้างเท่านั้นเอง ทางชันขึ้นอย่างเดียว แต่เอ… ในแผนที่มันว่าเราจะปั่นบนทางสายเก่าด้านขวามือ แต่ทำไมเรามาอยู่ทางซ้าย ขึ้นมาถึงยอดละ ไหลลงไปก่อนละกัน จนมาเจอบันไดทางขึ้นไปทางด่วนท่ีมีคนมาแอบเปิดไว้แล้ว คือถ้าเรายังคงอยู่ท่ีเส้นทางเก่าคงจะใช้เวลานานน่าดูกว่าจะถึงเมืองถัดไปคือหยางจี๊ (Yanqi) เปลี่ยนเป้าหมายเพราะไปไม่ถึงฮ้อคซุดแน่นอนวันนี้ เอ้า…แบกกันขึ้นบันไดไป โจคิมเอาจักรยานขึ้น ส่วนเวชแบกกระเป๋าขึ้นกันไปทีละคัน และนั่นเป็นการตัดสินใจท่ีดีเพราะการไหลลงบนทางด่วนย่อมเร็วกว่าบนทางขรุขระ วันนั้นเลยปั่นได้แค่ 60 กว่าโล

Riding behind Wej

Riding behind Wej

ถึงเมืองหยางจี๊ก็เย็น ๆ ละ ตั้งใจว่าจะพักท่ีโรแรมใกล้ ๆ ทางด่วนจะได้รีบพักและออกเช้าหน่อย แต่…. ครั้งนี้เป็นครั้งแรกท่ีมีปัญหาเรื่องท่ีพักท่ีเขาไม่สามารถรับแขกชาวต่างชาติ ท่ีนี่เป็นโรงแรมใหญ่หน่อยเขาถึงทำตามกฎ ไม่เหมือนโรงเตี้ยมท่ีเคยไปนอนท่ีอูฐาน อืม…พูดถึงโรงเตี้ยมนั่น ตอนนอน อยู่ดี ๆ ดันไปนึกถึงหนังผีสะงั้น บ้าจริงแต่บรรยากาศมันให้นะ 😉 เข้าเรื่องต่อ โรงแรมสองท่ีแรกบอกให้ไปอีกโรงแรมหนึ่ง เราเกือบจะปั่นออกไปหาท่ีกางเต้นท์แล้ว พอดีมีคนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์ตอนท่ีเราถามหาโรงแรมท่ีโรงแรมท่ีสอง เขาบอกเราประมาณว่าปั่นไปเรื่อย ๆ อยู่ข้างหน้านี่ละ เดาเก่งมากเลย 🙂 เราเห็นตึกหนึ่งอยู่ตรงหัวมุม พอเข้าไปถาม เขาก็อ้าแขนต้อนรับเรา อิอิ

SONY DSC

จีน => จาก Wu Than (อูฐาน) ไป Luntai (ลุนไท)

เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลย เพราะมียุง ไม่รู้มันบินเข้ามาได้ยังงัย นอนเกานอนตบยุงทั้งคืน จนในที่สุด เราต้องเอาเสื้อแจ๊คเก๊ตมาใส่นอน โรงแรม อืม..ที่นี่น่าจะเรียกโรงเตี้ยมเสียมากกว่า บางแห่งในจีนไม่สามารถให้ชาวต่างชาติเข้าพัก และที่นี่น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะเขาไม่ลงทะเบียนชื่อเรา พอเห็นพาสปอร์ตสวีดิชก็คุยกันฉ้งเฉ้งและหันมาบอกเราว่าไม่เป็นไร ดีเหมือนกันค่ะเพราะไม่อยากแบกกระเป๋าลงมาจากชั้น 4 อีก ตอนเย็นเราคิดว่าจะกินอาหารของเขา แต่เขาชี้ให้ไปอีกฝั่งหนึ่ง ก็ดีนะ เพราะดูจากทางหน้าร้านเห็นเขาขายแต่เครื่องในและตีนไก่ ฝั่งโน้นก็ฝั่งโน้นข้ามถนนไปกัน ถนนที่นี่แปลกนะ มีเลนส์อยู่ 4 เลนส์ สองเลนส์ตรงกลางให้รถขับสวนไปสวนมา สวนสองเลนส์ข้าง่ ๆ สำหรับจักรยาน มอเตอร์ไขค์และรถม้า สองเลนส์ข้าง ๆ นี่แหละที่ต้องระวังเพราะรถมากันทั้งสองทาง ต้องหันซ้ายหันขวาอยู่หลายรอบก่อนจะก้าวเท้าออกไป

นี่เป็นร้านอาหารจีนร้านแรกตั้งแต่ปั่นเข้าเมืองจีน เพราะตลอดทางมีแต่ร้านของชาวอูกูร เข้าไปก็จะได้ลัคมานทุกครั้ง

นี่เป็นร้านอาหารจีนร้านแรกตั้งแต่ปั่นเข้าเมืองจีน เพราะตลอดทางมีแต่ร้านของชาวอูกูร เข้าไปก็จะได้ลัคมานทุกครั้ง

เจอคนแก่หน้ารร. เขาถามเราพยายามคุยกะเขา มีคนแก่ที่ปั่นจักรยานดูหน้าตาแกก็ช่วยพยายามด้วยเหมือนกัน แกทำปากห่อ ๆ น่าจะทำตามเรา 🙂 อีกคนนึงมายกจักรยานดูว่าหนักแค่ไหน อีกคนบอกว่าให้ปิดไฟท้าย ช่วยเหลือจริง ๆ แล้วคุณตาทั้งหลายก็ยืนคุยกันจนส่งเราออกจากโรงเตี้ยมนั้นเลย

ตอนแรกคิดว่าจะหาโรงแรมยาก แต่ลืมไปว่าเราปั่นเข้าเมืองเล็ก ๆ โรงเตี้้ยมนี้อยู่หน้าถนน ได้คุยกับคนแก่สามคนนี้ น่ารักนะพยายามจะฟังเรา

ตอนแรกคิดว่าจะหาโรงแรมยาก แต่ลืมไปว่าเราปั่นเข้าเมืองเล็ก ๆ โรงเตี้้ยมนี้อยู่หน้าถนน ได้คุยกับคนแก่สามคนนี้ น่ารักนะพยายามจะฟังเรา

หมาพันธุ์ปักกิ่งวิ่งกันเกลื่อนตามท้องถนนเลย เหมือนหมาข้างถนนบ้านเรา แปลกดี เพราะที่สวีเดนพันธุ์นี้จะแพงมาก เพื่อนที่ทำงานเคยเลี้ยงอยู่ตั้ง 4-5 ตัว

หมาพันธุ์ปักกิ่งวิ่งกันเกลื่อนตามท้องถนนเลย เหมือนหมาข้างถนนบ้านเรา แปลกดี เพราะที่สวีเดนพันธุ์นี้จะแพงมาก เพื่อนที่ทำงานเคยเลี้ยงอยู่ตั้ง 4-5 ตัว

ออกจากโรงเตี้ยมมาก็หาทางขึ้นไฮเวย์และปั่นบนไฮเวย์ทั้งวันตามลมสบาย ตั้งใจว่าจะปั่นกันสัก 190 ม. แต่โจคิมยางแบนเสียก่อน ตอนนั้นก็เริ่มจะค่ำ เลยลองเช็คดูว่ามีรร.แถวนั้นมั้ย มีห้องพักนะแต่ไม่มีน้ำแต่เขาก็ยังจะเก็บราคาเท่าเดิม เลยปั่นไปหาที่กางเต้นท์กัน เพราะที่อยากเช็คอินเข้าโรงแรมก็เพื่อต้องการอาบน้ำ แต่ถ้าไม่มีน้ำก็นอนเต้นท์ดีกว่า ถ้างั้นเราไปที่ปั้ม ไปเอาน้ำจากก๊อกน้ำเขาแล้วไปอาบที่จุดกางเต้นท์ก็ได้ พอไปถึงปั้มถึงได้เข้าใจว่าที่เขาพยายามบอกเรานั้นคือ “วันนี้น้ำไม่ไหล” เพราะที่ปั้มไหลช้ามากแต่ก็ยังมีให้ได้ลองสัก 6 ลิตร เราซื้อซิมของจีนใส่ในไอโฟนของโจคิม ทำให้เราได้กูเกิ้ลมาช่วยแปล แต่เป็นการแปลทางเดียวคือจากเรา เพราะฉนั้นเวลาเขาพูดอะไร เราจะไม่เข้าใจ ต้องใช้จินตนาการเอาละค่ะ หาที่ได้แล้วพอตั้งเต้นท์เสร็จฝนเริ่มตก

จุดกางเต้นท์เลยออกมาจากจุดจอดพักรถประมาณกม.กว่า ๆ ใกล้ ๆ เมืองลุนไท

จุดกางเต้นท์เลยออกมาจากจุดจอดพักรถประมาณกม.กว่า ๆ ใกล้ ๆ เมืองลุนไท

ออกจากที่กางเต้นท์ก็หันหน้าเข้าหาถนนใหญ่ทันทีเพราะต้องการทำเวลาอีกอย่างแถวนี้ก็ไม่มีอะไรน่าดู ภูมิประเทศไม่ค่อยปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ อากาศสลัว ๆ แดดไม่ร้อน ช่วงนี้เลยไม่ค่อยถ่ายรูป เพราะไม่มีอะไรจริง ๆ ตามถนนไฮเวย์นี้มักจะมีจุดพักเป็นระยะ ๆ เราเลยปั่นไปหาน้ำเอาข้างหน้า แต่เกิดอาการกระหายน้ำเสียก่อนเลยพยายามสอดส่องหาช่องทางที่มีคนมาเปิดไว้ เพราะตามถนนไฮเวย์จะมีรั้วลวดหนามยาวตลอดทั้งสาย พอเห็นช่องหนึ่งที่ถูกเปิดโดยมีทรายมากองไว้เป็นภูเขา รถไม่สามารถขึ้นได้ แต่เราเดินลงไปได้ เวชเลยเดินข้ามไปซื้อน้ำที่ปั้ม พอถามเด็กที่ร้านว่ามีน้ำมั้ยเขาชี้เข้าไปในร้านแต่ไม่เห็นว่าจะมีตู้เย็นเหมือนร้านค้าทั่ว ๆ ไปแล้วเขาก็เดินตามหลังมา บอกว่ากดน้ำจากเครื่องได้เลย เอาอย่างนั้นเลยรึ? เรามีถุงน้ำติดตัวมาด้วยจุ 4 ลิตร เขาหยิบมาให้อีก 2 ขวดเล็ก ๆ จากในตู้เย็น เกรงใจเลยขอซื้อน้ำอัดลมเขามา พอจะเอาของใส่ถุง นั่น…ยังหยิบผลไม้มาให้อีก น่ารักจริง ๆ

ปั่นบนไฮเวย์ดีตรงที่เราไม่ต้องเช็คเส้นทางบ่อยและได้ระยะทาง แต่ที่ไม่ดีก็ตรงที่ห่างไกลร้านค้าเพราะฉนั้นเราต้องตุนเสบียงเล็กน้อย ช่วงนี้เราปั่นอยู่บนถนนไฮเวย์ทั้งวัน ไม่ค่อยเจอผู้คนสักเท่าไหร่ จะได้เจอและพูดคุยบ้างก็ตอนที่เรามาถึงจุดจอดพักรถ เพราะส่วนใหญ่คนแถวนั้นจะเอาอาหาร ผลไม้ ของแห้งมาขาย และน้ำด้วย เรามาแวะร้านคุณลุงคนหนึ่งซื้อน้ำและผลไม้แห้งไว้กินระหว่างทาง พอจ่ายเงินเรียบร้อย คุณลุงทำท่าว่าให้รอก่อนและเดินไปเลือกแคนตาลูปลูกขนาดย่อม ๆ มาให้เรา ขอบคุณค่ะ! แบกกันมาอีก 20 กม.กว่าจะถึงจุดจอดพักรถ ที่นั่นเขาจะมีบริการห้องน้ำ ร้านค้า ร้านอาหาร แต่พอเรามาถึง เปล่า… ยังสร้างไม่เสร็จ มีร้านอาหารง่าย ๆ และน่าจะเป็นแค่ชั่วคราวอยู่ 2 ร้าน ห้องน้ำไม่มี น้ำก็ไม่มี เราปั่นกันมาทั้งวันก็อยากอาบน้ำเลยต้องซื้อน้ำดื่มมาอาบกัน

ปั่นกำลังเหนื่อย ๆ อยากหาที่พักพอดี มาเจอจุดจอดรถข้างทางท่่ีไม่มีป้ายบอก เลยจอด รู้สึกว่าลัคมานที่นี่จะเริ่มมีรสชาติขึ้นบ้าง

ปั่นกำลังเหนื่อย ๆ อยากหาที่พักพอดี มาเจอจุดจอดรถข้างทางท่่ีไม่มีป้ายบอก เลยจอด รู้สึกว่าลัคมานที่นี่จะเริ่มมีรสชาติขึ้นบ้าง

เจ้าสองตัวน้อยนี้สนใจมาคอยมองดูโจคิมปะยาง

เราพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าสองตัวน้อยนี้จากภารกิจปะยาง

ช่วงที่ปั่นอยู่บนไฮเวย์โจคิมยางแบนไปหลายรอบ ส่วนเวชสองครั้งและทุกครั้งจะเป็นยางหลัง ตอนแรกที่แบนคิดว่าโดนหินหรือแก้ว แต่พอสำรวจอย่างละเอียดเราพลาดไป มองไม่เห็นเจ้าเส้นลวดแข็ง ๆ จากล้อของรถใหญ่เวลาที่มันระเบิด ตัวยางนอกมันประกอบด้วยเส้นลวดแข็ง ๆ นี่และพอมันแตก เส้นลวดพวกนี้ก็กระจายเต็มพื้นถนน รถใหญ่ ๆ ก็ไม่มีปัญหา แต่เราสิ ปัญหาใหญ่เลย ปั่นได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องมานั่งปะยางอีกแล้ว ครั้งล่าสุดของโจคิมเราเจอเส้นลวดเส้นเล็ก ๆ นี่ 4 ชิ้นจิ้มอยู่

วันนี้มีเมฆมาบดบังแสงอาทิตย์ให้ ทำให้ไม่ร้อน แต่ถ่ายรูปออกมาไม่สวยเท่านั้นเอง

วันนี้มีเมฆมาบดบังแสงอาทิตย์ให้ ทำให้ไม่ร้อน แต่ถ่ายรูปออกมาไม่สวยเท่านั้นเอง

จีน => Aksu (อัคสุ) ไป Wu Than (อูฐาน)

เราพักที่โรงแรมสี่ดาว ตอนแรกไม่เห็นเพิ่งมาเห็นตอนที่ข้ามไปกินข้าวอีกฝั่งหนึ่ง แต่พอเช็คราคาแล้วก็โอเค พอตื่นเช้าขึ้นมารู้สึกเจ็บคอมากขึ้น เลยคิดว่าน่าจะอยู่ต่อให้อย่างน้อยคอหายเจ็บก็ยังดี สรุปอยู่ที่อัคสุกัน 4 วัน 3 คืน เข้าจีนมาตั้งแต่วันแม่เพิ่งมีเมื่อวันที่ปั่น 200 โลเข้าเมืองอัคสุ (Aksu) และวันนี้มาที่เมืองนี้อูฐาน (Wu Than) ที่ลมเป็นใจ

วิวจากหน้าต่างห้องพัก เห็นทิวเขาเทียนชัน

วิวจากหน้าต่างห้องพัก เห็นทิวเขาเทียนชัน

เราเช๊คเอาท์ออกจากโรงแรมบ่ายกว่า ๆ เริ่มปั่นก็ปาเข้าไปสองโมง ไม่รู้เป็นอย่างไรเราทั้งสองคนรู้สึกเหนื่อย ๆ เนือย ๆ ไม่ค่อยอยากปั่น อยากพัก หรือเป็นเพราะเราพักมาเยอะ แบตฯเลยหมด หรือว่าใช้ไปจนหมดเกลี้ยงเลยต้องชาร์ตนานขึ้นอีกหน่อย เฮ้อ… แต่ด้วยความว่าวีซ่าเรามีอายุแค่ 2 เดือน คิดว่าต้องต่ออายุครั้งหนึ่งจะได้เพิ่มอีก 1 เดือน และความท่ีจีนเป็นประเทศที่ใหญ่และมีเขาสูงตามเส้นทางที่เราตั้งใจจะปั่นผ่าน เลยรู้สึกว่าไม่ควรจะโอ้เอ้

วันนี้เราได้ข่าวดีจากลูกพี่ลูกน้องของโจคิมว่าเขาจะมาปั่นด้วยกันกับเราเส้นทางหนึ่งในจีนน่าจะประมาณคุนหมิง เราจะพยายามนัดกัน ไม่ใช่ เราจะพยายามไปให้ถึงคุนหมิงก่อนที่เขาจะมาถึงมากกว่า เพราะเส้นทางอีกยาวไกล คงต้องหาแรงกระตุ้นจากทางใดทางหน่ึง เฮ้อ.. ต้องควานหากันต่อไป

ไฮเวย์ทางด้านนี้รถรายังไม่เยอะเท่าไหร่ แต่สังเกตุที่ป้ายที่บอกจุดเติมน้ำมันและร้านอาหาร ถ้าเป็นภาพตะเกียบเราก็จะรู้ทันทีเช่นกัน แต่เวลาจะอ่านป้ายบอกทางไม่มีตัวอะไรให้อ่านออกได้เลย ต้องจำและเปรียบเทียบตัวอักษรจีนเอา ;-)

ไฮเวย์ทางด้านนี้รถรายังไม่เยอะเท่าไหร่ แต่สังเกตุที่ป้ายที่บอกจุดเติมน้ำมันและร้านอาหาร ถ้าเป็นภาพตะเกียบเราก็จะรู้ทันทีเช่นกัน แต่เวลาจะอ่านป้ายบอกทางไม่มีตัวอะไรให้อ่านออกได้เลย ต้องจำและเปรียบเทียบตัวอักษรจีนเอา 😉

ตอนเช้าเราดูแผนที่กันมีสองเส้นทางให้เลือกคือเส้นทางเก่าและไฮเวย์ ซึ่งจริง ๆ ไม่อนุญาติให้จักรยานและมอเตอร์ไซค์ขึ้น แต่เราเห็นมอเตอร์ไซค์ขึ้นไปตั้งหลายคันและเพื่อนชาวสโลเวเนียเคยบอกไว้ว่าปั่นได้ไม่มีปัญหา คาดว่าทางด้านตะวันตกนี่ยังไม่ค่อยมีจราจรคับคั่งเท่าภาคอื่น ๆ ของจีน เราปั่นผ่านจุดชำระค่าผ่าน คนเก็บเงินแค่พยักหน้าหรือทำสัญญาณให้เราปั่นชิดขวาเข้าไว้ จริง ๆ เราไม่ค่อยอยากปั่นทางไฮเวย์เพราะทางจะตรง ตรง มาก ๆ และจะไม่ได้เจอผู้คนหรือผ่านหมู่บ้านเมืองไหนเลย แต่ด้วยว่าเวลามันเดินไปเร็วเหลือเกิน ทำให้เราต้องรีบไปโดยปริยาย ไฮเวย์ตรงนี้เปิดใช้มานานเพราะฉนั้น มันไม่ใช่ของเราเท่านั้น ไม่เหมือน 2-3 วันที่แล้วที่ปั่นจากคัชก้ามาอัคสุ ปั่นเสียกลางถนนเลย

ปั่น ๆ อยู่ เอ๊ะ..เสียงอะไรนะโจคิม อีกแล้ว แบนอีกแล้ว โธ่..อีกแค่กม.เดียวจะถึงปั้มแล้ว เพราะเราตั้งใจจะไปที่นั่นเพื่อเติมน้ำมันไว้ใช้ทำครัว เลยต้องหยุดเพื่อปะยางกันก่อนที่ข้างทาง พอดีที่ตรงนั้นเปิดรั้วเลยได้เดินลงไปปะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน คนยางแบนก็โมโห เพราะแบนได้เรื่อย ๆ แบนจนเลิกนับเลยแหละ ปะกันเสร็จเราก็ปั่นไปที่ปั้ม ถามเขาว่าจะเติมน้ำมัน ตอนแรกเขาบอกว่าเติมไม่ได้หรอก ขวดน้ำมันเราเล็กนิดเดียว แต่มีเด็กปั้มคนหนึ่งคิดออกว่าจะทำอย่างไร เขามาถามเราว่าจะเติมเท่าไหร่ เราไม่เคยเติมนี่นาไม่รู้ว่าเท่าไหร่ อ่ะ..งั้นเติม 10 หยวน อึ๋ย..เห็นเขากดน้ำมันลงไปในกระบวยอันใหญ่ ๆ ของเขาแล้วกว่าจะถึงเลข 10 มันเริ่มเยอะเกิน แล้วมันก็เยอะเกินจริง ๆ ใส่ในขวด Primus ของเราเต็มแล้วยังเหลืออีกเยอะเลย เลยเอาขวดน้ำให้เขาใส่เพิ่มลงไป เผื่อเราเอาไว้ล้างโซ่ก็ยังดี ไม่รู้จะแบกไปได้นานแค่ไหนเท่านั้นเอง เบนซินนี่นาของอันตราย

ได้เวลาออกตัว บ๊ายบายกันไป แต่ปั่นไปได้ไม่กี่เมตร รู้สึกว่ายางหลังมันยังแบน ๆ อยู่นา แบนจริง ๆ ด้วย สองครั้งภายในไม่กี่ร้อยเมตร ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ เราเลยต้องปั่นย้อนกลับเข้ามาที่ปั้มอีกที พอเปลี่ยนยางในเสร็จ อ้าว..เห็นซี่ล้ออันหนึ่งหย่อน ๆ ชอบกล เลยเช็คดูปรากฎหย่อนตั้งหลายอัน ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ หนึ่งให้ช่างที่ชำนาญในการทำล้อตั้งล้อให้ สองปัญหานี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก โจคิมช่างโชคดีอะไรอย่างนี้น้อ กว่าจะปะยางเสร็จกว่าจะแก้ไขซี่ล้อเสร็จ เวลา 19:15 เรามีเวลาปั่นถึง 21:30 ซึ่งพระอาทิตย์จะตกดิน เห็นตึกอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยเดินไปถามเด็กปั้มว่าที่นั่นเป็นโรงแรมหรือเปล่า ดีที่เรามีเน็ตใช้ เลยสามารถเอากูเกิ้ลมาช่วยแปลได้ เขาบอกว่าที่นั่นไม่ใช่โรงแรม แต่บอกให้เราปั่นลงไฮเวย์ไปทางขวามือแล้วเลี้ยวซ้ายไปเมืองอูฐาน ที่นั่นจะมีโรงแรม ตอนแรกคิดว่าจะได้กางเต้นท์เสียแล้ว มีโรงแรมก็นอนโรงแรม แต่พอเห็นทางเข้าของโรงแรมก็รู้สึกว่ากางเต้นท์ดีกว่าหรือเปล่าเนี่ย??? พักก็พัก ลดเกรดลงมาเยอะเลยจากสี่ดาวจนมาถึงหาดาวไม่เจอ ยังดีที่มีน้ำร้อนให้อาบ

ดูในรูปบอกไม่ได้เลยนะว่าเป็นห้องเดียวกัน เพราะดูจากสายตาตัวเองแล้ว มันแย่กว่าที่เห็นในภาพ แต่ก็โอเค ต่อราคาได้ 80 หยวน

ดูในรูปบอกไม่ได้เลยนะว่าเป็นห้องเดียวกัน เพราะดูจากสายตาตัวเองแล้ว มันแย่กว่าที่เห็นในภาพ แต่ก็โอเค ต่อราคาได้ 80 หยวน

ตอนแรกคิดว่าคงมีใครฉี่ไม่ตรงกระโถนหรืองัย แต่เขาบอกว่าเอาไว้เขี่ยขี้บุหรี่ หรือน่าเชื่อจริง ๆ

ตอนแรกคิดว่าคงมีใครฉี่ไม่ตรงกระโถนหรืองัย แต่เขาบอกว่าเอาไว้เขี่ยขี้บุหรี่ หรือน่าเชื่อจริง ๆ

จีน => Kashgar (คัชก้า) ไป Artux (อาร์ทุค) และ Aksu (อัคสุ)

คัชก้าเป็นเมืองใหญ่พอสมควร เราลงจากรถบรรทุกคันที่สอง ก็ยังต้องปั่นกันเกือบสิบกม.กว่าจะถึงใจกลางเมือง ตอนแรกติดว่าจะเช็คอินที่เกสต์เฮาส์แต่เริ่มมืดแล้ว เลยลองถามโรงแรมแถวนั้น ราคากำลังดี เลยจอดตรงนั้นเลย ทุกครั้งที่เราเข้าพักตามเกสเฮาส์หรือโรงแรมที่เราสามารถซักผ้าได้ ก็จะต้องรีบจัดการทันที และครั้งนี้ก็เหมือนกัน เราหมักหมมกันมาหลายวันตั้งแต่ก่อนเข้าหมู่บ้านซารีทัชที่อยู่ไม่ไกลจากชายแดนจีน 2 วัน ติดอยู่ที่ซารีทัชอีก 4 วัน ตอนที่อยู่ที่ซารีทัช จริง ๆ ควรจะซักผ้าแต่เราเหนื่อยจากปั่นข้ามเขามา และอีกอย่างความที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจอย่างไรไม่รู้ เลยหมักหมมต่อมาถึงคัชก้า ที่คัชก้านี่เอง เหมือนตอนที่เช็คอินเข้าโรงแรมที่ตุรกี เด็กพาไปดูห้อง และบอกว่าห้องนี้ดีนะมีอ่างอาบน้ำจากุสซี่ด้วย เราก็ดีใจแต่ไม่ใช่แค่อยากอาบน้ำในนั้นแต่อยากแช่ผ้าในอ่างนั้นมากกว่า และที่นี่ก็เหมือนกัน แถมมีที่ปิดรูให้ด้วย สุดยอด

น้ำที่แช่ผ้าไว้ทั้งคืน ขยี้จากน้ำนี่แล้วยังต้องซักอีกรอบนึงด้วย ได้ซักแล้วก็สบายใจ

น้ำที่แช่ผ้าไว้ทั้งคืน ขยี้จากน้ำนี่แล้วยังต้องซักอีกรอบนึงด้วย ได้ซักแล้วก็สบายใจ

หลังจากนั้นเราออกเดินสำรวจเมืองเริ่มต้นด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้า เด็กที่โรงแรมทำเครื่องหมายที่แผนที่ไว้ให้ เราจะปั่นจักรยานก็ได้ แต่คิดว่าลองเดินดูก็ดีเหมือนกัน จะแวะร้านไหนก็สะดวก ไม่ต้องพกพาสายยูไว้ล๊อครถหรือเป็นกังวลว่ามันจะหาย แต่ด้วยความหิวเราลองเดินต่อไปอีกนิดก็เห็นตลาดสดขายอาหารก่อน เขาวางเป็นแผงเหมือนบ้านเราเลย เซริฟในถาดหลุม ถาดหนึ่ง 12 หยวน ประหยัดดี อิ่มด้วย เป็นครั้งแรกที่ได้กินอาหารท่ีมีรสชาติขึ้นมาหน่อย หลังจากที่ปั่นอยู่ในประเทศสถานทั้งหลาย แต่จากที่กินแต่เนื้อแกะก็กลายมาเป็นผักเสียส่วนใหญ่ ซึ่งก็ดีแต่หามีพลังงานให้เราไม่ เราจึงต้องเสริมด้วยขนมปังแทน หลังจากนั้นเราเดินไปดูของใช้ไฟฟ้า รูปที่ถ่ายในกล้อง GoPro และกล้องถ่ายรูปธรรมดามันเต็มไปหมด โดยเฉพาะในคอมฯ แทบจะเซฟอะไรไม่ได้เลย เราไปซื้อฮาร์ดิสค์ที่ใหญ่หน่อย ในจีนถนนดีแล้ว ไม่ต้องห่วงว่ามันจะสั่นคลอนจนเสียเหมือนเมื่อคราวที่เราปั่นไปเที่ยวในกลุ่มประเทศบอลติค กระเด้งกระดอนจนคอมฯ เจ๊งไปเลย นี่ทำให้เราตัดสินใจซื้อแมคบุ๊คแอร์ เพราะมีหน่วยความจำเป็นการ์ด SD ให้เขย่ายังงัยก็ไม่เสีย และอีกอย่างที่ซื้อมาคือตัวชาร์ตเจอร์ที่สามารถชาร์ตจีพีเอสและมือถือได้ อืม…พอเดินเข้าตัวตึกนี้ เรานึกถึงพันธ์ทิพย์พลาซ่าขึ้นมาทันใด เหมือนมาก ไม่รู้ใครลอกเลียนแบบใคร แต่พันธ์ทิพย์บ้านเราใหญ่กว่า แต่อาจจะเป็นเพราะกรุงเทพฯก็ใหญ่กว่าตัชก้าด้วยมั้ง 🙂

ถาดหลุมที่เราส่วนใหญ่จะได้กินที่โรงแรียน แต่เขาขายกันที่นี่ด้วย อร่อยดีแต่เย็นไปหน่อย ข้าวแกงบ้านเราคิดว่ายังร้อนกว่านี้นะ

ถาดหลุมที่เราส่วนใหญ่จะได้กินที่โรงแรียน แต่เขาขายกันที่นี่ด้วย อร่อยดีแต่เย็นไปหน่อย ข้าวแกงบ้านเราคิดว่ายังร้อนกว่านี้นะ

บรรยากาศภายในตลาด ทุกอย่างมันดูน่ากินน่าชิมไปหมด

บรรยากาศภายในตลาด ทุกอย่างมันดูน่ากินน่าชิมไปหมด

ตัวเมืองคัชก้า มีมอเตอร์ไซค์แบบใช้ไฟฟ้า ไม่มีเสียงไม่มีมลพิษ ไม่มีกลิ่นก็ดี แต่ไม่มีเสียงนี่สิ บางทีตกใจเพราะมันเงียบมากเลย

ตัวเมืองคัชก้า มีมอเตอร์ไซค์แบบใช้ไฟฟ้า ไม่มีเสียงไม่มีมลพิษ ไม่มีกลิ่นก็ดี แต่ไม่มีเสียงนี่สิ บางทีตกใจเพราะมันมาเงียบมากเลย

เราพักอยู่ที่คัชก้า 3 คืน 4 วัน ทำธุระกันเสียส่วนใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่เราไม่ได้ไปร้านจักรยานก่อนเป็นอันดับแรก เลยคิดว่าจะปั่นไปที่ร้านก่อนออกจากโรงแรม ร้านจักรยานนั่นเป็นร้านไจแอนท์แต่ขอโทษค่ะ ไม่มีสูบให้ซื้อ งงมาก สูบเราเป็นอะไรไม่รู้ คือสูบได้แต่ต้องสูบกันนานหน่อย เลยอยากมีสำรองไว้อีกอัน ไม่มีก็ไม่มี วันต่อมาเราเดินไปอีกทางหนึ่งไปหาซื้อซิม เพื่อนชาวสโลเวเนียว่า ที่จีนมีคลื่นสัญญาณเพียบแม้แต่ในทะเลทราย (จริงของเขา) ควรจะซื้อซิมของที่นี่ เราลองหาซื้อดู แต่มันใช้เวลานานมาก เพราะปัญหาเรื่องภาษา และข้อตกลงของเขามันช่างยุ่งยาก ขนาดใช้อากู๋มาช่วยแปลแล้วยังไม่เกิดผลเลย เลยซื้อมาทั้งอย่างนั้น เดี๋ยวเดือนหน้าค่อยว่ากันใหม่ เขียนคุยกันจนมึนหัว เราปั่นไปกินข้าวร้านเดิม พวกเขาตกใจเพราะไม่เคยเห็นเราใส่เต็มยศขนาดนั้น คือชุดปั่นและจักรยานพร้อมสัมภาระมากมาย กินเสร็จก็บ๊ายบายกันไป กว่าจะออกจากคัชก้าได้เกือบเย็น ปั่นได้ประมาณ 50 กม. มาถึงเมือง ๆ หนึ่งชื่ออาร์ทุค Artux ความเหนื่อยยังคงคุกคามอยู่ เพราะเวลาที่จีนแตกต่างจากคีร์ซกิสถาน 2 ชม. อยู่คัชก้านอนตีสองตีสามแทบทุกคืน เหมือนร่างกายยังปรับเวลาไม่ได้ เราตัดสินใจพักที่เมืองนี้ เพราะกว่าจะถึงที่เป็นเมืองขึ้นมาหน่อยก็ถัดไปอีกประมาณ 3 วัน

วิวระหว่างทางคัชก้าและอาร์ทุค

วิวระหว่างทางคัชก้าและอาร์ทุค

SONY DSC

พยายามหาทางขึ้นไฮเวย์ใหม่ โชคดีที่ตัวเตี้ย ไม่อย่างนั้นคงได้คลานเข่ากับจักรยานลอดมา ;-)

พยายามหาทางขึ้นไฮเวย์ใหม่ โชคดีที่ตัวเตี้ย ไม่อย่างนั้นคงได้คลานเข่ากับจักรยานลอดมา 😉

นั่งพักกันที่ข้างถนนนั่นแหละ ไม่มีทั้งรถและคน จะทำธุระอะไรก็แถวนั้นเช่นกัน :-) :-)

นั่งพักกันที่ข้างถนนนั่นแหละ ไม่มีทั้งรถและคน จะทำธุระอะไรก็แถวนั้นเช่นกัน 🙂 🙂

หรือที่นี่ รถบดถนนมีฟังก์ชั่นอีกอย่างสำหรับเราคือที่บังลมด้วย

หรือที่นี่ รถบดถนนมีฟังก์ชั่นอีกอย่างสำหรับเราคือที่บังลมด้วย

ถึงเมืองอาร์ทุคไม่ดึกมากนัก เราพอมีเวลาเดินไปหาของกิน และเลยเดินหลงเข้ามาที่ร้านขายของท้องถิ่นเขา ไม่น่าคิดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาที่นี่กัน สังเกตุว่าที่จีนเราจะเรียกว่าเมือง เพราะแต่ละที่มีคนอยู่กันเยอะมาก ไม่เหมือนหมู่บ้านที่ประเทศสถาน ๆ ทั้งหลาย แต่ในเขตมณฑลซินเจียงนี้ จะมีแขกมุสิมเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่ก่อน ก่อนที่จีนจะเข้ามายึดเป็นของตัวเองเมื่อน้านนานมาแล้ว หลังจากนั้นก็สั่งให้คนจีนย้ายเข้ามาอยู่ในแถบนี้ เขียนมากไม่ได้เดี๋ยวถูกบล๊อคด้วย ลองเข้าไปหาข้อมูลต่อทางอินเตอร์เนตนะค่ะ เพราะฉนั้นร้านค้าส่วนใหญ่จะเป็นมุสลิม หาร้านอาหารจีนทางแถบนี้ไม่ค่อยได้ เราเลยได้กินแต่รัคมาน (Lagman) ที่กิน ๆ ประจำที่ประเทศสถานทั้งหลาย แต่ก็ดีอย่างหนึ่งคือเรายังสามารถใช้ภาษารัสเซียต่ออีกนิดนึง ชาวมุสลิมที่นี่เรียกว่ากลุ่ม “อูกูร” เขาถูกบังคับให้เรียนภาษาจีน แต่คนจีนไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ของเขา แต่เวชยังไม่เห็นความแตกแยกระห่างชนชาตินะ แต่เห็นตำรวจทหารเยอะในแถบนี้ แต่ที่แน่ ๆ คือคนอูกูรจะทักทายหรือทักทายตอบเราแต่คนจีนเอาแต่จ้อง ขนาดโบกไม้โบกมือให้ยังไม่มีอะไรตอบสนองมาเลย มีครั้งหนึ่งแวะกินข้าว ไม่ใช่ รัคมานนั่นแหละ กินกันมาหลายวัยหลายมื้อล่ะ พอเราจอดจักรยานปุ๊บทุกคนหันมามอง ไม่ใช่ หันมาจ้องเสียมากกว่า อืม..มีคนมาจ้องเรา เราก็ผงกหัวทักทาย โน..ไม่มีใครพูดอะไรและยังคงจ้องอยู่อย่างนั้น นี่เขาไม่มีมารยาทตามมาตรฐานของเราหรือเขาช่างไร้ความรู้สึก งง…

มีครั้งหนึ่งโจคิมยางแตก เผอิญมีสามล้อวิ่งมา เขาจอดและถามและพยายามบอกเราว่าจะขับรถไปส่งในเมืองถ้าซ่อมไม่ได้ นึกเปรียบเทียบว่าถ้าเป็นคนจีนเขาคงขับเลยไป :)

มีครั้งหนึ่งโจคิมยางแตก เผอิญมีสามล้อของคนท้องถิ่นวิ่งมา เขาจอดและถามและพยายามบอกเราว่าจะขับรถไปส่งในเมืองถ้าซ่อมไม่ได้ นึกเปรียบเทียบว่าถ้าเป็นคนจีนเขาคงขับเลยไป 🙂

ส่วนหนึ่งของตลาดในเมืองอาร์ทุค ดูร่มรื่นดี

ส่วนหนึ่งของตลาดในเมืองอาร์ทุค ดูร่มรื่นดี

2-3 วันที่ปั่นในจีนมีแค่ไม่กี่คนที่โบกมือให้ มีรถยนต์คันนึงส่งเสียงวู้ ๆ มา ส่วนใหญ่บีบแตรแต่ไม่รู้ความหมายว่าไร เราไปเกะกะเขาหรือเขาทักทายเรา. อืม.. หาทราบไม่ ถ้าเป็นที่ประเทศสถานทั้งหลายเรายกและโบกมือทักทายกันจนเมื่อย ที่จีนแรก ๆ เราก็ทักทาย หลัง ๆ เริ่มเบื่อเหมือนกันนะ ทักแล้วไม่ทักตอบอ่ะ แต่เริ่มสังเกตุว่าบางครั้งเขาแค่ยิ้มให้ เคยลองตะโกน “หนีห่าว” แต่ยังไม่ได้ผล เฮ้อ.. ไม่ทักก็ไม่ทัก ร้านขายของส่วนใหญ่เป็นของชาวอูกูร เราเดินเข้าไป แล้วทักเขา “ซาลัม” เขาดูจะชอบใจนะ เห็นหน้าเราจีนแต่ดันทักแบบนั้นมั้ง 🙂

วันที่สองที่ปั่นออกจากอาร์ทุคมันช่างน่าเบื่อ ลมมาเฉียง ๆ ด้านหน้า ทำความเร็วได้บ้าง แต่ไม่ได้อย่างที่คิด ยิ่งปั่นบนทางไฮเวย์เก่ายิ่งน่าเบื่อ รถบรรทุกรถยนต์ขับกันแบบเอาเป็นเอาตายมาก แซงได้เป็นแซง มีครั้งหนึ่งแซงซ้อนกันมาเลย สามคันเรียงหน้ากระดาน เราต้องปั่นออกไปชิดเกือบตกถนน เฮ่อ… คืนนี้เป็นคืนแรกที่กางเต้นท์ที่จีน เมื่อคืนฝนตกลมแรง เรานึกว่าฝนตกก็ดีจะได้ล้างเต้นท์ไปในตัว แต่มันยิ่งเลอะเป็นจุด ๆ ทั่วเต้นท์เลย ตื่นเช้ามาไม่อยากออกนอกเต้นท์เลย เพราะฝนตกยังคงตกและลมยังแรงอยู่ ลากจักรยานกันออกมาแล้วออกเดินทางต่อ เส้นทางไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แค่อากาศที่แย่ลมแรงและฝนตก แต่ก็ยังปั่นกันได้ตั้ง 120 กม. คิดดูถ้าตามลมคงไปได้อีกหลายสิบโล 😉

แคมป์ที่หนึ่ง ในทะเลทรายทาคลามาคันของจีน ทั้งลมทั้งฝนเลย ตอนแรกร้อนมาก คิดว่าคืนนี้ไม่ได้นอนแน่ แต่พอตกดึก ฝนเริ่มตกอากาศเริ่มดีขึ้น

แคมป์ที่หนึ่ง ในทะเลทรายทาคลามาคันของจีน ทั้งลมทั้งฝนเลย ตอนแรกร้อนมาก คิดว่าคืนนี้ไม่ได้นอนแน่ แต่พอตกดึก ฝนเริ่มตกอากาศเริ่มดีขึ้น

แคมป์ที่สองใกล้มืดเลยรีบไปหน่อย ที่จีนตอนนี้ทางตะวันตก พระอาทิตย์ตกเวลาสี่ทุ่ม เราแวะกินอาหารเย็นกันก่อนและปั่นต่อมาหาที่กางเต้นท์ ที่แรกเป็นทรายไม่สามารถตอกยึดเต้นได้ เลยรีบมองหาที่ใหม่ ขยับเข้าไปด้านในอีกหน่อย เป็นทรายเหมือนกันแต่แห้งแพ๊คกันแน่นกว่าที่แรก

แคมป์ที่สองใกล้มืดเลยรีบไปหน่อย ที่จีนตอนนี้ทางตะวันตก พระอาทิตย์ตกเวลาสี่ทุ่ม เราแวะกินอาหารเย็นกันก่อนและปั่นต่อมาหาที่กางเต้นท์ ที่แรกเป็นทรายไม่สามารถตอกยึดเต้นได้ เลยรีบมองหาที่ใหม่ ขยับเข้าไปด้านในอีกหน่อย เป็นทรายเหมือนกันแต่แห้งแพ๊คกันแน่นกว่าที่แรก

จากคัชก้าไปเมืองอัคสุ (Aksu) ที่เราจอดอยู่่นี่ระยะทางประมาณ 460 กม. เราวัดระยะทางจากเส้นทางไฮเวย์เก่า หรือเป็นเพราะเราปั่นอยู่บนทางหลวงที่ยังไม่เปิดให้ใช้บริการ มันเลยไกลกว่าหรือปล่าไม่รู้สิ เช้าวันที่สามเราพยายามหาทางขึ้นไปปั่นที่ไฮเวย์ใหม่ เพราะรู้สึกว่าไม่ต้องมากังวลกับจราจรที่คับคั่ง เพราะไฮเวย์ที่เราหาทางขึ้นไปนั้นยังไม่เปิดให้ใช้ จากที่ตั้งแคมป์ที่สองเราปั่นบนนไฮเวย์มาตลอดทางจนเกือบถึงเมืองนี้ “อัคสุ” ถนนดี อากาศเป็นใจ เราปั่นกัน 200 โลนิด ๆ คิดว่าปั่นอีกนิดจะได้พักที่โรงแรมท่ีดีหน่อย ดีกว่านอนเต้นท์คืนแล้วค่อยนอนโรงแรม แต่ก็เหนื่อยเอาการเหมือนกัน เลยพักกันที่นี่ 2 คืน

ระหว่างทางเห็นน้ำใส ๆ อยู่ข้างทางเลยเอากางเกงจักรยานไปขยี้น้ำ ขยี้เอาเหงื่อเค็ม ๆ ออกหน่อยก็ยังดี

ระหว่างทางเห็นน้ำใส ๆ อยู่ข้างทางเลยเอากางเกงจักรยานไปขยี้น้ำ ขยี้เอาเหงื่อเค็ม ๆ ออกหน่อยก็ยังดี

ขอรูปคู่หน่อย ;-)

ขอรูปคู่หน่อย 😉

คีร์ซกิสถาน => Sary-Tash (ซารีทัช) Irkeshtam (อีร์เกชทัม) ไป จีน => Kashgar (คัชก้า)

หลังจากที่รู้ว่าชายแดนปิดถึงวันจันทร์ เวชไม่คิดอะไรเลยถามครั้งเดียวพอ อีกอย่างความเป็นเอเซียด้วยมั้งที่คิดว่า ในเมื่อวันพฤหัสฯ เป็นวันหยุด คนคีร์กิซฯ น่าจะฉวยโอกาสหยุดวันศุกร์ไปด้วยเลย รับข้อมูลมาและไม่ค่อยคิดอยากจะถามอีก ไม่เหมือนโจคิมกับเพื่อนใหม่ชาวเชคฯ สองคนนี้เดินวนไปวนมา ถามคนท้องถิ่นทางโน้นทีทางนี้ที คุยกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ เวชเริ่มปวดหัว ยิ่งพูดยิ่งปวดหัว น่าจะเป็นเพราะว่าซารีทัชอยู่สูงถึง 3170 ม.จากระดับน้ำทะเล เช้าวันต่อมาหน้าตาเริ่มบวม ๆ ตอนกลางคืนขยับตัวทีเหนื่อยถึงขนาดหอบเลย ความท่ีอากาศไม่ร้อนจึงไม่จำเป็นต้องอาบน้ำทุกวัน อิอิ ซกมกจริง ๆ แต่ก่อนที่เราจะออกเดินทางต่อไปและไม่รู้ว่าจะได้อาบน้ำราดทั้งตัวอีกครั้งเมื่อไหร่เลยขอให้เขาต้มน้ำให้อาบ เพราะที่นั่นอุณหภูมิประมาณ 13-14 องศาเอง ได้น้ำเย็นมาถังหนึ่งและกระบวยมาตักน้ำร้อนจากในกระทะใบใหญ่ (ที่เขาต้มด้วยอึวัวแห้ง ดีที่กลิ่นมันหายไปกับแสงแดด 🙂 ) ผสมกันดีแล้วก็อาบในที่แจ้งนั่นโดยมีรั้วสูงขึ้นมาแค่ถึงเอวเวชได้มั้ง ถ้าคนสูง ๆ อาจจะแค่เข่า อยากราดทั้งตัว ถ้ามายืนในคอกแบบนี้มีหวังหมดโอกาส เลยหิ้วกระถังน้ำไปห้องน้ำที่มีประตูปิดมิดชิดแถมกลิ่นก็มิดชิดยู่ในนั้น แรงอีกต่างหาก ยอมทน เพราะดีกว่าไปยืนตากลม พออาบเสร็จสั่นหงึก ๆ เลย ทำให้เพื่อนใหม่ชาวเชคฯ ไม่ค่อยอยากอาบเท่าไหร่ 🙂 อยู่ตามแถบภูเขา เชื้อเพลิงที่ได้จึงไม่ค่อยได้มาจากไม้แต่เป็นขี้วัวตากแห้ง โจคิมว่าที่สวีเดนจะใช้ขี้วัวเป็นปุ๋ยเสียมากกว่า ส่วนจะเอามาเป็นเชื้อเพลิงนั้นไม่ค่อยมีเพราะกว่าขี้วัวจะแห้งใช้เวลานานเกิน แต่ที่คีร์กิซสถานนั้น ตากแค่ชั่วโมงหนึ่งก็แห้งแข็งแล้วมั้ง เพราะอากาศบนภูเขาค่อนข้างแห้ง

อึวัวแห้งสำหรับเป็นเชื้อเพลิงอยู่ข้าง ๆ กระทะน้ำร้อนใช้อาบและเอาไปชงชาด้วย โจคิมเห็นเขามาตักใส่กระติกน้ำร้อน เอางัยเอากัน ยังงัยน้ำก็ถูกต้มแล้ว หวังว่าคงฆ่าเชื้อไปหมด

อึวัวแห้งสำหรับเป็นเชื้อเพลิงอยู่ข้าง ๆ กระทะน้ำร้อนใช้อาบและเอาไปชงชาด้วย โจคิมเห็นเขามาตักใส่กระติกน้ำร้อน เอางัยเอากัน ยังงัยน้ำก็ถูกต้มแล้ว หวังว่าคงฆ่าเชื้อไปหมด

อีกวันรุ่งขึ้นเพื่อนคนโปแลนด์ส่ง sms มาให้และบอกว่าเขาโชคดีคือตอนที่จะเขากางเต้นท์มีน้ำไม่พอ เลยปั่นกันต่อเข้าไปในหมู่บ้านเล็ก ๆ และได้ข่าวจากชาวบ้านว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุดถ้าจะผ่านชายแดนไปจีนควรจะไปตอนนี้เลยนั่นคือตอนเกือบจะหกโมงเย็นนั่นเอง โชคดีของเขาไป แต่เราคิดว่าเราได้พักที่หมู่บ้านซารีทัชก็ดีเช่นกัน ได้พักผ่อนหลังจากที่ปั่นข้ามเขาที่เคยได้อ่านจากที่ไหนสักแห่งว่าเส้นทางข้ามเขาไปหมู่่บ้านซารีทัชเป็นเส้นทางที่สวยที่สุดองคีร์กิซฯ คิดว่าเห็นด้วยเต็ม 100% จากภาพที่ถ่ายมาให้ชมกันเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งที่กล้องสามารถจับได้ แต่เราไม่สามารถถ่ายทอดธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ได้เห็น 360 องศา

แล้ววันอาทิตย์ที่เรารอคอยก็มาถึง เราออกเดินทางไม่เช้านัก เส้นทางสวยอย่างที่ไม่สามารถปั่นผ่านไปอย่างที่ไม่หยุดถ่ายภาพได้ วันแรกจะขึ้นเขาเสียส่วนใหญ่ และหลังจากห้ำหั่นกับความสูง เราก็มาจอดที่ไหล่ทางเพื่อหาที่กางเต้นท์ หาไม่ยากแต่ไม่มีน้ำอย่างที่เพื่อนชาวโปแลนด์ว่า แต่เราตุนน้ำมาด้วยแล้วจึงไม่มีปัญหา แค่ต้องต้มทำความสะอาดแต่ก็ต้องใช้อย่างประหยัด

จุดกางเต้นท์หลังจากไหลลงจากเขามา จริง ๆ อยากจะไหลลงต่อไป แต่จะมืดเสียก่อน ตรงนี้หนาวมาก ลมแรง หินที่เห็นนั่นคือเอามาบังลมค่ะ แต่พอดึกหน่อยลมเริ่มอ่อนแรงลง อุณหภูมิอยู่ที่ 6-7 องศา

จุดกางเต้นท์หลังจากไหลลงจากเขามา จริง ๆ อยากจะไหลลงต่อไป แต่จะมืดเสียก่อน ตรงนี้หนาวมาก ลมแรง หินที่เห็นนั่นคือเอามาบังลมค่ะ แต่พอดึกหน่อยลมเริ่มอ่อนแรงลง อุณหภูมิอยู่ที่ 6-7 องศา

SONY DSC

SONY DSC

เริ่มปั่น อืม..ต้องบอกว่าปล่อยไหลต่อไปอีกไม่นานก็มาถึงจุดตรวจของคีร์ซกิสถานจุดแรก แต่พอผ่านจุดตรวจตรงนี้ อ้าว..ไหงให้เราไต่ขึ้นเขาอีกแล้ว เฮ้อ… ขึ้นก็ขึ้น ทางนี้สวยจริง ๆ มิน่าเพื่อนคนสวีเดนคนหนึ่งที่เคยมาปั่นแถวนี้บอกว่าอยากกลับมาปั่นที่คีร์ซกิสถานอีก เรายังอยากจะกลับมาอีกเลย ทางมีขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอดทาง เราผ่านมาถึงหมู่บ้านสุดท้ายซึ่งขึ้นชื่อว่าวางอะไรโดยที่ไม่มีใครเฝ้าไม่ได้เป็นหาย และหมู่บ้านนี้เคยได้ยินว่ามีแผ่นดินไหวเมื่อหลายปีที่แล้ว นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่เขาสร้างบ้านกันใหม่ ไม่รู้้ว่าเป็นเพราะต้องการประหยัดหรือเปล่านะ ทุกหลังมีหลังคาสีฟ้ากันหมด

หมู่บ้านนูรา ดูใหม่ทั้งหมู่บ้าน คาดว่าน่าจะมีจากอุบัติเหตุแผ่นดินไหวเมื่อหลายปีที่แล้ว

หมู่บ้านนูรา ดูใหม่ทั้งหมู่บ้าน คาดว่าน่าจะมีจากอุบัติเหตุแผ่นดินไหวเมื่อหลายปีที่แล้ว

DCIM100GOPRO

เรามาถึงจุดตรวจจุดสองของคีร์ซกิสถาน จะตรวจอะไรกันนักหนานะ ตรงนี้เขาจะประทับตราว่าเราออกจากประเทศ จากจุดนี้เราสามารถปั่นไปได้แค่ไม่กี่ร้อยเมตร ลาดขึ้นเล็กน้อย แต่ถนนแย่มาก อีกไม่นานคงจะดีเพราะเขากำลังก่อสร้างกันอยู่ ถึงตรงนี้จะมีทหารของจีนละ แค่ดูพาสปอร์ตเราและอนุญาติให้เราปั่นต่อไปที่จุดตรวจอีกจุดหนึ่งเพื่อเช็คกระเป๋า หนังสือเดินทาง จดชื่อเรา และที่นี่เองที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายทั้งนักปั่น แบ๊คเพ๊คและนักเดินทางอิสระ ต้องจ้างรถแท๊กซี่หรือรถบรรทุกเพื่อไปกองตรวจของจีนซึ่งย้ายเข้าไปในเมืองเข้าไปอีกประมาณ 140 กม. ที่นี่เองเรามาเจอเพื่อนเราคนเชคฯ เขามาถึงก่อนเราจึงได้ออกไปก่อน แต่พวกเขาต้องนั่งแท๊กซี่และเสียค่ารถ แต่เราซึ่งมีจักรยานต้องไปกับรถบรรทุก โชคดีตรงที่รถบรรทุกส่วนใหญ่จากคีร์ซกิสถานไปจีนจะว่างเพราะส่วนใหญ่จะไปบรรทุกของจากจีนมาคีร์ซกิสถานเสียมากกว่า เราได้รถบรรทุกคันหนึ่งซึ่งเห็นหน้าคนขับแล้ว เขาไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่เหมือนเจ้าหน้าที่ที่ด่านบังคับเล็ก ๆ คนขับรถเก็บหนังสือเดินทางของเราพร้อมกับเอกสารที่มีรายชื่อเราไว้ ด้วยเหตุผลที่ว่าเรากับรถบรรทุกคันนี้จะต้องเดินทางไปด้วยกันจากจุดตรวจที่นี่ไปจนถึงจุดตรวจที่ประทับตราเข้าประเทศจีนอย่างเป็นทางการ และด้วยระยะทาง 140 กม. ที่ไม่ค่อยราบเรียบเท่าไหร่นัก กระเด้งกระดอนกันเกือบ 4 ชม. พอมาถึง เหมือนคันที่เรานั่งมาด้วยจะมีสิทธิพิเศษมากกว่าคันอื่น คือไม่ต้องต่อแถวตามลำดับ เขาสามารถขับไปด้านหน้าเพื่อให้เจ้าหน้าที่มาเปิดกุญแจที่ล๊อคคอนเทนเนอร์ไว้ แล้วเขาก็ขับต่อไปเลย ส่วนเราต้องเอาทั้งกระเป๋าและจักรยานไปตรวจที่กองตรวจของจีนอีกครั้งหนึ่ง เอาละค่ะ เจ้าหน้าที่เห็นหน้าเวชปุ๊บก็พ่นภาษาจีนใส่ทันที พูดและบอกได้แค่ว่า “ฉันเป็นคนไทย” คงได้ใช้ประโยคนี้ทั้งสามเดือนในจีนนี่แน่ หน้าหมวยเสียเปล่าเนอะดันพูดไม่ได้ สงสัยต้องกลับไปเรียนภาษาจีนให้คล่องเสียแล้ว โครงการต่อไป 😉

วิวจากรถบรรทุกคันแรก ช่วงนี้ถนนเรียบเพิ่งทำเสร็จใหม่เอี่ยม แต่มีช่วงหนึ่งเขาวางกองทรายกีดขวางเหมือนให้ชลอ แต่นายนี่ไม่อ่ะ ขับเหมือนมองไม่เห็นสิ่งกีดขวางนั่น เราสองคนลอยจากที่นั่ง ของที่เขาอัดไว้ที่ชั้นวางของในรถ เทกระจาดลงมาเป็นกองพะเนินเลย ในใจเรานึกถึงจักรยานสองคันที่นอนอยู่ด้านหลัง นั่งไปก็คิดไปว่าจะมีอะไรหักหรือเสียหายหรือเปล่าน๊า แต่โชคดีไม่เป็นอะไรเลย เฮ้อ...

วิวจากรถบรรทุกคันแรก ช่วงนี้ถนนเรียบเพิ่งทำเสร็จใหม่เอี่ยม แต่มีช่วงหนึ่งเขาวางกองทรายกีดขวางเหมือนให้ชลอ แต่นายนี่ไม่อ่ะ ขับเหมือนมองไม่เห็นสิ่งกีดขวางนั่น เราสองคนลอยจากที่นั่ง ของที่เขาอัดไว้ที่ชั้นวางของในรถ เทกระจาดลงมาเป็นกองพะเนินเลย ในใจเรานึกถึงจักรยานสองคันที่นอนอยู่ด้านหลัง นั่งไปก็คิดไปว่าจะมีอะไรหักหรือเสียหายหรือเปล่าน๊า แต่โชคดีไม่เป็นอะไรเลย เฮ้อ…

และวิวตามทาง

และวิวตามทาง

เราผ่านขั้นตอนการตรวจทุกอย่าง คิดว่าใช้เวลาไม่นานอย่างที่คิด ซึ่งเป็นวันแม่ฤกษ์ดีจริ ๆ เวลาเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และความที่เราเป็นห่วงว่าจักรยานจะเป็นอะไรหรือเปล่าหลังจากนอนอยู่ในคอนเทนเนอร์ตั้ง 4 ชม.จึงอยากจะเข้าเมืองคัชก้าที่ใหญ่หน่อย เพื่อไปหาร้านจักรยานให้เขาเช็คเสีย เรานั่งหัวสั่นหัวคลอนมาทั้ง 4 ชม.รู้สึกมึนไปหมด อีกอย่างเราได้อาบน้ำแค่ลวก ๆ เลยยิ่งอยากเข้าเมืองไว ๆ ขอโบกรถบรรทุกคันที่สองเข้าคัชก้าละกันซึ่งอยู่ห่างออกไปอีก 100 กม. ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่นะ ตอนนั้นเย็นแล้ว รถบรรทุกบางคันตั้งใจที่จะจอดนอนอยู่แถวนั้นแล้วค่อยขับต่อในวันรุ่งขึ้น เราถามอยู่นานกว่าจะได้คนขับใจดีจากคีร์ซกิสถาน เขายังช่วยเราเอาจักรยานเอากระเป๋าขึ้นคอนเทนเนอร์ข้างหลังให้ คันนี้ขับดีหน่อย ในรถก็ดูสะอาดเรียบร้อยกว่าคันแรกเยอะเลย หน้าต่างก็เปิดปิดโดยใช้ไฟฟ้า ขับมาถึงเมืองเล็ก ๆ เขาจอดข้างทาง เราก็งงว่าจะทำอะไร อ๋อ..แวะกินข้าว

รถบรรทุกคันที่สองที่สะอาดกว่าและโจคิมนั่งได้สบายขึ้นมาหน่อย

รถบรรทุกคันที่สองที่สะอาดกว่าและโจคิมนั่งได้สบายขึ้นมาหน่อย

บรรยากาศในร้านที่เรามาแวะกินข้าวเย็นกันที่ร้านง่าย ๆ แอบถ่ายเลยไม่ชัด ;-)

บรรยากาศในร้านที่เรามาแวะกินข้าวเย็นกันที่ร้านง่าย ๆ แอบถ่ายเลยไม่ชัด 😉

ที่จริงเราจะไม่ให้สตางค์กับเขาก็ได้ แต่เผอิญว่าเรามีเงินคีร์ซกิสฯ เหลืออยู่เลยเทให้เขาไปหมด ก็ประมาณ 4 ยูเอสดอลล่าร์ และเลยเลี้ยงอาหารเขามื้อนั้นด้วย เรานั่งกันมาจนกระทั่งถึงจุดที่รถบรรทุกส่วนใหญ่จะจอดนอนค้างคืน เหมือนทุกครั้งที่เราไปขอนอนในช่วงที่ปั่นในยุโรปตะวันออกและในทะเลทราย แต่เราขอตัวและรีบปั่นเข้าเมืองอีก 7-8 กม.เพื่ออาบน้ำและนอนสบาย ๆ

คีร์กีซสถาน => Osh (โอช) ไป Sary-Tash (ซารีทัช)

หลังจากร่ำลากับครบครัวที่ชวนเราไปกินอาหารเช้า เราปั่นเรื่อย ๆ เพราะชายแดนระหว่างอุซเบกฯ กับ คีร์กีซฯ ไม่ไกลมากนัก พอเรามาถึงจุดตรวจ เราปั่นไปที่ประตู ไม่เห็นว่าเขาปิดอยู่ พอไปถึงตรงนั้นก็มีเจ้าหน้าที่มาขอดูหนังสือเดินทาง เขาปล่อยให้เราเข้าไปทางประตูที่เขาปิดไว้ เลยนึกถึงนักปั่นชาวเบลเยี่ยมที่เคยเจอกันที่ทบิลิซิ เขาเคยบอกว่า ตรงนี้เขาให้สิทธิพิเศษกับนักท่องเที่ยวก่อน วันนั้นเราแซงคิวถึง 4 คิว ยังคิดว่าถ้าต้องรอคิวที่ยาวนั่น คงได้นอนค้างคืนตรงนั้นแน่นอน เพราะคิวที่ประตูทางเข้าด้านนอกยังอีกยาว

เราปั่นเข้าโอช (Osh) ถึงประมาณบ่ายแก่ ๆ ปั่นเข้าเมืองใช้เวลามากกว่าปั่นตามทางเพราะถนนซอกซอยเยอะมาก พอมาถึง โอชเกสต์เฮาส์ เขาบอกว่าตึกนั้นเต็มแต่มีอีกที่หนึ่งเดินไปอีกหน่อย โอเค..เดินก็เดิน พอไปถึง เวชนึกว่าโอชอยู่สูงถึง ~1000 ม.จากระดับน้ำทะเล อากาศน่าจะดีหน่อย แต่เปล่าเลย ร้อนอย่างกับอยู่ในเตาอบ พอไปถึงห้องที่เขาพูดถึง ไอ่หย๋า โค…ตรจะร้อน หน้าต่างเปิดไม่ได้แถมปิดด้วยแผ่นพลาสติค พัดลมก็ไม่มี อบมาก นั่งเฉย ๆ ยังร้อน เราเลยเอาแผ่นรองนอนของเราและเอาผ้าปูที่นอนของเขามาปูนอนที่พื้นตรงระเบียงที่ลมสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ ช่วยได้นิดหน่อย แต่ก็ยังร้อน เลยเอาผ้าเช็ดตัวไปชุบน้ำแล้วเอามาห่มขา วันรุ่งขึ้น ไม่มีการลังเลค่ะ เก็บแพ๊คกระเป๋า ย้าย!!! ธรรมดาจะขี้เกียจย้ายไปย้ายมาถ้าไม่จำเป็น แต่ครั้งนี้ทั้งจำเป็นและสุดจะทน

ระเบียงที่เราปูนอนกันบนพื้นตรงข้ามกับจักรยาน เสียดายเขามาเก็บเข้าที่เสียก่อน ไม่ทันถ่ายรูปไว้ประจาน

ระเบียงที่เราปูนอนกันบนพื้นตรงข้ามกับจักรยาน เสียดายเขามาเก็บเข้าที่เสียก่อน ไม่ทันถ่ายรูปไว้ประจาน

ย้ายมาอีกที่หนึ่ง ไกลจากตรงนั้นหน่อย แต่ก็เข้ามาใกล้ร้านพิซซ่าที่อยากกินมานาน เพื่อนเคยเตือนว่าอย่าสั่งอันใหญ่เพราะมันใหญ่มาก เวชสั่งอันเล็กยังกินไม่หมดเลย ที่โอชเกสต์เฮาส์ส่วนใหญ่คนที่มาอยู่คือเด็ก ๆ ที่มีงบน้อยเลยต้องทนอยู่กันไป จึงมีนักท่องเที่ยวมากมายหลายประเทศมาพบปะกันที่นี่ วันที่เราไปกินพิซซ่ากัน มีคนเยอรมัน ฝรั่งเศส สเปน โปแลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ สวีเดนและไทย แต่ที่ใหม่ที่เราย้ายไปนั้นค่อนข้างเงียบ อาจจะเป็นเพราะราคาที่แพงขึ้นมาอีกหน่อยแต่ที่เราได้จากที่โรงแรมนี้ก็คุ้มกับการฉลองที่เราปั่นมาได้ครึ่งทาง มีแอร์, อินเตอร์เนต, อาหารเช้าและบรรยากาศสบาย ๆ เพราะเขามีสวนหย่อมให้นั่งเล่น เราได้เจอสามี (ฝรั่งเศส) ภรรยา (มาเลย์) คู่หนึ่งมาเดินเทรคกิ้งที่คีร์กีซสถาน สามีเป็นกุ๊กและเป็นครูสอนทำอาหารฝรั่งเศสที่มาเลเซียด้วย ส่วนภรรยาเป็นนักเขียนเกี่ยวกับอาหารให้กับนิตยสารฉบับหนึ่ง ทั้งสองคนชอบทำอาหาร เราชวนเขาออกไปกินพิซซ่า แต่เขาว่าเขาจะทำอาหารกินกัน และถามเราว่าอยากจะร่วมโต๊ะด้วยมั้ย? แน่นอนสิค่ะ กุ๊กใหญ่มาทำให้กินถึงที่จะปฏิเสธได้อย่างไร 🙂 เริ่มต้นก็สนุกแล้วโดยที่เราติดตามไปซื้อของสดในตลาด นี่ไม่สด นั่นดูไม่ดี เป็นเราก็หยิบไปแล้ว เพราะเลือกไม่เป็น 🙂 ในระหว่างหั่น ๆ สับ ๆ เขาก็จะบอกเคล็ดลับนั่นนี่ให้ฟังตลอด ไม่มีการเก็บเป็นความลับ เหมือนกับว่าฉันบอกเธอแล้วเก็บได้แค่ไหนก็เก็บไป แถมชวนเราปั่นจักรยานไปหาเขาที่มาเลย์อีกด้วย น่าสน 🙂

เด็กที่โรงแรมขี้เล่นหัวเราะเก่ง คุยกันไม่รู้เรื่องแต่ความพยายามเธอสูง ตัวเล็กนิดเดียว

เด็กที่โรงแรมขี้เล่นหัวเราะเก่ง คุยกันไม่รู้เรื่องแต่ความพยายามเธอสูง ตัวเล็กนิดเดียว

บรรยากาศในห้องอาหาร และพนักงานของเขามีคนใส่เสื้อสีขาวเท่านั้นที่คุยภาษาอังกฤษได้ แต่น่ารักทุกคน

บรรยากาศในห้องอาหาร และพนักงานของเขามีคนใส่เสื้อสีขาวเท่านั้นที่คุยภาษาอังกฤษได้ แต่น่ารักทุกคน

โอชเป็นเมืองที่ไม่มีอะไรให้เที่ยวชมมากมายนัก เพราะฉนั้นเราจึงมีโอกาสได้พักผ่อน ดูแลจักรยาน ซักผ้า ติดต่อและสไกป์คุยกับหม่าม๊าและเพื่อน ๆ ที่เมืองไทยและที่สวีเดน เตรียมตัวและของใช้ต่าง ๆ ทำความสะอาดเครื่องครัว เพราะส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีน้ำใช้ เลยใช้ทิชชูชุบน้ำและเช็ดเอาคราบอาหารออกเท่านั้น

ในตลาดที่ใหญ่ที่สุดของเขา

ในตลาดที่ใหญ่ที่สุดของเขา

หมวกนี่ดูท่าทางน่าจะร้อน แต่ยังเห็นเขาใส่กัน งง เคยซื้อมา ขนาดใส่ที่สวีเดนยังร้อนเลย

หมวกนี่ดูท่าทางน่าจะร้อน แต่ยังเห็นเขาใส่กัน งง เคยซื้อมา ขนาดใส่ที่สวีเดนยังร้อนเลย

ก่อนจะออกจากโอช คิดว่าน่าจะใช้เวลา 2 วันปั่นไปเมืองซารีทัช (Sary-Tash) น่าจะเรียกว่าหมู่บ้านมากกว่าเพราะเล็กมากแต่ที่หมู่บ้านนี้มีทางแยกที่ไปประเทศทาจิกิสถานและจีน และตั้งแต่เขาเปิดชายแดนที่หมู่บ้านอีร์เกชทัม (Irkeshtam) ซึ่งห่างจากซารีทัชไป 70 กว่าโล จึงมีนักท่องเที่ยวเดินทางผ่านหมู่บ้านนี้เยอะมาก เราเห็นว่าระยะทางจากโอชไปซารีทัชแค่ 184 กม. 🙂 2 วันน่าจะปั่นถึงแต่ลืมไปนิดว่ามันเป็นทางเขาแถมขึ้นมากกว่าลงและสูงประมาณ 3600 ม. และออกสายอีก กว่าจะเตรียมอะไรเสร็จเวลาบ่ายสามออกจากโอชได้หน่อยเห็นนักปั่น 3 คนปั่นสวนทางเราไป แต่ตอนนั้นอยู่ในเมือง เลยได้แค่โบกมือให้กัน พอออกมานอกเมืองหน่อยก็มาเจออีกคนหนึ่ง เขาปั่นมาจอดฝั่งเราเป็นคนอังกฤษ และบอกว่ารู้จัก 3 คนนั้นที่เราเจอก่อนหน้านี้ด้วย เขาปั่นมาจากซารีทัชภายใน 1 วัน ตอนหลังถึงเข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำได้ เพราะขึ้นแค่นิดหน่อยส่วนใหญ่จะลงมากกว่า ลงจาก 3615 ม.มาที่ 1000 ม. แต่แสดงว่าเขาไม่จอดถ่ายรูปหรือชมวิวเลย เพราะตอนที่เราปั่นไปซารีทัชเราจอดและถ่ายรูปกันบ่อยมาก เพราะทางเขานั้นสวยมากและภูเขาหลากสี สีแดง เขียว เทา รถไม่ค่อยมีเท่าไหร่ มีรถบรรทุกคันหนึ่งโบกให้เราเกาะท้ายไปตอนขาขึ้น แต่ไม่ไหวค่ะน่ากลัว กลัวเสียหลักล้มง่าย อีกคันหนึ่งบอกให้เอาจักรยานขึ้นมาด้วยเลย ใจดีจังแต่เราอยากปั่นกันไปมากกว่า

ภาพระหว่างทางปั่นข้ามเขาไปหมู่บ้านซารีทัช

ภาพระหว่างทางปั่นข้ามเขาไปหมู่บ้านซารีทัช

เราแวะพักที่ปั้มเพราะเห็นว่ามีร้านขายของ ซึ่งไม่ค่อยเห็นสักเท่าไหร่ที่นี่ เอ..ขวดนี้แพงกว่าขวดนั้น ถ้าอย่างนั้นเราหยิบขวดที่ถูกดีกว่า พอไปจ่ายตังค์ อ้าว..ทำไมมันแพงจัง โห..มันเล่นคิดเงินตามใจมันเลย จาก 58 เป็น 88 หงุดหงิด เลยเอาขยะไปยัดถังมันอย่างแรง เจ็บใจ เจอคู่อิตาลีปั่นตามมาเจอเราตอนเรากำลังจะไปเลยเตือนเขาเรื่องนี้ ช่วงนี้อากาศยังร้อนอยู่ รู้สึกหิวโค้กเลยแวะที่ร้านข้างทาง ซึ่งไม่ค่อยเห็นบ่อยล่ะ เพราะทางเริ่มจะชันขึ้นเรื่อย ๆ กำลังคุยกับเจ้าของร้าน ก็เห็นมีนักปั่น 3 คนลงจากเขามา เย้..หนึ่งในนั้นมีเพื่อนเราที่แยกกันที่ซามาร์คันด้วย “ยูฮันเนส” คนเยอรมัน เขาเจอนักปั่นคู่หนึ่งจากโปแลนด์ระหว่างทางเลยปั่นด้วยกัน ตอนแรกคิดว่าจะได้เจอยูฮันเนสที่โอช เพราะเราหยุดอยู่ที่นั่นนานกว่าที่เคยวางแผนไว้ และเขาก็หยุดอยู่ที่พามีร์ไฮเวย์ในทาจิกิสถานนานกว่าที่เขาเคยคิดไว้เหมือนกัน แต่ก็ยังดีที่มาเจอกันกลางทาง แยกกันไปและมาเจอกันอีกทีสนุกดี ได้คุยและเช็คสถานการณ์ซึ่งกันและกัน ยูฮันเนสยังได้เจอกับบาเทค คนโปแลนด์ที่ปั่นก่อนหน้าเราหนึ่งวันด้วย

ลายังฉลาดมายืนรอรถเมลย์แทนที่จะเดินขึ้นเชาไปเอง ;-)

ลายังฉลาดมายืนรอรถเมลย์แทนที่จะเดินขึ้นเชาไปเอง 😉

เราแยกกับยูฮันเนสและคู่โปแลนด์ พวกเขาไปกันแล้ว แต่เรายังติดคุยอยู่กับคนแก่คนหนึ่ง คำถามส่วนใหญ่คือมาจากไหน กำลังจะไปไหน ถามเสร็จแกทำท่าเหมือนอวยพรให้เรา ค่ะ ขอบคุณค่ะ พอเราจะปั่นออกไปแกหยิบขนมปังและแอปเปิ้ล 2 ลูก เดินมาให้ ขอบคุณค่ะกำลังต้องการทีเดียว ระหว่างทางเราปั่นผ่านหมู่บ้าน มีเด็กเล็กมากมาย น่าจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้โรงเรียนปิดเทอม พวกเขาชอบออกมาที่ถนน ยื่นมือมาให้เราแปะมือกับเขา ดีที่ไม่ค่อยมีรถ แต่รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย กลัวไปชนเด็กเพราะเล่นวิ่งข้ามฝั่งมาอีกทางหนึ่งและไม่ใช่แค่คนหรือสองคน บางทีวิ่งกันมาเป็นขบวนเลย คิดว่าเขาคงเคยชินกับนักปั่นนะ เพราะถนนเส้นนี้เหมือนเป็นทางด่วนของจักรยานก็ว่าได้ อย่างที่เคยบอกข้างต้นว่าปลายทางที่หมู่บ้านซารีทัชมีทางแยกไปประเทศทาจิกิสถานและจีน เราปั่นมาจนกระทั่งเห็นทางขึ้นเขา ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าน่าจะเป็นทางซิกแซกชัน ๆ ขึ้นเขาไป เลยจอดกางเต้นท์ตรงนั้น

จุดกางเต้นท์ที่สวยอีกจุดหนึ่ง

จุดกางเต้นท์ที่สวยอีกจุดหนึ่ง

ออกจากที่กางเต้นท์นึกว่าตรงนั้นคือที่เริ่มต้นไต่ขึ้นเขาอย่างท่ีคิด แต่เปล่าเราต้องปั่นไปอีกเกือบ 30 กม. ผ่านร้านอาหาร แต่เราเพิ่งกินขนมปังและกาแฟ เลยยังไม่หิว ซื้อแต่ชาและน้ำซ่า ๆ พอจะจ่ายตังค์เขาบอกไม่เก็บ ขอบคุณค่ะ ปั่นไปซารีทัชไม่ง่ายอย่างที่คิดเลยนะเนี่ย ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงตรงถนนซิกแซกชัน ๆ เหนื่อยมาก เพราะท้องว่าง กินแค่ชาที่ร้านตอนเช้าเปิดถั่วกระป๋องกิน แต่ไม่พอ ผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ แต่ร้านขายของไม่เปิด อยากจะเข้าไปเคาะประตูบ้านชาวบ้านขอขนมปังเขาเลยแหละ แต่คิดว่าน่าจะไหว เลยปั่นกันต่อ โจคิมยังพอมีแรงอยู่แต่เราเริ่มหมดแรง มีขนมและช๊อคโกแลตก็กินหมดไปแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงเสียที พอขึ้นถึงจุดสูงสุด โจคิมบอกว่ามันจะลงนิดหน่อยและจะขึ้นอีกหน่อย แค่บอกก็รู้สึกหมดกำลัง พอมาเจอของจริง หมดกำลังใจเลย ต้องปั่นขึ้นอีกตั้ง 2 กม. แง ๆ ๆ เอา..กัดฟันปั่นขึ้นไป เฮ้อ…กว่าจะสนุกกับการลงแทบดิ้น ช่วงขาลงมีมอเตอร์ไซค์สองคันขับแซงเราไปกดแตรทักทายเรา เราก็โบกมือให้ เรามาจอดตรงสามแยกกำลังคิดว่าจะไปทางไหน เห็นหนึ่งในมอเตอร์ไซค์นั่นขับมาแล้วจอดตามขวางที่ป้ายบอกทาง เขาอยากจะถ่ายรูป แต่ปรากฎว่าจอดไม่ดี เสียหลักล้มลง เอาขึ้นเองไม่ได้ เราก็เหนื่อย โจคิมไม่มีขาตั้ง เราเลยไม่ได้ไปช่วยเขา มีชาวบ้านแถวนั้นวิ่งไปช่วย พอมันขึ้นมาได้ มันหันมาเหน็บเราว่า “ขอบคุณที่ไม่มาช่วยมัน ฉันก็จะไม่ช่วยเธอเช่นกัน” บ๊ะ…ไอ่เวร ช่างมัน ปล่อยมันไป แล้วเราก็เลี้ยวไปหาอะไรกิน มันดันตามมากินที่เดียวกับเรา พอมันเห็นเรา มันบอกพื่อนมันว่า “สองคนนี้แหละที่ไม่ช่วยฉัน” โห..คุณนายเวชระเบิด เฮ้ย…จะมากเกินไปละนะ แกขับมอเตอร์ไซค์แต่พวกฉันปั่นจักรยานข้ามเขามา เหนื่อยก็เหนื่อย หิวก็หิว มันต้องรู้สิ เพราะมันแซงเรามา นี่ถ้าโจคิมไม่เบรคเราไว้มีหวังไอ่เวรนั่นคอขาด เพื่อนมันยังดียังมาขอโทษ ไอ่เวรนี่เป็นคนแรกเลยที่ทำให้อารมณ์เสีย

วิวระหว่างทาง

วิวระหว่างทาง

SONY DSC

ชมเขาสูงสะเพลินไปเลย ด้านหนึ่งมีหิมะ แต่อีกด้านหนึ่งไม่เขียวก็เทาไปทั้งเขา

ชมเขาสูงสะเพลินไปเลย ด้านหนึ่งมีหิมะ แต่อีกด้านหนึ่งไม่เขียวก็เทาไปทั้งเขา

แฮ่..เหนื่อย อากาศเริ่มเบาบาง ปั่นซิกแซกโดยอัตโนมัติ แต่ก็พยายามท่องดึงกด ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ

แฮ่..เหนื่อย อากาศเริ่มเบาบาง ปั่นซิกแซกโดยอัตโนมัติ แต่ก็พยายามท่องดึงกด ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ

ก่อนจะไหลลงจากระดับประมาณ 3800 ม.แอ๊คกันเสียหน่อย ;-)

ก่อนจะไหลลงจากระดับประมาณ 3800 ม.แอ๊คกันเสียหน่อย 😉

หลังจากกินอาหารเรียบร้อยแล้ว เราปั่นอกจากซารีทัชตอนสี่โมงเย็น ปั่นไปได้ 13 กม.ได้ sms จากบาเทคว่าชายแดนของคีร์กีซสถานปิดถึงวันจันทร์ เพราะเขาฉลองวันสุดท้ายของศีลอด พอได้ sms ยังไม่ทันได้คิดอะไร ฝนตกอีก ปั่นหนีฝนต่ออีกนิด พอฝนหยุดเราลองเช็คในไกด์บุ๊คว่าหมู่บ้านถัดไปมีอะไรมั้ย? ไม่มี ตอนแรกคิดว่าจะหาที่กางเต้นท์ คิดไปคิดมาตัดสินใจกลับมาที่ซารีทัชละกันอย่างน้อยก็เป็นหมู่บ้านใหญ่กว่าหน่อย ตอนแรกว่าจะปั่นกลับแต่เผอิญเห็นรถบรรทุกจอดเติมน้ำข้างทาง เลยขออาศัยเขามาด้วย ลมเริ่มแรง ฝนเริ่มตก โชคดีที่ไม่ได้อยู่กลางทุ่ง พอมาถึงในหมู่บ้าน เราพักกันอีกที่หนึ่งที่ไม่ใช่ที่เดียวกันกับไอ่เวรนั่น ที่ที่เราพักเราเจอคนเช็คฯ คุยสนุก เขามีไอเดียที่จะเปิดเกสต์เฮาส์ที่ประเทศสถาน ๆ นี่ ถ้าเขาสามารถทำได้ นักท่องเที่ยวน่าจะมาพักที่ของเขามากกว่าแน่นอน

เด็กขี่ลาคนที่เราเจอบนเขาด้วย หมั่นไส้เล็กน้อย เราเหนื่อยมันดันขี่ลาอยู่ข้าง ๆ แล้วผิวปาก เลยโบกมือบอกให้มันไปก่อนเลย หรือ "รีบ ๆ ไป เลยไป" สะมากกว่า :) แต่ดันมาพักอยู่ที่บ้านของไอ่เด็กคนนี้ เฮ้อ...

เด็กขี่ลาคนที่เราเจอบนเขาด้วย หมั่นไส้เล็กน้อย เราเหนื่อยมันดันขี่ลาอยู่ข้าง ๆ แล้วผิวปาก เลยโบกมือบอกให้มันไปก่อนเลย หรือ “รีบ ๆ ไป เลยไป” สะมากกว่า 🙂 แต่ดันมาพักอยู่ที่บ้านของไอ่เด็กคนนี้ เฮ้อ…

ตอนที่เราได้ข้อความจากบาเทค ตอนนั้นอีกแค่ 20 นาทีเขาจะปิดชายแดน ทำอย่างไรเราก็ไปไม่ทัน อีกตั้ง 50 กว่าโล เรากลับมาที่ซารีทัชและรู้สึกเหนื่อย ๆ เพราะความสูงถึง 3600 ม.นี่ หรือเป็นเพราะเราหักโหมปั่นขึ้นเขามา เราเดินไปเดินมาในหมู่บ้านถามหาข้อมูลเกี่ยวกับชายแดนว่าเปิดปิดกี่วัน แต่ละคนให้ข้อมูลที่ไม่เหมือนกันสักคน วันนี้เจอนักปั่นจากนิวซีแลนด์, เยอรมัน และนักโบกจากออสเตรเลีล, แคนาดา, ฝรั่งเศสและโปแลนด์ ทุกคนติดอยู่ที่นี่กันหมด แปลกตรงที่ชายแดนระหว่างคีร์กีซสถานกับจีนปิด แต่ที่ระหว่างทาจิกิสถานกับคีร์กีซสถาน กลับไม่ปิด เพราะเราเห็นรถบรรทุกมาจากเส้นทางนี้ตลอดเวลา ทุกคนที่จะเดินทางต่อไปจีนติดอยู่ที่นี่กันหมด ไปไหนไม่ได้ ไปได้แค่ถึงชายแดนที่ยิ่งไม่มีอะไรเลย จริง ๆ เราจะเดินขึ้นเขาไปชมวิว ดูยอดเขาเลนินที่อยู่ติดชายแดนระหว่างคีร์กีซสถานและทาจิกิสถานก็ได้ แต่แค่เดินไปหาซื้อของก็เหนื่อยแล้ว เลยนอนพักผ่อนชมวิวจากหน้าต่างที่เกสต์เฮาส์แทน ที่ชายแดนปิดตั้งแต่วันพุธเวลา 18.00 น. และตั้งแต่วันพุธนั้นเราไม่สามารถไปไหนได้จนกระทั่งถึงวันอาทิตย์ที่เริ่มปั่นให้ใกล้ชายแดนเข้ามาหน่อย ช่วงที่เรารออยู่นั้นเป็นช่วงเวลาที่บางครั้งน่าเบื่อเมื่อคุยกันถึงตอนพลาดและความที่ไม่รู้ว่าเขาเปิดหรือปิดกันแน่ แต่ก็น่าสนใจเมื่อได้พบกับเพื่อนร่วมห้องที่คุยสนุกมีสาระ เริ่มมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะจากที่มีอยู่และไม่สามารถเดินทางต่อก็มีมาเพิ่ม บางคณะก็เดินทางกลับไปเมืองโอช ย้อนกลับไปอีก 180 กม.ส่วนเราก็ถือโอกาสพักผ่อน

ถนนที่เห็นเป็นทางไปทาจิกิสถาน ฝั่งตรงข้ามไปจีน ตรงไปกลับโอชของคีร์กิซสถาน

ถนนที่เห็นเป็นทางไปทาจิกิสถาน ฝั่งตรงข้ามไปจีน ตรงไปกลับโอชของคีร์กิซสถาน

สภาพหมู่บ้านซารีทัช พูดถึงก็ไม่ค่อยแย่ แต่ไม่มีอะไรให้ดูให้ทำนัก เดินขึ้นเขาอย่างเดียว ปั่นมาก็เหนื่อยละเลยขี้เกียจเดินขึ้นอีก ;-)

สภาพหมู่บ้านซารีทัช พูดถึงก็ไม่ค่อยแย่ แต่ไม่มีอะไรให้ดูให้ทำนัก เดินขึ้นเขาอย่างเดียว ปั่นมาก็เหนื่อยละเลยขี้เกียจเดินขึ้นอีก 😉