คนโปแลนด์ที่เราเจอเขาที่โฮสเทสที่บาทุมิ เขาโชคไม่ดีที่สติ๊กเกอร์วีซ่าของอัซเซอร์ไบจานหมด เลยตัดสินใจปั่นไปทบิลิซิก่อนแล้วค่อยนั่งรถไฟกลับไปบาทุมิเพื่อทำวีซ่า เพราะที่นั่นไม่ต้องมีเอกสารอื่น ๆ นอกจากแบบฟอร์ม คุ้มที่จะนั่งรถไฟกลับไปทำ เราคงได้เจอเขาอีกทีที่ทบิลิซิ น่าจะเป็นการดีถ้าได้รอข้ามทะเลสาปแคสเปี้ยนพร้อมกับเขา เพราะเขาจะปั่นประมาณเส้นทางเดียวกันกับเราเลย แต่เขาจะปั่นต่อไปซิดนีย์ พอเราถึงกรุงเทพฯ ของเขาถึงแค่ครึ่งทาง 😉
หลายคนที่อยากจะเข้าเมืองหลวงเร็ว ๆ ก็จะปั่นกันบนทางหลวง แต่เราได้ยินจากคุณสว่างที่เจอกันที่บาทุมิ เขาว่าถนนจอร์เจียปั่นยากรถเยอะและไหล่ทางแทบจะไม่มี เราเลยเลือกปั่นทางเขาได้ยินเสียงนกเสียงน้ำไหล มีอารมณ์และเวลาชมวิวทิวทัศน์ข้างทาง ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง แต่ดันไปล้มเอาเข่ากระแทกกับหินนี่สิ มีช่วงที่มีน้ำตกไหลผ่าน ธรรมดาเขาจะวางท่อใต้พื้นถนนเพื่อไม่ให้มันไหลข้ามถนน แต่นี่มันทางบนเขาที่จอร์เจีย เขาคงไม่สนใจที่จะทำให้ดีมั้ง เฮ่อ…ตอนล้มไม่รู้สึกเจ็บนะ เลยไม่ได้ถู ๆ นวด ๆ มัน มารู้สึกเจ็บนิด ๆ ก็วันรุ่งขึ้น เริ่มเจ็บแปลบ ๆ นึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นทันใด เอายาหม่องมาทาถูตั้งหลายครั้งยังไม่ดีขึ้น นี่ผ่านมาตั้งหลายวันแล้วยังไม่ดีขึ้นเลย ชักเป็นห่วง แต่คิดว่ามันเป็นแผลฟกช้ำที่ถูกกดถูกตลอดเวลาเวลาเราปั่นจักรยาน ก็เลยรู้สึกเจ็บไม่หายสักที พักที่อัคฮาลซิเฮอะสองวัน และวันที่ปั่นมาโบรโจมิ (Borjomi) เริ่มเจ็บ เลยหยุดพักตั้งสามวันที่นี่ แต่ก็ยังเจ็บ ๆ อยู่ เฮ่อ…
ที่อัคฮาลซิเฮอะ เราพักที่โรงแรมจิ้งหรีดหนึ่งคืน หลังจากนั้นก็เข้าเมืองอยู่อีกคืนหนึ่ง เอ…ชักยืดยาดเอาเรื่องเหมือนกันนะพวกเรา 😉 ก็เรื่องวีซ่างัย การขอวีซ่าเข้าอุซเบกิสถานต้องใช้จดหมายเชิญ แล้วเราจะไปหาได้ที่ไหน นอกจากจะติดต่อกับบริษัทที่เข้าสามารถจัดการให้ได้คือ STANtours (นักปั่นข้ามทวีปรู้จักบริษัทนี้กันทุกคน) การจ่ายค่าจัดการเขาก็ใช้เวลา และหลังจากให้ข้อมูลเป็นตับแล้ว ชำระค่าป่วยการแล้ว ก็ต้องรอไปอีกหนึ่งอาทิตย์เพื่อทางเขาจะส่งจดหมายเชิญไปที่หน่วยอะไรสักอย่างเพื่อขออนุมัติขออนุญาติอะไรทำนองนั้น ระบบข้าราชการของเขายังติดหนึบอยู่กับระบบทางรัสเซียที่ต้องเช๊คต้องเรื่องมาก ประเทศเขาก็น่าเที่ยวแต่ไม่น่าทำให้วีซ่าเป็นเรื่องยุ่งยากเลย การขอวีซ่าเข้าอุซเบฯ ต้องระบุวันที่แน่นอนว่าจะเข้าประเทศวันไหน กรอกไว้ว่าจะเข้าวันไหน วันนั้นก็เริ่มนับเป็นวันแรกของวีซ่าที่ได้ 30 วัน ก็ปวดหัวอีกเพราะไม่รู้ว่าจะได้ขึ้นเรือแฟรี่ไปเมืองอัคเทาที่ประเทศคาซัคสถานเมื่อไหร่ แล้วข้าพเจ้าจะบอกได้อย่างไร บอกเร็วไปก็ต้องปั่นกันหน้าตั้ง บอกช้าไปก็ต้องไปแหง่วอยู่ในคาซัคสถาน แฮ่… ไหน ๆ ก็มาเกือบจะถึงหน้าประตูบ้านเขาแล้ว ก็ต้องลุยต่อ ไม่มีเวลาก็โบกรถนั่งรถไฟเอาละกัน ใจจริงก็อยากปั่น แต่ถ้ามีปัญหาที่ทำให้ปั่นไปไม่ทัน เวชคิดว่าที่ง่ายที่สุดคือโบกรถหรือนั่งรถไฟ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าตอนนั้นเราจะอยู่ใกล้จุดที่มีรถไฟผ่านหรือไม่ หรือจะมีรถให้โบกหรือเปล่านี่สิ เอา..ช่างมันเหอะ แก้ปัญหาตรงนี้ก็เจอปัญหาตรงนั้น เอาไว้เจอก่อนละกันแล้วค่อยแก้ นี่เป็นวิธีเวชแต่โจคิมไม่อ่ะ เธอจะต้องหาทาง ป้องกัน แก้ไข แทบจะทุกจุด รอบคอบจริง ๆ
เราออกมาหาอะไรกินกัน ตอนสั่งก็หิวเนอะ เอาโน่นเอานี่ เอ..กินรออีกจานหนึ่ง ทำไมไม่มาสักที ปรากฎว่าเขาไม่ได้จดในรายการ โชคดีไปเพราะเริ่มอิ่มแล้ว ตอนที่นั่งกินอยู่ก็เห็นตึกฝั่งตรงข้าม มองจากข้างนอกก็ไม่เห็นมีใครสักเท่าไหร่ ตอนแรกนึกว่าเป็นอาคารสำนักงาน แต่ก็ไม่น่าใช่ เลยลองถามเด็กในร้าน ปรากฎว่าเป็นห้องสมุดประชาชนที่ย้ายมาเมื่อสองปีที่แล้วจากที่เก่า แหม..มาตั้งอยู่ตรงหน้าก็ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย ด้านในดูสะอาดสะอ้านน่านั่ง ไม่ค่อยมีคนเข้ามาใช้ เด็ก ๆ นั่งอ่านหนังสือกัน และคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เห็นบรรณารักษณ์ทั้งหลายนั่งคุยกันอยู่ที่เคาน์เตอร์ เลยขอเข้าไปสัมภาษณ์หน่อยว่าเกี่ยวกับห้องสมุดนิดหน่อย งบเขาคงมีไม่เยอะ เพราะหนังสือหลายเล่มอาจจะถูกทิ้งไปนานแล้วถ้ามันอยู่ที่ในห้องสมุดที่สวีเดน
เราตั้งใจปั่นสั้น ๆ ไปเมืองโบรโจมิ (Borjomi) เลยออกกันสายหน่อย ถนนสายนี้ก็ยังคงสวยและน่าปั่น จราจรไม่คับคั่ง ที่ยิ่งดีคือมันลาดลงนิด ๆ ด้วย ชอบๆๆ
โบรโจมิเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีชื่อเรื่องน้ำแร่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนในประเทศเสียส่วนใหญ่ แต่ก็มีเห็นคนอิสราเอลและโปแลนด์บ้าง เราปั่นมาถึงและหยุดตรงใจกลางเมือง เคยได้อ่านจากหนังสือท่องเที่ยวว่า ‘Leo’s Homestay’ น่าอยู่ ได้เจอลีโอโดยบังเอิญที่ถนนสายนั้น เราเลยตามเขาไปที่บ้าน และได้อยู่ในอพาร์ตเมนท์ที่เขาแบ่งเป็นห้อง ๆ ให้เช่า เราได้ห้องเตียงใหญ่แต่ไม่ค่อยมีพื้นที่มากนัก แต่ถือว่าดีที่สุดแล้ว เหมือนเป็นส่วนตัวในราคา 20 ลารีต่อคนแต่ถ้าเพ่ิมอีก 5 ลารีแม่ของลีโอจะทำอาหารเช้าให้ด้วย หลังจากที่เห็นอาหารเช้าแล้ว คิดว่า 5 ลารีนี่สุดคุ้ม กินกันจนอิ่มไปถึงเย็น 😉
ตอนปั่นเข้าโบรโจมิเริ่มรู้สึกเจ็บที่เข่าทุกครั้งที่กดบันไดลง เลยอยู่ต่ออีกสองวัน วันแรกลีโอแนะนำเราให้เดินเข้าไปในสวน 2 กม.ไปชิมน้ำแร่ ลองชิมดูแล้ว รสชาติไม่ค่อยอร่อย น้ำแร่อุ่น ๆ แถมมีรสซ่า ๆ ด้วย ดีนะที่ไม่ได้เอาขวดไปด้วยอย่างที่ลีโอแนะนำ เขาว่าน้ำแร่นี่ดีสำหรับท้อง อืม…ถ่ายสะดวกหรืองัย อุ๊บส์์..ขอโทษ 😉
แล้วถ้าเดินต่อไปอีก 3 กม.ออกจากสวนเดินตามทางเข้าป่าไป จะมีสระน้ำคอนกรีตกลางแจ้ง อืม..น่าสน น้ำร้อนด้วยหรือ? อืม… เอาชุดว่ายน้ำไปด้วย ระหว่างทางที่เดินเข้าป่าไปดูร่มรื่น มีน้ำไหลผ่านตลอด
เราพักต่อวันหนึ่งลีโอมาถามว่าเราอยากจะไปเมืองถ้ำที่ห่างจากโบรโจมิไปอีก 120 กม.ด้วยมั้ย เพราะเขามีคนแคนาดาที่จะไปด้วย เราก็เดินเที่ยวในเมืองแล้ว เลยตัดสินใจไปกับเขา ได้เจอกับชัค (Chuck) เขามาที่จอร์เจียนี่เป็นครั้งแรก มาจัดสัมนาเกี่ยวกับฟาร์มไร้สารเคมีกับชาวนาที่จอร์เจีย พอเราเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับทริปของเรา เขาก็ตาโต เพราะเขาเองก็เป็นนักปั่นทัวร์ริ่งเหมือนกัน เขายังชวนให้เราปั่นไปเที่ยวบ้านเขาที่ออนโตริโอที่แคนาดาด้วย น่าสน!!!
วาดเซีย (Vardzia) ตั้งอยู่ในช่องแคบในหุบเขาที่สามารถมองเห็นพวกมองโกล คนเปอร์เซียและคนตุรกีบุกเข้ามา คนท้องถิ่นสมัยโน้นจึงขึ้นไปเจาะเขาให้เป็นถ้ำเพื่อหลบภัยจากผู้รุกราน ไม่รู้ว่าเขาอยู่กันนานแค่ไหน แต่มีการวางแผนเกี่ยวกับเรื่องน้ำ ลีโอชี้ให้ดูจากถนนถึงขีดที่เห็นไกล ๆ บนภูเขานั่นเป็นร่องที่เขาทำให้น้ำไหลมาเก็บไว้ใช้ เราดูไม่ออกว่าห้องไหนเป็นอะไร เดากันไปเรื่อย ลีโอว่ามีพระอยู่บนถ้ำนั่นด้วย 5 รูป
สงสัยว่าทริปเราไม่ควรจะเที่ยวที่ไหนโดยไม่ใช้จักรยาน เพราะทุกครั้งที่ต้องนั่งรถไป ฝนจะตก ฮึ่ม… แต่อาจจะเป็นเพราะว่าวิหารสุเมล่าที่ตุรกีและเมืองถ้ำวาดเซียที่จอร์เจียนี่อยู่บนเขาสูง อากาศคงชื้นเป็นธรรมดา ปลอบใจตัวเอง กลัวไม่ได้เที่ยว 😉 นั่นแหละพอเห็นถ้ำจากรถเท่านั้นฝนก็ตก แถมปนด้วยลูกเห็บ ลีโอต้องเอารถขับไปแอบอยู่ใต้ต้นไม้สักพัก แล้วเราก็เปียกอีกจนได้ แต่ไหน ๆ มาถึงแล้วก็ต้องขึ้น เดินขึ้นก็ได้นะ แต่ลีโอว่าถ้าจ่าย 1 ลีราสามารถนั่งรถตู้ขึ้นไปได้ แต่ขอลงมาด้วยได้มั้ย? ได้!! เดินอยู่ข้างบนชมถ้ำกัน มีแม้กระทั่งโบสถ์อยู่ข้างบน มีภาพวาดที่ยังคงสภาพดีอยู่ สวยมาก เนื่องจากฝนตกเราเลยเดินกันไม่ทั่วเท่าไหร่ เดินมารอรถตู้ แต่ไม่มาสักที ฝนตกฟ้าร้อง ไม่รู้จะไปหลบที่ไหนนอกจากในถ้ำ ชัคเขาไม่ชอบ เขากลัวฟ้าจะผ่าเพราะอยู่ในถ้ำเป็นอะไรที่ไม่ปลอดภัยมากที่สุด เราเลยต้องเดินลง เจ็บเข่าอีก เฮ่อ..
ลีโอบอกว่าทริปนี้เขาจะพาเราไปเล่นน้ำแร่ร้อน ๆ ที่นี่มีหลังคา เราเห็นเด็กเยอะแยะก็กลัวว่าคนจะเยอะ เลยบอกว่าไม่ไปละกัน ลีโอก็งงและค้านว่าเราควรจะไป เขาบอกว่าที่แห่งนี้ไม่มีในหนังสือท่องเที่ยวที่ไหน อ่ะๆๆ โอเค ไปก็ไป ไปดูก่อน ไม่ชอบใจก็ค่อยไปต่อ พอมาถึง ไม่มีใครสักคนมีแต่พวกเราสามคนที่ลงไปแช่น้ำ โห..สุดยอด ขอบใจลีโอที่่คะยั้นคะยอให้พวกเราไป น้ำน่าจะร้อนสัก 30 องศา ไม่ค่อยมีกลิ่นเหมือนไข่เน่าสักเท่าไหร่ หลังจากที่เดินชมถ้ำจนตัวเปียกฝนและเริ่มรู้สึกเย็น ๆ มาแช่น้ำตรงนี้แล้วรู้สึกสบาย ๆ ๆ
ถ้ามีใครจะมาเที่ยวโบรโจมิขอแนะนำที่โฮมสเตย์ของลีโอนะค่ะ