Category Archives: Posts in Thai / โพสต์ภาษาไทย

จอร์เจีย => Tbilisi (ทบิลิซิ) ไป Kakheti (คัคเฮติ) ผ่านชายแดนเข้าประเทศอัซเซอร์ไบจาน

หลังจากปั่นออกมาจากทบิลิซิได้ไม่เท่าไหร่ ฝนก็ทำท่าจะตก เราปั่นมาหยุดที่ปั้มแห่งหนึ่ง จอดได้สักพักฝนก็เทลงมาทั้งสองครั้ง ตกหนักจนรู้สึกเย็น ๆ ต้องเอาเสื้อออกมาใส่ ตกค่อนข้างนานเหมือนกัน นั่งรอนอนรอเลย ก็มีคนเข้ามาคุยด้วย เขาพอจะเข้าใจภาษารัสเซียเวชได้บางคำ โจคิมจะรู้มากกว่าเพราะเขาเคยไปเรียนเพิ่มเติมมา พอคุยกันรู้เรื่องเมื่อใช้ภาษามือผสมเข้าไปด้วย

รถวิ่งผ่านน้ำกระจายจากฝนตก

รถวิ่งผ่านน้ำกระจายจากฝนตก

พอฝนหยุดเราปั่นออกไป แต่เผอิญเห็นป้ายโรงแรม เข่าเริ่มเจ็บอีกแล้วเลยเดินเข้าไปถามราคา เขาบอก 50 ลารี่ เราลองต่อเหลือ 40 เขาก็โอเค ต้องลองต่อหน่อยเพราะเงินลารี่เหลือน้อยเต็มที ขนกระเป๋ากันขึ้นไป ดูเผิน ๆ ห้องก็ดูดี แต่พอจะอาบน้ำ น้ำไหลช้าและใช้เวลานานกว่าจะร้อน แต่น้ำในก๊อกที่อ่างล้างหน้าแทบจะไม่ไหล ยังไม่พอ ผ้าปูเตียงก็เหมือนกับว่าไม่ได้เปลี่ยนผ้าใหม่ให้เรา กลิ่นมันฟ้อง เราเลยต้องเอาถุงนอนของเราออกมาใช้ รู้สึกไม่คุ้มกับเงิน 40 ลารี่ที่จ่ายไปเลย เฮ่อ…คราวหน้าคงต้องขอดูห้องก่อน

โจคิมทำอาหารในห้องเพื่อประหยัดค่าอาหารและไม่ต้องแบกต่ออีกด้วย

โจคิมทำอาหารในห้องเพื่อประหยัดค่าอาหารและไม่ต้องแบกต่ออีกด้วย

เช้าวันต่อมาเราปั่นกันมาเรื่อย ๆ ตามทางหลวง โจคิมเอาของหนัก ๆ จากกระเป๋าเวชไปไว้ที่เขา ทำให้เวชแบกสัมภาระเบาขึ้น ช่วยได้เยอะทีเดียว เราพยายามหยุดทุก 10 กม.หรือเท่าที่เวชรู้สึกอยากพัก เพื่อยืดกล้ามเนื้อ เพราะคิดว่านั่นอาจจะเป็นการช่วยให้ไม่เจ็บเข่า ที่ข้างทางขณะที่เราจอดเพื่อยืดกล้ามเนื้อ โจคิมสังเกตุเห็นว่าเบาะเวชดูเบี้ยว ๆ ของเวชเป็นเบาะหนังยี่ห้อ Gilles-Berthoud ของฝรั่งเศส ซึ่งมีน๊อตรอบด้านและเวชเห็นว่ามีน๊อตตัวหนึ่งมันกำลังจะหลุด ก็เลยไขให้แน่นขึ้น และก็เห็นอีกว่ารางของเบาะมันหลุดออกจากรูที่ใส่ ซึ่งทำให้เบาะเบี้ยว เราเลยแกะออกมาและใส่กลับเข้าไป และพอขึ้นไปปั่นอีกที ไม่รู้สึกอีกเลยว่าเคยเจ็บเข่า มันหายเป็นปลิดทิ้งเลย เรามัวแต่ไปแก้แค่ที่ต้นอาการ แต่ไม่ได้ดูว่าจักรยานมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร วันนั้นเราเลยปั่นได้ไกลกว่าที่ตั้งใจไว้ แต่ปั่นสบาย ๆ แค่ช่วงแรก หลัง ๆ ก็เริ่มหนืด ๆ อาจจะเป็นเพราะการปรับเบาะช่วยให้มันดีขึ้น อาการก็ยังมีอยู่แต่ดีขึ้นเรื่อย ๆ

ภาพด้านล่างของอานตรงที่รางหลุดจากรุที่ใส่ ทำให้เบาะเบี้ยว

ภาพด้านล่างของอานตรงที่รางหลุดจากรุที่ใส่ ทำให้เบาะเบี้ยว

เราปั่นไปตามทางหลวง ซึ่งรถเยอะแต่ก็พอจะปั่นกันไปโดยที่ไม่ต้องเครียดมากนักกับจราจร แล้วจู่ ๆ ก็เห็นนักปั่นมาปั่นอยู่ข้างหลังเรา อ้าว..เป็นคนเดียวกันกับที่โจคิมเคยคุยด้วยทีี่โฮสต์เทลที่ทบิลิซิ เขาชื่อ ”ยูฮันเนส” เป็นคนเยอรมัน คนนี้ก็ลาออกจากงานเพื่อปั่นท่องโลก เราร่วมทางกันช่วงบ่าย พอใกล้ ๆ ค่ำเราก็เริ่มมองหาซื้อเสบียง ต่างคนต่างมีเงินเหลือไม่มาก แต่…;-) โชคดีของเราเพราะจากที่เคยนับแล้วนับอีกคิดว่ามีเหลือแค่ 16 ลารี่ แต่กลายเป็น 26 แทน ดีใจเลยเลี้ยงเบียร์เขาเสียเลย แล้วก็เร่ิมมองหาที่พักจุดกางเต้นท์ ปั่นอยู่นานเหมือนกันกว่าจะหาได้ที่เหมาะ ๆ

ได้เวลากางเต้นท์ เลยเลี้ยวลงเข้าข้างทางเสียเลย เย็นแล้วคงไม่มีใครเดินหรือขับรถผ่านไม่เหมือนตอนเช้าที่เราต้องยกไม้ยกมือทักทายตลอด ทั้งรถทั้งคนเลี้ยงวัว สนุกดี

ได้เวลากางเต้นท์ เลยเลี้ยวลงเข้าข้างทางเสียเลย เย็นแล้วคงไม่มีใครเดินหรือขับรถผ่านไม่เหมือนตอนเช้าที่เราต้องยกไม้ยกมือทักทายตลอด ทั้งรถทั้งคนเลี้ยงวัว สนุกดี

ก่อนที่จะเช๊คอินเข้าโรงแรมที่น้ำไม่ไหล ผ้าปูไม่เปลี่ยนให้ เราปั่นมาเจอคุณลุงปั่นจักรยานเก็บขวดขาย แกพูดภาษาเยอรมันได้เลยคุยกันกับโจคิม พอวันนี้ที่เราออกจากจุดกางเต้นท์กับยูฮันเนส ก็มาเจอคุณลุงคนเดิมอีก แต่วันนี้ดูจักรยานแกจะมีขวดพลาสติคเพิ่มมากขึ้น เราเลยให้ยูฮันเนสคุยแทน ได้รู้ว่าแกพูดได้หลายภาษา น่าจะเป็นคนที่เลือกที่จะอยู่อย่างพอเพียง คุยกันได้สักพักแกชวนให้ปั่นไปด้วยกัน ไปที่ต้นเชอร์รี่ซึ่งน่าจะเป็นแหล่งเสบียง จัดการจอดรถจักรยานข้ามถนนอย่างคล่องแคล่ว เรายังไม่ทันหาที่จอดแกอยู่บนต้นไม้แล้วอ่ะ ส่วนโจคิมกับยูฮันเนสปีนขึ้นไปแค่ขอบซีเมนต์ แค่นั้นก็กินกันจนอิ่มแล้ว คุณลุงยังปีนต่อขึ้นไปแถมโยนลงมาให้เป็นก้าน ๆ ก้านหนึ่ง ๆ มีเชอร์รี่มากมาย อร่อยหวาน

เห็นคุณลุงบนต้นไม้ด้านหลังโจคิมกันมั้ย เราลาคุณลุงไปแล้ว แกแค่โบกมือแล้วก็หันไปเก็บเชอร์รี่ของแกต่อไป ชีวิตพอเพียงจริง ๆ มีแค่ไหนก็กินแค่นั้น

เห็นคุณลุงบนต้นไม้ด้านหลังโจคิมกันมั้ย เราลาคุณลุงไปแล้ว แกแค่โบกมือแล้วก็หันไปเก็บเชอร์รี่ของแกต่อไป ชีวิตพอเพียงจริง ๆ มีแค่ไหนก็กินแค่นั้น

นี่คือภาพวันแรกที่เราได้เจอกับคุณลุง

นี่คือภาพวันแรกที่เราได้เจอกับคุณลุง

คันเดียวกัน แต่ภาพนี้คืออีกวันรุ่งขึ้น ขยันเก็บไปเรื่อย ๆ คนขยันไม่เคยอดอยาก

คันเดียวกัน แต่ภาพนี้คืออีกวันรุ่งขึ้น ขยันเก็บไปเรื่อย ๆ คนขยันไม่เคยอดอยาก

เทือกเขาคอเคซัส วิวระหว่างทางสวยมาก ไม่เสียดายที่หลงเข้าทางเขา ;-)

เทือกเขาคอเคซัส วิวระหว่างทางสวยมาก ไม่เสียดายที่หลงเข้าทางเขา 😉

เช้าวันรุ่งขึ้นเราต้องให้ยูฮันเนสปั่นไปก่อน เพราะโจคิมยางแบนอีกแล้ว ครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้แล้ว เลิกนับเพราะเราชนะขาดลอย ชนะยังงัยถ้าเดี๋ยวยางเวชแบนก็ต้องให้โจคิมซ่อมให้ ทำเองก็ได้นะแต่ช้า 😉 ช่วงเช้าทางลาดลงเลยพยายามปั่นกันเยอะหน่อย ช่วงนี้เองที่เราปั่นโดยที่ไม่มีแผนที่ ดูจากป้ายบอกทางเอา แล้วก็เลยหลงเข้าไปทางเขาและเนินเล็กเนินชันมากมาย ทำให้นึกถึงตอนที่ปั่นเรียบทะเลดำที่ตุรกี คือขึ้นลงทั้งวัน ดีนะที่เข่าดีขึ้นแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงแน่ แต่ก็มีบางช่วงเวลายืนปั่นหรือผิดท่าไปหน่อยก็จะเจ็บจี๊ด พยายามผ่อนก็หายไป เฮ่อ…แปลกเนอะถ้าปั่นแบบผ่อนคลายจะไม่รู้สึกเจ็บหรือบางทีไม่รู้สึกเหนื่อย

จริง ๆ แล้วเราควรจะเลี้ยวซ้ายไปเมือง Seki ความที่เรามุ่งหน้าไปบาคุ เลยตรงไป หุหุ .. เลยปั่นไกลเกินตั้ง 15 กม.แรงเยอะเกินเหตุ ;-)

จริง ๆ แล้วเราควรจะเลี้ยวซ้ายไปเมือง Seki ความที่เรามุ่งหน้าไปบาคุ เลยตรงไป หุหุ .. เลยปั่นไกลเกินตั้ง 15 กม.แรงเยอะเกินเหตุ 😉

อย่างว่าทางเขาไม่ใช่ทางเราก็ตามเขาไป ขึ้นลงทั้งวัน อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เราเลยคุยกันว่าจะพยายามออกกันเช้าขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงอากาศร้อนช่วงบ่าย ทางนี้ดีหน่อยตรงที่ยังมีต้นไม้มีร่มเงาให้พักได้ เราได้ยินจากเพื่อนชาวอังกฤษสองคนที่ปั่นล่วงหน้ามาก่อน เขาใช้เส้นทางทางตอนใต้ ซึ่งน่าเบื่อร้อนมันดูเหมือนทะเลทรายนิด ๆ แต่เขาต้องการไปให้ถึงเมืองหลวงของอัซเซอร์ไบจานเลยใช้เส้นนี้เพราะเรียบและตรงกว่าเส้นทางด้านเหนือ

ร่มเงาจากต้นไม้หรือแค่เห็นเขียว ๆ ก็รู้สึกร่มรื่นในใจแล้ว

ร่มเงาจากต้นไม้หรือแค่เห็นเขียว ๆ ก็รู้สึกร่มรื่นในใจแล้ว

ความที่ร้อนและอยากทำเวลาให้ได้ระยะทางเรา เลยได้แต่เก็บภาพในความทรงจำ พอมาถึงเมืองที่ติดชายแดนระหว่างจอร์เจียและอัซเซอร์ไบจาน เราจัดการเข้าไปซื้ออาหารแห้งด้วยเศษเงินที่เหลือ หนุ่มน้อยในร้านเขาเข้าใจภาษามือและความหมายจากประโยคสั้น ๆ ที่เราสื่อไป เขาก็พยายามหาของเท่าที่เงินเรามี น่ารักมาก ได้ของและแพ๊คเข้ากระเป๋าเรียบร้อยแล้วเราปั่นไปที่ชายแดนให้เขาตรวจหนังสือเดินทาง โจคิมยื่นให้เขาดูก่อน เจ้าหน้าที่จ้องอยู่นานแล้วหันมาถามว่ามีหนังสือเดินทางอีกเล่มหรือเปล่า ที่จริงมีแต่ไม่บอก เขาบอกว่าโจคิมไม่มีตราประทับขาเข้าจอร์เจีย เฮ้ย..เป็นไปได้ยังงัย สรุปว่ากงศุลอัซเซอร์ไบจานที่จอร์เจียปิดวีซ่าทับตราประทับขาเข้าประเทศจอร์เจีย เจ้าหน้าที่เลยมองไม่เห็น แต่เขาบอกว่าเราว่า “โอเค นี่ไม่ใช่ปัญหาของเรา” เช๊ค ๆ ๆ รอได้สักพักใหญ่ ๆ แล้วก็ผ่านออกมาได้ พอมาถึงฝั่งอัซเซอร์ไบจาน เรารู้สึกไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้กลับเข้าประเทศอิสลามอีกครั้งหนึ่ง แต่ที่นี่ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนที่ตุรกีเลย

ประเทศที่ 9 อัซเซอร์ไบจาน

ประเทศที่ 9 อัซเซอร์ไบจาน

เวลาแตกต่างอีกหนึ่งชั่วโมง ทำให้เรามีเวลาปั่นอีกหน่อยก่อนที่ฟ้าจะมืด แต่ตาก็มอง ๆ หาที่พักไปเรื่อย เห็นอยู่หลายที่ แต่ความที่ยังไม่ถึงเวลาจึงปั่นต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งขวดน้ำที่เสียบไว้ท้ายรถมันหล่น พอเราลงไปเก็บก็เห็นถนนเล็ก ๆ เข้าไปในทุ่งหญ้า เลยเดินเข้าไปสำรวจกัน ดูแล้วน่าจะโอเคเพราะมีต้นไม้ล้อมรอบคนที่เดินผ่านไปมาจะมองไม่เห็น สุดยอด ตรงนี้แหละที่พักเราคืนนี้ จัดการชำระร่างกายด้วยน้ำที่เตรียมมา เพราะแมลงและยุงเยอะมากกัดเจ็บด้วย เรารีบเตรียมอาหาร สปาเก็ตตี้เช่นเคย เพราะง่ายที่สุด พอใกล้ค่ำถึงจะตั้งเต้นท์ขึ้น ก่อนนอนได้ยินเสียงหมาหอนด้วย ไม่รู้ว่าเป็นหมาจิ้งจอกหรือเปล่าเพราะตามทางเห็นนอนแบน ๆ มา 3-4 ตัว คืนนี้ฟ้าใสได้นอนดูดาวเต็มท้องฟ้าเลย

ที่กางเต้นท์ที่แรกในประเทศอัซเซอร์ไบจาน เสียดายแมลงเยอะไปหน่อย

ที่กางเต้นท์ที่แรกในประเทศอัซเซอร์ไบจาน เสียดายแมลงเยอะไปหน่อย

จอร์เจีย => ค้างเติ่งอยู่ที่ Tbilisi (ทบิลิซิ)

นี่เกือบ 2 อาทิตย์แล้วที่ล้มเข่ากระแทกกับหินบนภูเขา ทำไมมันยังไม่ยอมหายสักที ขนาดลงทุนนั่งรถไฟเข้าเมืองหลวงของจอร์เจีย ตอนแรกคิดว่าจะอยู่แค่สองวันด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นอาทิตย์ไป กินยา ทายา ออกไปเดิน แต่ไปได้ออกไปปั่น เฮ้อ ถ้าได้ออกไปลองปั่นอาจจะรู้ว่าควรจะอยู่ต่อที่ทบิลิซิ

เมื่อตอนที่อยู่ทบิลิซิ โจคิมได้พักผ่อนเยอะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องดูแผนที่หรือหาทาง เพราะทอมอยู่ที่นี่มาเกือบสองอาทิตย์ รู้จักไปหมดทุกซอกทุกมุม ตอนเช้าเรานั่งแท๊กซี่ อิอิ เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งแท๊กซี่ตั้งแต่ปั่นออกจากบ้านมา ทอมบอกว่าแท๊กซี่ที่นี่ถูกมาก เขาเรียกและจ่าย 5 ราลี่ตลอด ไม่ว่าจะไกลหรือใกล้ แต่วันนี้ได้ยินคนที่โฮสต์เทลอีกที่หนึ่งบอกว่า 3 ราลี่ก็พอแล้ว โฮสต์เทลที่เรานัดเจอกับทอมอยู่ออกมานอกเมืองหน่อย ทำให้ไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวก อีกอย่างที่ไม่ชอบคือเขาจะล๊อคประตูตลอด จะออกหรือจะเข้าต้องกดกริ่งเรียก แถมกลางคืนยังมีดึงประตูเหล็กลงมาปิดเสียมิด เกิดไฟไหม้ขึ้นมาทำงัย แต่ที่นี่เราได้ห้องส่วนตัว ไม่ต้องนอนรวมกับใคร แต่จ่ายเท่ากับทอมที่ต้องนอนรวมกันกับอีก 5 คน ชอบร้านขนมปังในซอยเล็ก ๆ เราได้กินขนมปังแบบไม่ร้อน ๆ ก็อุ่น ๆ จากเตาหลังร้านทุกเช้า และร้านขายของอีกฝั่งฝากถนน ที่ชอบเพราะเขารับบัตรเครดิต บางทีร้านที่ไม่รับบัตรก็ดีนะ จะได้คิดแล้วคิดอีกว่าจะซื้อไม่ซื้อดี 😉

โฮสต์เทลจอร์เจียคืนละ 5 ยูโรต่อคน

โฮสต์เทลจอร์เจียคืนละ 5 ยูโรต่อคน

ก่อนเข้าทบิลิซิ นอกจากทอมกับนิคชาวอังกฤษที่เราเคยปั่นด้วยกันที่ตุรกีช่วงหนึ่งแล้ว เรายังพบและทำความรู้จักกับนักปั่นคนอื่น ๆ ที่จะปั่นไปทางเดียวกับเรา คนหนึ่งจากโปแลนด์ชื่อ ”บาเทค” เจอเขาที่บาทุมิ (Batumi) จากสโลเวเนีย มาโก๊ะ ที่โบรโจมิ (Borjomi) จากนิวซีแลนด์ ”ไซมอน” ที่โกริ (Gori) พวกเขาปั่นเข้าทบิลิซิในเวลาไล่เรี่ยกัน มีคืนหนึ่งเรานัดกับพวกเขาทั้งหมดนี่ไปนั่งดื่มกันที่ผับแห่งหนึ่งพร้อมทั้งทอมและนิค คุยกันจนดึก หัวข้อหลักก็คือเรื่องวีซ่าเข้าประเทศ…สถานทั้งหลาย

โจคิมคุยกับพวกเขาทางอีเมลย์คุยกันไปเมลย์กันมาก็เห็นว่าบาเทคกับไซมอนอยู่ที่โฮสต์เทลเดียวกัน เราเลยตัดสินใจย้ายไปอยู่กับพวกเขาหลังจากที่ทอมและนิคออกเดินทางไปเมืองบาคุ เมืองหลวงของอัซเซอร์ไบจานได้สองวัน อยากย้ายตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาปั่นกันไปแล้ว แต่ขี้เกียจแพ๊คกระเป๋า มีตั้ง 8 ใบนะ 🙁 มาตัดสินใจได้เพราะมีดึก ๆ คืนหนึ่งไฟดับ อีตาคนเฝ้าเอาเทียนออกมาจุด 4-5 เล่ม อ้าว…วางทุกจุด เกิดมันล้มไปติดไฟที่ไหนแล้วคนที่อยู่ในโฮสต์เทลจะทำอย่างไร ได้ฤกษ์แพ๊คกระเป๋า ย้าย!!!

แต่ก่อนที่จะย้ายไป มีนักปั่นจากเบลเยี่ยม ”เอเดรี่ยน” เข้ามาเช๊คอิน เขาปั่นย้อนมาทางเรา เขาเริ่มที่เอเชียและกำลังมุ่งหน้าไปตุรกี กรีซ และกลับบ้าน เขาลาออกจากงานเพื่อมาปั่นจักรยานท่องเที่ยวเหมือนเราเลย 😉 แต่เสียดายที่เขาไม่ได้ปั่นเข้ามาทางอุซเบกิสถานและคาซัคสถาน แต่เขาประทับใจคีกีร์สถานมาก เรายังได้เบอร์และอีเมลย์ติดต่อกับสมาคมจักรยานที่เมืองบาคุจากเอเดรี่ยน เขาเคยไปอยู่ที่นั่นโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพราะเป็นห้องเช่าของสมาคมเอง เอเดรี่ยนให้ข้อมูลเส้นทางที่น่าสนใจเพียบ บล๊อคของเขาเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่เขาบอกว่าเขาเขียนง่าย ๆ เวลาใช้กูเกิ้ลช่วยจะสามารถอ่านได้

จักรยานคันนี้ไม่รู้ใครมาจอดทิ้งไว้

จักรยานคันนี้ไม่รู้ใครมาจอดทิ้งไว้

ส่วนหนึ่งของกำแพงเก่า ซึ่งไม่เข้ากับอีกด้านหนึ่งที่เป็นตึกสมัยใหม่

ส่วนหนึ่งของกำแพงเก่า ซึ่งไม่เข้ากับอีกด้านหนึ่งที่เป็นตึกสมัยใหม่


ตึกนี้ถ้าได้มีการบูรณะใหม่คงจะสวยน่าดู

ตึกนี้ถ้าได้มีการบูรณะใหม่คงจะสวยน่าดู

ระเบียงนี้ก็ดูดีใช่ย่อย คลาสิคดี

ระเบียงนี้ก็ดูดีใช่ย่อย คลาสิคดี

เอเดรี่ยนมาดักถ่ายเราตอนที่เราย้ายจากโฮสต์เทลเก่าไปที่ใหม่

เอเดรี่ยนมาดักถ่ายเราตอนที่เราย้ายจากโฮสต์เทลเก่าไปที่ใหม่

หลังจากที่เราได้ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางของเอเดรี่ยน เราคิดว่าไซมอนและบาเทคน่าจะสนใจเลยนัดกันมากินข้าวมื้อเย็นที่โฮสต์เทลใหม่ เวลาส่วนใหญ่ของเราหมดไปกับการหาข้อมูลการเดินทางเส้นต่อ ๆ ไป แต่ช่วงนี้จะหาและอ่านกันเยอะหน่อยเกี่ยวกับประเทศคาซัคสถานและอุซเบกิสถาน เพราะเราคงได้เจอกับปัญหาเรื่องอากาศที่ร้อน น้ำที่หายากต้องแบกกันไปเป็นลิตร ๆ เวลาที่จำกัดโดยเฉพาะที่อุซเบกิสถาน ในวีซ่ากำหนดไว้ 30 วันไม่ขาดไม่เกิน วีซ่าออกวันไหนนับตั้งแต่วันนั้น และระยะทางที่ค่อนข้างยาวประมาณ 2000 กม.

ตอนที่พักที่ทบิลิซิ เราได้แต่ออกไปเดินกัน ถ้าได้ลองปั่นอาจจะรู้ตัวเองว่าควรจะอยู่ต่อที่โน่น เพราะนี่ปั่นมาได้แค่ 20 กม.ก็รู้สึกแปลบ ๆ เจ็บ ๆ อีกแล้ว อะไรกันเนี่ย ต้องโทษตัวเองที่ไม่ระวัง เฮ่ย….ทำให้ต้องเสียเวลา

จอร์เจีย => Borjomi (โบรโจมิ) ไป Gori (โกริ) นั่งรถไฟต่อไป Tbilisi (ทบิลิซิ)

“ชัค” คนแคนาดามาเคาะประตูห้องแต่เช้า เขาคิดว่าเรากำลังแพ๊คกระเป๋าเพื่อออกเดินทาง เขาอยากจะถ่ายรูปเราพร้อมจักรยานที่โหลดกระเป๋าเต็มอัตรา แต่ขอโทษ…พวกเรายังไม่ได้กินอาหารเช้าอันเลิศรสจากแม่ของลีโอเลย จะไปได้อย่างไรกัน 😉 แต่ชัคเขาจะไปพิพิธภัณฑ์และไปเดินเทรคกิ้งบนเขาต่อ เราเลยบ๊ายบายกันตอนนั้น

บรรกายาศในเมืองโบรโจมิ

บรรกายาศในเมืองโบรโจมิ

เกือบเที่ยงกว่าพวกเราจะออกจากที่พัก ปั่นตามทางมาสบาย ๆ เรียบน้ำได้สักพัก ก็เห็นจักรยานแบกสัมภาระเหมือนเราจอดอยู่ข้างทาง ดีใจ ต้องจอดทักทายกันเสียหน่อย เขาเป็นนักปั่นจากสโลเวเนียชื่อ มาโก้ะ (Marko) เขาพักที่โบรโจมิเหมือนกัน เมื่อคืนเขามีไข้และเพิ่งดีขึ้นแต่ยังไม่ค่อยเต็มที่เท่าไหร่ เราเลยปั่นล่วงหน้าไปก่อน แต่แลกอีเมลย์กัน เพราะยังงัยก็คงไปเจอกันที่เมืองหลวงทบิลิซิ เพราะเขาต้องมาขอวีซ่าเข้าคาซัคสถานและอัซเซอร์ไบจานที่นั่น ปั้มน้ำมันที่จอร์เจียส่วนใหญ่ไม่ค่อยใหญ่โตเหมือนที่ตุรกี มีปั้มหนึ่งเราเข้าไปถามหาห้องน้ำ เขาบอกว่าไม่มี เป็นไปได้อย่างไร!! โจคิมเลยไปใช้บริการข้างทาง ขออนุญาติต้นหญ้าต้นไม้ข้างหน้าก็แล้วกัน เราเคยได้พบกับหมอคนหนึ่งที่บาทุมิ เขาแนะนำว่าถ้าจะขอกางเต้นท์หรือบริการที่ดีหน่อยให้เข้าปั้ม SOCAR (โซก้า) เพราะดีที่สุดในจอร์เจีย เพิ่งมารู้เมื่อวานนี้ว่ายี่ห้อนี้เป็นของอัซเซอร์ไบจาน และร้านขายของ Goodwill (กู้ดวิล) ก็เป็นของเขาด้วย

ปั้มน้ำมันโซก้าและร้านขายของกู้ดวิลที่เปิดตลอด 24 ชม. มีทั้งซุปเปอร์มาเกตและสวนอาหารเหมือนบ้านเราแบบชี้ ๆ เอาดูน่ากินไปหมด ตามเคย

ปั้มน้ำมันโซก้าและร้านขายของกู้ดวิลที่เปิดตลอด 24 ชม. มีทั้งซุปเปอร์มาเกตและสวนอาหารเหมือนบ้านเราแบบชี้ ๆ เอา ดูน่ากินไปหมด ตามเคย

สักบ่ายแก่ ๆ เราพักเอาแพนเค้กสอดไส้ชีสที่แพ๊คมาด้วยออกมากินกัน อืม..เข่าเริ่มปวด ๆ นิด ๆ แต่ก็ยังพอไหว เอายาหม่องออกมาทา ๆ ถู ๆ สักหน่อย เราเริ่มเข้าสู่ถนนใหญ่คือจะเข้าเส้นหลักล่ะ ไหล่ทางเริ่มแคบลง ๆ จนกระทั่่งไม่มี แทบจะตลอดทางต้องตะโกนและเป่านกหวีดให้สัญญาณกัน แต่บางทีเวชเป่าบอกไม่ทันหรือไม่ก็เบาเกิน และหลายครั้งโจคิมต้องหันกลับมามองเอง 🙁 เวชอยู่ข้างหลังเพราะมีกระจกส่องหลัง โจคิมก็อยากมี แต่ที่แฮนด์ไม่มีที่ติด เฮ้อ..และอีกหลายครั้งที่ถูกเบียดลงไปปั่นข้างทางที่มีแต่หินลอย แย่!! แต่ก็ดีกว่าไปเบียดกับสิบล้อ ปั่นบนทางที่ไม่เรียบมันกระเทือนเลยยิ่งรู้สึกแปลบ ๆ ที่เข่า ท่าจะไม่ดี เพราะทุกครั้งที่กดขาลงไปจะรู้สึกเจ็บ และจากตรงนั้นกว่าจะเข้าถึงเมืองโกริ (Gori สตาลินเกิดที่เมืองนี้ด้วยนะ) เกือบ 10 กม. พอดีเห็นป้ายอันใหญ่โตบอกว่าอีก 5 กม.จะถึงปั้มน้ำมันโซก้าและร้านกู้ดวิลแถมมีอินเตอร์เนตด้วย อืม…น่าสน กัดฟันปั่นต่อไป

พอมาถึงเราเช๊คสถานที่ เข้าไปซื้อขนมและสำรวจดู คิดว่าคืนนี้คงได้ฝากท้องอันหิวโหยของเราที่นี่แหละ เราลองปั่นไปที่ปั้ม คุยเล่นกับพวกเด็กปั้มและเจ้าหน้าที่นิดหน่อยแล้วค่อยถามเขาถึงเรื่องกางเต้นท์ อันนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโจคิม เขาให้กางเต้นท์นะแถมยังพาเดินไปตรงที่ที่เราสามารถกางได้ด้วย เกือบจะหน้าปั้มเลย เราจอดจักรยานฝากเขาแถว ๆ ปั้ม แล้วเดินไปหาอะไรกิน เช็คอินเตอร์เนตที่ร้านกู้ดวิล โจคิมรู้สึกเป็นห่วงจักรยานเลยลองเดินไปดู ปรากฎว่าเขาย้ายจักรยานเราไปจอดข้าง ๆ ตึก ขาตั้งของโจคิมหักไปเขาเลยตั้งไม่ได้ เลยเอาไปขี่เล่นเสียเลย แต่มันไม่สมดุลย์เพราะมีกระเป๋าใบหนึ่งเราเอาติดตัวไปที่ร้านเพราะเป็นกระเป๋าคอมฯ พอโจคิมเดินไป ก็เลยดึงกระเป๋าใบหนึ่งออกจากตะแกรงหน้ารถ เหลือสองใบที่ตะแกรงท้ายรถ พนักงานกะกลางวันได้ปั่นคนละรอบ ที่นี้จะล๊อครถก็ดูไม่ดีละ พอเริ่มจะมืด เราก็เลยรีบ ๆ ไปกางเต้นท์และย้ายจักรยานไปแอบ ๆ ข้างตึกและ ”ล๊อค” จักรยานทั้งสองคัน กะกลางคืนมาเข้างาน ซึ่งมีคนหนึ่งที่รู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เขาชอบพูดเรื่องเงิน และคนนี้แหละที่อยากลองปั่นจักรยานของโจคิม อยากมาก ๆ ด้วย ขอตั้งแต่เมื่อคืน แต่โจคิมทำเป็นไม่รู้เรื่องและเข้าไปนอนอ่านหนังสือในเต้นท์ ตรงนี้ชอบที่ตุรกีมากกว่า เพราะคนที่ปั้มให้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า เขาไม่มายุ่งวุ่นวายหรือมาใกล้เต้นท์เราสักนิดเลย แต่ตรงนี้อาจจะเป็นเพราะเรากางเต้นท์ใกล้เขาก็ได้ มีคนหนึ่งเดินร้องเพลง ร้องอย่างเดียวไม่ว่าแต่พี่ท่านเล่นเดินไปทั่วแถมเดินเสียใกล้เต้นท์เรามากเลย ความอยากรู้อยากเห็นเขามีมาก กว่าจะนอนหลับได้

หน้าตาอาหารของเขาล่ะ อีกฝั่งหนึ่งเป็นของหวาน มันดูน่าชิมน่าหม่ำไปหมดเสียทุกอย่าง จริง ๆ ตอนนี้มีอะไรอร่อย ๆ ให้กินก็ควรจะกิน เพราะเมื่อข้ามไปปั่นในประเทศ...สถาน ทั้งหลาย มีหวังได้อดกันข้ามมื้อข้ามวันแน่เลย :-(

หน้าตาอาหารของเขาล่ะ อีกฝั่งหนึ่งเป็นของหวาน มันดูน่าชิมน่าหม่ำไปหมดเสียทุกอย่าง จริง ๆ ตอนนี้มีอะไรอร่อย ๆ ให้กินก็ควรจะกิน เพราะเมื่อข้ามไปปั่นในประเทศ…สถาน ทั้งหลาย มีหวังได้อดกันข้ามมื้อข้ามวันแน่เลย 🙁

พอเช้ามาเราเริ่มเก็บของ เจ้าคนที่ชอบพูดเรื่องเงินก็เดินตรงรี่เข้ามาเลย และขอปั่นจักรยานทันที เฮ้อ..ปฏิเสธเขามาแล้วครั้งหนึ่ง เช้านี้ก็เลยให้เขาลองปั่นดู เราก็รักของ ๆ เรานี่นา ดูท่าเขาปั่นแล้วเหมือนไม่ทะนุถนอมของเราเลย ดีนะที่ล๊อคไว้เมื่อคืน ไม่อย่างนั้นสภาพคงแย่แน่ สงสารจักรยาน ลูกของเรานะ อืม..จะท้าวถึงความหลังว่าทำไม — ตอนที่ออกไปปั่นซ้อมที่สวีเดนแต่เผอิญมีปัญหาอะไรสักอย่างต้องนั่งรถไฟกลับบ้าน คนขายตั๋วเขาแนะนำให้เราซื้อตั๋วแบบครอบครัว (พ่อ, แม่ ลูก 2 “คัน”:-) ซึ่งจะถูกกว่า ตั้งแต่นั้นมามันก็เลยกลายเป็นลูกเราไปโดยปริยาย 🙂

รีบเก็บเต้นท์เลยไม่มีภาพถ่ายจุดกางเต้นท์ นี่เป็นวิวจากอีกฝากถนนตรงจุดที่เรากางเต้นท์

รีบเก็บเต้นท์เลยไม่มีภาพถ่ายจุดกางเต้นท์ นี่เป็นวิวจากอีกฝากถนนตรงจุดที่เรากางเต้นท์

เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเข่าที่ระบมอย่างที่คิดว่าไม่น่าจะปั่นเข้าทบิลิซิได้ เพราะตั้งแต่ล้มและรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ ไม่เคยมีวันไหนที่รู้สึกปวด ๆ เวลาเดิน เอ..ชักไม่ดี โจคิมเลยเขียนเมลย์ไปเช๊คกับเพื่อนคนหนึ่งเป็นหมอ อีกคนเป็นหมอกายภาพบำบัด เขาให้ความเห็นตรงกันว่าควรจะหยุดพักสัก 2-3 วัน เป็นไปได้ว่าตอนที่โดนกระแทกอาจมีเลือดออกซิบ ๆ ทำให้เจ็บที่จุดนั้น แต่เราก็ได้พักผ่อนหยุดพักตั้ง 3 วันแล้วที่โบรโจมิ แต่อาจจะเป็นเพราะเลือดคั่งนิด ๆ ในเข่าเลยทำให้ต้องใช้เวลามากขึ้น ระหว่างที่นั่งค้นหาข้อมูลว่าควรจะทำอย่างไรกับอาการและรอคำตอบจากเพื่อนหมอทั้งสองคนที่ส่งคำถามคุยกันไปมา เราเห็นจักรยานทัวร์ริ่งคันหนึ่งเข้ามาจอด ตามธรรมเนียมก็ต้องทักทายกันหน่อย ได้ความว่าเขาชื่อ ไซมอน เป็นคนนิวซีแลนด์ ไปพักที่กโลบุส โฮสต์เทล และพบกับหนุ่มโปแลนด์ ”บาเทค” ซึ่งเล่าให้ไซมอนฟังเกี่ยวกับเรา เขาบอกว่าเขาดีใจที่ได้เจอกับเรา เราก็รู้สึกว่าเรากับเขามีอะไรที่คล้าย ๆ กัน หนึ่งเรื่องอายุ น่าจะพอ ๆ กัน ไม่บ้าจี้เหมือนเจ้าทอมกับนิค (แต่ทอมกับนิคก็สามารถเรียกเสียงเฮและเสียงหัวเราะได้ตลอดทางเช่นกัน) สองเรื่องงบ เขาคงเตรียมตัวและเก็บออมเพื่อทริปนี้ คือ เขาก็มีงบพอสำหรับถ้าอยากนอนหรืออยากทำอะไรหรู ๆ สักครั้งสองครั้ง ซึ่งเราก็พอจะทำได้แต่ไม่ได้สุรุ่ยสุร่ายนะ

คุยกันจนกระทั่งเขาจัดการอาหารข้างหน้าเรียบร้อยและพร้อมที่จะเดินทางต่อ เลยบ๊ายบายกันและเช่นเดิมแลกเปลี่ยนอีเมลย์กัน เราไปซื้ออาหารกลางวันมากินและเช๊คหาข้อมูลต่อ ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร เดินอุ่นเครื่องแล้วทั้งช้าและเร็วก็ยังรู้สึกแปลบ ๆ เลยคิดว่าปั่นเข้าเมืองโกริ แล้วนั่งรถไฟเข้าทบิลิซิเมืองหลวงเลยดีกว่า เพราะทอมและนิค เพื่อนชาวอังกฤษที่ปั่นมาล่วงหน้าอยู่ที่นั่นแล้ว ได้เจอกับพวกเขาอีกทีน่าจะสนุกกว่าที่จะอยู่พักดูอาการเข่าที่โกริ นี่เป็นครั้งแรกที่เราใช้พาหนะอื่นโดยนั่งรถไฟระยะทางช่วงนี้ประมาณ 80 กม. อืม..แต่เราก็ยังเดินทางบนบกอยู่นะ

เรามาถึงสถานีรถไฟประมาณบ่ายสามโมง รถไฟออกห้าโมงเย็น เรานั่งรอที่สถานีได้สักชม.นึง ฝนตก ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง อึ๋ย..น่ากลัวมาก นึกถึงตอนที่ไปกางเต้นท์นอนที่โรมาเนียในหุบเขาที่นอนพร้อมเสื้อผ้าเตรียมพร้อมที่จะออกไปสู้กับฝนได้ทุกเมื่อแบบแทบไม่ได้นอนทั้งคืน

ขบวนนี้แหละที่เราจะนั่งไปด้วย มีเหตุการณ์ตื่นเต้นเล็กน้อย เรามองไม่ทัน ไม่เห็นว่าตู้ไหนเบอร์อะไรเลยต้องวิ่งกันหน่อย

ขบวนนี้แหละที่เราจะนั่งไปด้วย มีเหตุการณ์ตื่นเต้นเล็กน้อย เรามองไม่ทัน ไม่เห็นว่าตู้ไหนเบอร์อะไรเลยต้องวิ่งกันหน่อย

เวลาหกโมงเย็นเราก็มาถึงทบิลิซิ เมืองหลวงของจอร์เจีย รถราคับคั่ง เสียงแตรดังทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ไม่รู้ว่าใครกดใส่ใคร ก่อนที่จะมาเราติดต่อกับทอมและรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เราเลยตามมาอยู่กับเขาสองคืน นั่งคุยกันสักถามอัพเดทเรื่องราวของแต่ละคน เย็นหน่อยเราเดินออกไปซื้ออาหารมาทำที่โฮสต์เทลแบบง่าย ๆ และนั่งคุยกันต่อจนดึก

ดีใจได้เจอกับพวกเขาอีก และหวังว่าจะเจอกันอีกที่บาคุ เมืองหลวงของอัซเซอร์ไบจาน

ดีใจได้เจอกับพวกเขาอีก และหวังว่าจะเจอกันอีกที่บาคุ เมืองหลวงของอัซเซอร์ไบจาน

จอร์เจีย => Akhaltsikhe (อัคฮาลซิคเฮอะ) ไป Borjomi (โบรโจมิ) แวะเที่ยว Vardzia (วาดเซีย)

คนโปแลนด์ที่เราเจอเขาที่โฮสเทสที่บาทุมิ เขาโชคไม่ดีที่สติ๊กเกอร์วีซ่าของอัซเซอร์ไบจานหมด เลยตัดสินใจปั่นไปทบิลิซิก่อนแล้วค่อยนั่งรถไฟกลับไปบาทุมิเพื่อทำวีซ่า เพราะที่นั่นไม่ต้องมีเอกสารอื่น ๆ นอกจากแบบฟอร์ม คุ้มที่จะนั่งรถไฟกลับไปทำ เราคงได้เจอเขาอีกทีที่ทบิลิซิ น่าจะเป็นการดีถ้าได้รอข้ามทะเลสาปแคสเปี้ยนพร้อมกับเขา เพราะเขาจะปั่นประมาณเส้นทางเดียวกันกับเราเลย แต่เขาจะปั่นต่อไปซิดนีย์ พอเราถึงกรุงเทพฯ ของเขาถึงแค่ครึ่งทาง 😉

บาเทค-หนุ่มโปแลนด์ที่จะปั่นไปซิดนีย์

บาเทค-หนุ่มโปแลนด์ที่จะปั่นไปซิดนีย์

หลายคนที่อยากจะเข้าเมืองหลวงเร็ว ๆ ก็จะปั่นกันบนทางหลวง แต่เราได้ยินจากคุณสว่างที่เจอกันที่บาทุมิ เขาว่าถนนจอร์เจียปั่นยากรถเยอะและไหล่ทางแทบจะไม่มี เราเลยเลือกปั่นทางเขาได้ยินเสียงนกเสียงน้ำไหล มีอารมณ์และเวลาชมวิวทิวทัศน์ข้างทาง ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง แต่ดันไปล้มเอาเข่ากระแทกกับหินนี่สิ มีช่วงที่มีน้ำตกไหลผ่าน ธรรมดาเขาจะวางท่อใต้พื้นถนนเพื่อไม่ให้มันไหลข้ามถนน แต่นี่มันทางบนเขาที่จอร์เจีย เขาคงไม่สนใจที่จะทำให้ดีมั้ง เฮ่อ…ตอนล้มไม่รู้สึกเจ็บนะ เลยไม่ได้ถู ๆ นวด ๆ มัน มารู้สึกเจ็บนิด ๆ ก็วันรุ่งขึ้น เริ่มเจ็บแปลบ ๆ นึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นทันใด เอายาหม่องมาทาถูตั้งหลายครั้งยังไม่ดีขึ้น นี่ผ่านมาตั้งหลายวันแล้วยังไม่ดีขึ้นเลย ชักเป็นห่วง แต่คิดว่ามันเป็นแผลฟกช้ำที่ถูกกดถูกตลอดเวลาเวลาเราปั่นจักรยาน ก็เลยรู้สึกเจ็บไม่หายสักที พักที่อัคฮาลซิเฮอะสองวัน และวันที่ปั่นมาโบรโจมิ (Borjomi) เริ่มเจ็บ เลยหยุดพักตั้งสามวันที่นี่ แต่ก็ยังเจ็บ ๆ อยู่ เฮ่อ…

สิ่งปรักหักพังข้างทาง มีเยอะมาก มีเวชอยู่ในภาพด้วยนะ เห็นกันมั้ย?

สิ่งปรักหักพังข้างทาง มีเยอะมาก มีเวชอยู่ในภาพด้วยนะ เห็นกันมั้ย?

ที่อัคฮาลซิเฮอะ เราพักที่โรงแรมจิ้งหรีดหนึ่งคืน หลังจากนั้นก็เข้าเมืองอยู่อีกคืนหนึ่ง เอ…ชักยืดยาดเอาเรื่องเหมือนกันนะพวกเรา 😉 ก็เรื่องวีซ่างัย การขอวีซ่าเข้าอุซเบกิสถานต้องใช้จดหมายเชิญ แล้วเราจะไปหาได้ที่ไหน นอกจากจะติดต่อกับบริษัทที่เข้าสามารถจัดการให้ได้คือ STANtours (นักปั่นข้ามทวีปรู้จักบริษัทนี้กันทุกคน) การจ่ายค่าจัดการเขาก็ใช้เวลา และหลังจากให้ข้อมูลเป็นตับแล้ว ชำระค่าป่วยการแล้ว ก็ต้องรอไปอีกหนึ่งอาทิตย์เพื่อทางเขาจะส่งจดหมายเชิญไปที่หน่วยอะไรสักอย่างเพื่อขออนุมัติขออนุญาติอะไรทำนองนั้น ระบบข้าราชการของเขายังติดหนึบอยู่กับระบบทางรัสเซียที่ต้องเช๊คต้องเรื่องมาก ประเทศเขาก็น่าเที่ยวแต่ไม่น่าทำให้วีซ่าเป็นเรื่องยุ่งยากเลย  การขอวีซ่าเข้าอุซเบฯ ต้องระบุวันที่แน่นอนว่าจะเข้าประเทศวันไหน กรอกไว้ว่าจะเข้าวันไหน วันนั้นก็เริ่มนับเป็นวันแรกของวีซ่าที่ได้ 30 วัน ก็ปวดหัวอีกเพราะไม่รู้ว่าจะได้ขึ้นเรือแฟรี่ไปเมืองอัคเทาที่ประเทศคาซัคสถานเมื่อไหร่ แล้วข้าพเจ้าจะบอกได้อย่างไร บอกเร็วไปก็ต้องปั่นกันหน้าตั้ง บอกช้าไปก็ต้องไปแหง่วอยู่ในคาซัคสถาน แฮ่… ไหน ๆ ก็มาเกือบจะถึงหน้าประตูบ้านเขาแล้ว ก็ต้องลุยต่อ ไม่มีเวลาก็โบกรถนั่งรถไฟเอาละกัน ใจจริงก็อยากปั่น แต่ถ้ามีปัญหาที่ทำให้ปั่นไปไม่ทัน เวชคิดว่าที่ง่ายที่สุดคือโบกรถหรือนั่งรถไฟ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าตอนนั้นเราจะอยู่ใกล้จุดที่มีรถไฟผ่านหรือไม่ หรือจะมีรถให้โบกหรือเปล่านี่สิ เอา..ช่างมันเหอะ แก้ปัญหาตรงนี้ก็เจอปัญหาตรงนั้น เอาไว้เจอก่อนละกันแล้วค่อยแก้ นี่เป็นวิธีเวชแต่โจคิมไม่อ่ะ เธอจะต้องหาทาง ป้องกัน แก้ไข แทบจะทุกจุด รอบคอบจริง ๆ

อัคฮาลซิเฮอะอยู่สูงเหมือนกัน นั่งในที่ร่มก็รู้สึกเย็น ๆ ออกมาพักผ่อนสมองหาอะไรกินกัน

อัคฮาลซิเฮอะอยู่สูงเหมือนกัน นั่งในที่ร่มก็รู้สึกเย็น ๆ ออกมาพักผ่อนสมองหาอะไรกินกัน

เราออกมาหาอะไรกินกัน ตอนสั่งก็หิวเนอะ เอาโน่นเอานี่ เอ..กินรออีกจานหนึ่ง ทำไมไม่มาสักที ปรากฎว่าเขาไม่ได้จดในรายการ โชคดีไปเพราะเริ่มอิ่มแล้ว ตอนที่นั่งกินอยู่ก็เห็นตึกฝั่งตรงข้าม มองจากข้างนอกก็ไม่เห็นมีใครสักเท่าไหร่ ตอนแรกนึกว่าเป็นอาคารสำนักงาน แต่ก็ไม่น่าใช่ เลยลองถามเด็กในร้าน ปรากฎว่าเป็นห้องสมุดประชาชนที่ย้ายมาเมื่อสองปีที่แล้วจากที่เก่า แหม..มาตั้งอยู่ตรงหน้าก็ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย ด้านในดูสะอาดสะอ้านน่านั่ง ไม่ค่อยมีคนเข้ามาใช้ เด็ก ๆ นั่งอ่านหนังสือกัน และคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เห็นบรรณารักษณ์ทั้งหลายนั่งคุยกันอยู่ที่เคาน์เตอร์ เลยขอเข้าไปสัมภาษณ์หน่อยว่าเกี่ยวกับห้องสมุดนิดหน่อย งบเขาคงมีไม่เยอะ เพราะหนังสือหลายเล่มอาจจะถูกทิ้งไปนานแล้วถ้ามันอยู่ที่ในห้องสมุดที่สวีเดน

บรรณารักษณ์ที่ห้องสมุดประชาชนมีทั้งหมด 8 คน

บรรณารักษณ์ที่ห้องสมุดประชาชนมีทั้งหมด 8 คน

หนังสือเขาเก่ามากเลย อาจจะกำลังจัดอยู่ก็เป็นได้หรืออาจจะไม่มีงบซื้อหนังสือใหม่ก็ต้องเก็บของเก่าไว้ก่อน

หนังสือเขาเก่ามากเลย อาจจะกำลังจัดอยู่ก็เป็นได้หรืออาจจะไม่มีงบซื้อหนังสือใหม่ก็ต้องเก็บของเก่าไว้ก่อน

เราตั้งใจปั่นสั้น ๆ ไปเมืองโบรโจมิ (Borjomi) เลยออกกันสายหน่อย ถนนสายนี้ก็ยังคงสวยและน่าปั่น จราจรไม่คับคั่ง ที่ยิ่งดีคือมันลาดลงนิด ๆ ด้วย ชอบๆๆ

ถนนทางไปเมืองโบรโจมิ ที่เรามารู้ทีหลังจากลีโอว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนแถบนั้นเป็นภูเขาไฟ 

ถนนทางไปเมืองโบรโจมิ ที่เรามารู้ทีหลังจากลีโอว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนแถบนั้นเป็นภูเขาไฟ

สิ่งปรักหักพังอีกที่หนึ่งที่ชัคและโจคิมเดินขึ้นไป เรารอที่รถละ

สิ่งปรักหักพังอีกที่หนึ่งที่ชัคและโจคิมเดินขึ้นไป เรารอที่รถละ

โบรโจมิเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีชื่อเรื่องน้ำแร่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนในประเทศเสียส่วนใหญ่ แต่ก็มีเห็นคนอิสราเอลและโปแลนด์บ้าง เราปั่นมาถึงและหยุดตรงใจกลางเมือง เคยได้อ่านจากหนังสือท่องเที่ยวว่า ‘Leo’s Homestay’ น่าอยู่ ได้เจอลีโอโดยบังเอิญที่ถนนสายนั้น เราเลยตามเขาไปที่บ้าน และได้อยู่ในอพาร์ตเมนท์ที่เขาแบ่งเป็นห้อง ๆ ให้เช่า เราได้ห้องเตียงใหญ่แต่ไม่ค่อยมีพื้นที่มากนัก แต่ถือว่าดีที่สุดแล้ว เหมือนเป็นส่วนตัวในราคา 20 ลารีต่อคนแต่ถ้าเพ่ิมอีก 5 ลารีแม่ของลีโอจะทำอาหารเช้าให้ด้วย หลังจากที่เห็นอาหารเช้าแล้ว คิดว่า 5 ลารีนี่สุดคุ้ม กินกันจนอิ่มไปถึงเย็น 😉

ตอนปั่นเข้าโบรโจมิเริ่มรู้สึกเจ็บที่เข่าทุกครั้งที่กดบันไดลง เลยอยู่ต่ออีกสองวัน วันแรกลีโอแนะนำเราให้เดินเข้าไปในสวน 2 กม.ไปชิมน้ำแร่ ลองชิมดูแล้ว รสชาติไม่ค่อยอร่อย น้ำแร่อุ่น ๆ แถมมีรสซ่า ๆ ด้วย ดีนะที่ไม่ได้เอาขวดไปด้วยอย่างที่ลีโอแนะนำ เขาว่าน้ำแร่นี่ดีสำหรับท้อง อืม…ถ่ายสะดวกหรืองัย อุ๊บส์์..ขอโทษ 😉

รสชาติเป็นอย่างไรอ่านจากสีหน้าของโจคิมดูเอาเองนะค่ะ ;-)

รสชาติเป็นอย่างไรอ่านจากสีหน้าของโจคิมดูเอาเองนะค่ะ 😉

แล้วถ้าเดินต่อไปอีก 3 กม.ออกจากสวนเดินตามทางเข้าป่าไป จะมีสระน้ำคอนกรีตกลางแจ้ง อืม..น่าสน น้ำร้อนด้วยหรือ? อืม… เอาชุดว่ายน้ำไปด้วย ระหว่างทางที่เดินเข้าป่าไปดูร่มรื่น มีน้ำไหลผ่านตลอด

น้ำจากภูเขา

น้ำจากภูเขา

สระนำ้กลางแจ้งที่ไม่ค่อยร้อนอย่างที่คิด อยู่กลางแจ้งก็สกปรกนิดหน่อย แต่สามารถนอนเล่นพักผ่อนกันที่สนามหญ้าได้

สระนำ้กลางแจ้งที่ไม่ค่อยร้อนอย่างที่คิด อยู่กลางแจ้งก็สกปรกนิดหน่อย แต่สามารถนอนเล่นพักผ่อนกันที่สนามหญ้าได้

เราพักต่อวันหนึ่งลีโอมาถามว่าเราอยากจะไปเมืองถ้ำที่ห่างจากโบรโจมิไปอีก 120 กม.ด้วยมั้ย เพราะเขามีคนแคนาดาที่จะไปด้วย เราก็เดินเที่ยวในเมืองแล้ว เลยตัดสินใจไปกับเขา ได้เจอกับชัค (Chuck) เขามาที่จอร์เจียนี่เป็นครั้งแรก มาจัดสัมนาเกี่ยวกับฟาร์มไร้สารเคมีกับชาวนาที่จอร์เจีย พอเราเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับทริปของเรา เขาก็ตาโต เพราะเขาเองก็เป็นนักปั่นทัวร์ริ่งเหมือนกัน เขายังชวนให้เราปั่นไปเที่ยวบ้านเขาที่ออนโตริโอที่แคนาดาด้วย น่าสน!!!

วาดเซีย (Vardzia) ตั้งอยู่ในช่องแคบในหุบเขาที่สามารถมองเห็นพวกมองโกล คนเปอร์เซียและคนตุรกีบุกเข้ามา คนท้องถิ่นสมัยโน้นจึงขึ้นไปเจาะเขาให้เป็นถ้ำเพื่อหลบภัยจากผู้รุกราน ไม่รู้ว่าเขาอยู่กันนานแค่ไหน แต่มีการวางแผนเกี่ยวกับเรื่องน้ำ ลีโอชี้ให้ดูจากถนนถึงขีดที่เห็นไกล ๆ บนภูเขานั่นเป็นร่องที่เขาทำให้น้ำไหลมาเก็บไว้ใช้ เราดูไม่ออกว่าห้องไหนเป็นอะไร เดากันไปเรื่อย ลีโอว่ามีพระอยู่บนถ้ำนั่นด้วย 5 รูป

นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของถ้ำเท่านั้น

นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของถ้ำเท่านั้น

ด้านในถ้ำ

ด้านในถ้ำ

สงสัยว่าทริปเราไม่ควรจะเที่ยวที่ไหนโดยไม่ใช้จักรยาน เพราะทุกครั้งที่ต้องนั่งรถไป ฝนจะตก ฮึ่ม… แต่อาจจะเป็นเพราะว่าวิหารสุเมล่าที่ตุรกีและเมืองถ้ำวาดเซียที่จอร์เจียนี่อยู่บนเขาสูง อากาศคงชื้นเป็นธรรมดา ปลอบใจตัวเอง กลัวไม่ได้เที่ยว 😉 นั่นแหละพอเห็นถ้ำจากรถเท่านั้นฝนก็ตก แถมปนด้วยลูกเห็บ ลีโอต้องเอารถขับไปแอบอยู่ใต้ต้นไม้สักพัก แล้วเราก็เปียกอีกจนได้ แต่ไหน ๆ มาถึงแล้วก็ต้องขึ้น เดินขึ้นก็ได้นะ แต่ลีโอว่าถ้าจ่าย 1 ลีราสามารถนั่งรถตู้ขึ้นไปได้ แต่ขอลงมาด้วยได้มั้ย? ได้!! เดินอยู่ข้างบนชมถ้ำกัน มีแม้กระทั่งโบสถ์อยู่ข้างบน มีภาพวาดที่ยังคงสภาพดีอยู่ สวยมาก เนื่องจากฝนตกเราเลยเดินกันไม่ทั่วเท่าไหร่ เดินมารอรถตู้ แต่ไม่มาสักที ฝนตกฟ้าร้อง ไม่รู้จะไปหลบที่ไหนนอกจากในถ้ำ ชัคเขาไม่ชอบ เขากลัวฟ้าจะผ่าเพราะอยู่ในถ้ำเป็นอะไรที่ไม่ปลอดภัยมากที่สุด เราเลยต้องเดินลง เจ็บเข่าอีก เฮ่อ..

ลีโอบอกว่าทริปนี้เขาจะพาเราไปเล่นน้ำแร่ร้อน ๆ ที่นี่มีหลังคา เราเห็นเด็กเยอะแยะก็กลัวว่าคนจะเยอะ เลยบอกว่าไม่ไปละกัน ลีโอก็งงและค้านว่าเราควรจะไป เขาบอกว่าที่แห่งนี้ไม่มีในหนังสือท่องเที่ยวที่ไหน อ่ะๆๆ โอเค ไปก็ไป ไปดูก่อน ไม่ชอบใจก็ค่อยไปต่อ พอมาถึง ไม่มีใครสักคนมีแต่พวกเราสามคนที่ลงไปแช่น้ำ โห..สุดยอด ขอบใจลีโอที่่คะยั้นคะยอให้พวกเราไป น้ำน่าจะร้อนสัก 30 องศา ไม่ค่อยมีกลิ่นเหมือนไข่เน่าสักเท่าไหร่ หลังจากที่เดินชมถ้ำจนตัวเปียกฝนและเริ่มรู้สึกเย็น ๆ มาแช่น้ำตรงนี้แล้วรู้สึกสบาย ๆ ๆ

บ่อน้ำแร่ ร้อน 30 องศาได้

บ่อน้ำแร่ ร้อน 30 องศาได้

ถ้ามีใครจะมาเที่ยวโบรโจมิขอแนะนำที่โฮมสเตย์ของลีโอนะค่ะ

หน้าตึก เป็นบ้านเก่าสัก 60 ปีถ้าเข้าใจแม่ลีโอไม่ผิด ;-)

หน้าตึก เป็นบ้านเก่าสัก 60 ปีถ้าเข้าใจแม่ลีโอไม่ผิด 😉

แม่ของลีโอที่ทำอาหารเช้าได้อร่อยถูกปาก ไม่รู้ว่าจะปลื้มว่าเรากินจนหมดทุกอย่างหรือเปล่า ;-) ;-) กินหมดทุกจานเลย

แม่ของลีโอที่ทำอาหารเช้าได้อร่อยถูกปาก ไม่รู้ว่าจะปลื้มว่าเรากินจนหมดทุกอย่างหรือเปล่า 😉 😉 กินหมดทุกจานเลย

เห็นภาพแล้วยังหิวได้อีกอ่ะ

เห็นภาพแล้วยังหิวได้อีกอ่ะ

คำถามทายเล่น ๆ กับยาสีฟัน

วันที่ 10 เมษายน เราเปิดใช้ยาสีฟันหลอดใหม่ที่บูคาเรสต์เลยคิดกันเล่น ๆ ว่าหลอดนี้มันจะหมดที่ไหน วันไหน และลองให้เพื่อน ๆ เข้ามาช่วยกันเดา และถ้าเพื่อนคนไหนที่เดาได้ใกล้เคียงมากที่สุด จะได้รับโปสการ์ดจากที่นั้น

นี่คือที่เพื่อน ๆ เดากันเข้ามา :-

Iain (เอียน) Samsun (ซัมซุน)
Heiko (ไฮคุ) Batumi (บาทุมิ)
John (จอห์น) Tbilisi (ทิบลิซิ)
Elisabeth (อลิซาเบธ) Baku (บาคุ)
Danne (ดันเน่) Middle of Caspian Sea (กลางทะเลสาปแคสเปี้ยน)
Mum we (แม่โจคิม) Aqtau (อัคเทา)
Kalle (คัลเล่อ) Beyneu (เบนิว)
Micke (มิคเกอะ) Turtkul (ทูรท์คูล)
Ryszard (ริซาด) Samarkand (ซามาร์คันด์)
Nutth (นัท) Osh (ออช)
Michael & Jodie (ไมเคิล+จูดี้) Lake Vakhsh (ทะเลสาปวัคช์)
Cousin Marie (มารี) New Dehli or 15 June (นิวเดลลี หรือ 15 มิย.)
Bootsabong (บุษบง) Uzbekistan or 77days (อุซเบฯ หรือ 77 วันคือ 14 กค)
Jesper & Emma (เยสเปอร์+เอมม่า) 17 August (17 สค.)
Hednoi (เห็ดน้อย) Thaiman… ไทยแลนด์

ดูจากแผนที่ข้างล่างนี้ บางคนเดาเป็นวันที่เราเลยไม่สามารถแปะลงไปในแผนที่ได้

Skärmavbild 2013-06-01 kl. 01.19.54

เอียนและไฮคุตกรอบไปแล้ว แต่ถ้าคิดว่าอยากจะเล่นต่อหรือเพื่อนบางคนที่อยากจะอัพเดท ต้องไปทำความดีอะไรสักอย่างก่อนนะคะ

เราก็ร่วมเดาด้วยค่ะแต่ไม่ใช่ว่ายาสีฟันจะหมดเมื่อไหร่ แค่กลัวว่าพอไปถึงเมืองนั้นและยาสีฟันหมด เขาจะมีขายโปสการ์ดหรือเปล่าเท่านั้นเอง 😉 ลองดูนะค่ะว่าหลอดยาสีฟันตอนนี้ดูเป็นอย่างไร และเราต้องปั่นอีก 150 กม.ไปเมืองหลวงของจอร์เจียคือทิบลิซิ

bild-14

จอร์เจีย => Batumi (บาทุมิ) ปั่นขึ้นยอดเขา Goderdzi pass พักที่ Akhaltsikhe (อัคฮาลท์สิเฮอะ)

ช่วงที่อยู่ที่บาทุมิเราวุ่นอยู่กับการดำเนินการขอวีซ่าเข้าจีน ทางการจีนไม่ค่อยอยากต้อนรับนักปั่นเข้าจีนโดยเฉพาะทางด้านตะวันตก เพราะอาจจะเป็นการซอกแซกเข้าไปตามหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ได้ผลเกินไป ถ้าเราบินหรือใช้พาหนะอื่นเข้าเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจีน ไม่มีปัญหา แต่ยังงัยก็แล้วแต่ทุกคนที่ต้องการเข้าจีนต้องมีเอกสารพร้อม ว่าจะบินเข้า-ออกวันไหน อยู่โรงแรมไหน จะเดินทางไปไหน อยู่กี่วัน เรานั่งค้นหาข้อมูลที่พักที่เที่ยวของจีนอย่างละเอียดและเป็นประเทศแรกที่ศึกษาที่เที่ยวโดยที่จะไม่ไปสักทีที่ค้นกันมา คุ้ยข้อมูลจนกระทั่งอยากไปเที่ยวจริง ๆ เสียแล้วสิ 🙂 หลังจากเตรียมวีซ่าจีนก็ต่อด้วยวีซ่าอุซเบกิสถาน ซึ่งก็ต้องการเอกสารไปอีกอย่างหนึ่งก็ต้องรบกันอีกต่อไป กำลังแก้ปัญหากันอยู่ อาจจะต้องเปลี่ยนเส้นทางอีก หรืออะไรสักอย่าง ต้องคิดดูอีกที เฮ้อ… เมื่อคืนมีนักปั่นจากโปแลนด์เข้าพักที่โฮสเทลด้วย ได้คุยกันแลกเปลี่ยนอีเมลย์ เมื่อวานได้ข่าวว่าเขามีปัญหาว่าสถานฑูตอัซเซอร์ไบจานที่บาทุมิออกวีซ่าให้ไม่ได้เพราะสติ๊กเกอร์หมด

ลาก่อนทะเลดำ กว่าจะเจอทะเลอีกทีคงเป็นทะเลสาบแคสเปี้ยนที่อัซเซอร์ไบจาน

ลาก่อนทะเลดำ กว่าจะเจอทะเลอีกทีคงเป็นทะเลสาบแคสเปี้ยนที่อัซเซอร์ไบจาน

เวลาเกือบบ่ายสาม เราปั่นออกจากบาทุมิ เราเลือกเส้นทางผ่านเขาที่สูง 2025 เมตรจากระดับน้ำทะเล ป้ายบอกทางอยู่ดี ๆ ก็หายไปไหนไม่รู้ ปั่นวนหาทางอยู่นาน พอปั่นย้อนกลับมาถึงจะเห็นป้าย หาทางเจอแล้วก็เริ่มหิวหาร้านอาหารต่อ 😉 ตามร้านค้าเห็นเขาเอาป้ายรายการอาหารมาตั้งโชว์ไว้ ไม่มีอาหารและไม่ใช่ร้านอาหารด้วย งง??? ชักหิวเลยหยุดที่ปั้มแห่งหนึ่ง แต่ความที่เราไม่ได้ซื้ออะไรตุน นอกจากไข่ต้มที่ต้มไว้ตั้งแต่เมื่อวาน อืม..ดีกว่าปั่นแบบท้องว่าง ๆ เนอะ ไข่ต้มก็ยังดี ทางนี้แรก ๆ เรียบปั่นสบายร่มรื่น อาจจะเป็นเพราะยังอยู่ใกล้เมืองบาทุมิ ที่จอร์เจียจ่ายด้วยการ์ดเริ่มไม่ค่อยสะดวก บางร้านติดป้ายวีซ่ามาสเตอร์การ์ดแต่ไม่รับอยู่ดี เราเลยต้องหาตู้กดตังค์ก่อน ก่อนออกจากบาทุมิ เราถามพนักงานท่ีนั่น ว่าที่เมืองเคดา (Keda) เมืองถัดไปนี่จะมีที่พักมั้ย? เขาก็บอกว่ามี คำว่า “เกสเฮาส์” ของเขาตอนนี้ชักเริ่มสงสัยละ ว่ามันคือ “homestay” หรือเปล่า? คือเป็นอีกลักษณะหนึ่งของการท่องเที่ยว โดยที่ครอบครัวในท้องถิ่นนั้นเปิดห้องให้เช่า ส่วนใหญ่ผู้มาพักสามารถใช้เครื่องครัวและบางครั้งอาจจะได้เรียนภาษาท้องถิ่นนั้น ๆ ถ้าสนใจ เราก็ไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ คือไม่มีทั้งโรงแรมหรือเกสเฮาส์ เราไปซื้ออาหารเผื่อว่าต้องแมปิ้งคืนนี้ แต่พอเราเริ่มถามชาวบ้านเรื่องโรงแรม ทีนี้เหมือนไฟไหม้ฟางอย่างไรอย่างนั้นเลย ปากต่อปาก จนกระทั่งมีคนหนึ่งที่บ้านเขามีสมรรถภาพพอที่จะรับแขกได้ เราตามเขาไปเพราะเขาว่าที่บ้านมีอินเตอร์เนต เพราะเราต้องการเช๊คข้อมูลวีซ่าและกำลังรอคำตอบจากหลาย ๆ ทาง อ่า..เราเห็นสภาพบ้านจากภายนอก นึกไปถึงถุงนอน ว่าจะต้องเอาออกมาใช้หรือเปล่าน๊า??? แต่พอขึ้นบ้านไป อ้าว..งง บ้านหลังเดียวกันหรือเปล่าเนี่ย ด้านในเขาตกแต่งเสียอย่างดี เรียบร้อย มีห้องน้ำ น้ำอุ่น ส้วมทันสมัย ตอนนั้นก็เริ่มดึกแล้ว เราเลยนั่งทำแซนวิชไข่กินกันที่ระเบียง

วิวจากระเบียงที่พักที่โฮมสเตย์

วิวจากระเบียงที่พักที่โฮมสเตย์

เช้าวันรุ่งขึ้น เราเริ่มเดินทางต่อ ร่ำลาเจ้าของบ้านเรียบร้อย ที่น่ีถ้าพูดภาษารัสเซียได้ช่วยได้เยอะเลย เราปั่นจนกระทั่งมาถึงเมืองคุโร (Khulo) ที่คิดว่าใหญ่กว่าเมืองเคดาหน่อย มีโรงแรม แต่เรามาถึงสักเที่ยงกว่า ๆ จะจอดอยู่ตรงนี้ก็เร็วเกิน แต่ก็น่าสนใจ เพราะมีคนหนึ่งเขาเคยเป็นนักมวยปล้ำรุ่น 68 กก.ไปแข่งที่เยอรมัน เลยได้ภาษามาด้วยคุยกับโจคิมรู้เรื่อง เขาช่วยเหลือหลายอย่าง ถึงขนาดขับรถพาโจคิมไปหาร้านเนตในเมือง แต่เพราะเผอิญเขาจะกลับบ้านไปเอาเบ๊ตตกปลาด้วยก็เลยอาสาพาไป ขนาดไปกับคนท้องถิ่นยังหาร้านไม่เจอเลย กินเสร็จก็ต่อ เรามีเสบียงติดตัวมาด้วย ปั่นจนเกือบมืด แต่ก็ยังทันได้นั่งทำอาหารบนเนินสูง ชมวิว

วิวจากเนินสูงจากตรงที่ตั้งแคมป์ อุตส่าห์ปีนขึ้นไปทำถึงบนโน้น ไม่น่าจะมีใครสนใจเงยขึ้นมามองเรา

วิวจากเนินสูงจากตรงที่ตั้งแคมป์ อุตส่าห์ปีนขึ้นไปทำถึงบนโน้น ไม่น่าจะมีใครสนใจเงยขึ้นมามองเรา

เส้นทางนี้สวยมาก เราจอดเกือบทุก ๆ ร้อยเมตรเพื่อเก็บภาพ จนกระทั่งแผ่นความจำของทั้งในกล้องและกล้องวีดีโอ GoPro เต็มหมด ปั่นเรียบแม่น้ำทำให้รู้สึกไม่ร้อนเท่าไหร่ระหว่างทางเห็นวัวตัวหนึ่งโชคร้ายถูกหินหล่นลงมา น่าจะหล่นใส่หัวนะ มันคงน๊อคสิ้นใจทันที เราเห็นก้อนใหญ่ ใหญ่แบบยกคนเดียวไม่น่าขึ้น แล้วมันหล่นลงมาใส่หัว จะไปเหลืออะไร ไปสู่ที่ชอบ ๆ นะเจ้าวัว เราจัดแจงซื้ออาหารตุน เพราะมวยปล้ำคนนั้นบอกว่าทางที่เราจะไปนั่นไม่มีอะไรเลย รึ? ก็เลยเข้าไปซื้อ พอป่นออกจากเมืองนี้ไม่เท่าไหร่ ทางก็เริ่มแย่ และหลังจากนั้นก็กระเด้งกระดอนไปตลอดทาง

ภาพจากถนนขรุขระระหว่างทางจากเมืองคุโร

ภาพจากถนนขรุขระระหว่างทางจากเมืองคุโร

ตอนเช้าตอนที่เวชเดินกลับขึ้นไปเช๊คอีกทีตรงที่เรากางเต้นท์ว่าเราลืมอะไรทิ้งไว้หรือเปล่า? มีนักท่องเที่ยวเยอรมันมาคุยด้วย เขามากันเป็นรถตู้เป็นนักศึกษาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ คุยกันได้พักใหญ่ ๆ พวกเขาจะขึ้นไปสำรวจบนเขา เขาเคยอยู่ที่ Globus hostel และจำเราได้ แต่เราจำเขาไม่ได้เลย จากคุโรปั่นลงเขาระยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยขึ้นเรื่อย ๆ ตอนเช้ามีตนเดินผ่านตรงที่เรากางเต้นท์เยอะมาก นักเรียนและคนเลี้ยงวัว ระหว่างทางก็ยังเจอพวกเขาตลอดทาง คิดว่าน่าจะมีทางเดินตัดเขาขึ้นมา ทางขรุขระแย่มากตั้งแต่ออกจาก Khulo หลังจากที่เรากินข้าวเสร็จ กระเด้งกระดอนกันมาตลอดทาง พอมาถึงยอดที่ความสูง 2025 ที่ Goderdzi pass เจอคนเมาและมีคนมาชวนไปกินเหล้าด้วย นั่นบ่ายสองเองนะ เมากันขนาดนั้นแล้ว

วิวระหว่างทางที่เราเก็บภาพจนแบตฯหมดเมมเต็ม

วิวระหว่างทางที่เราเก็บภาพจนแบตฯหมดเมมเต็ม

ยังมีหิมะเปียก ๆ ที่กำลังละลายที่ความสูงประมาณ 1900 เมตรจากระดับน้ำทะเล

ยังมีหิมะเปียก ๆ ที่กำลังละลายที่ความสูงประมาณ 1900 เมตรจากระดับน้ำทะเล

ขอถ่ายด้วยคน สงสัยจะเมาได้ที่แล้วมั้ง ;-)

ขอถ่ายด้วยคน สงสัยจะเมาได้ที่แล้วมั้ง 😉

ที่ยอดเขามีร้านค้าเล็ก ๆ โจคิมเดินเข้าไปเห็นว่าไม่มีอะไรที่สามารถกินเป็นอาหารกลางวันได้นอกจากไข่สดซื้อไข่ในร้านขายของชำเล็ก ๆ ตอนแรกเขาไม่ยอมขายจะต้มให้ก่อน เราเลยต้องเอากระทะออกมาให้ดู เขาถึงเข้าใจว่าเราจะทำอะไร ได้มา 4 ฟองจัดการเอาเตาสนามออกมา เต๊าะไข่หั่นไส้กรอกที่เหลือเมื่อเช้าลงไปเจียว ๆ ปรุงด้วยพริกไทยดำและเกลือแค่นี้ก็เป็นอาหารยอดเขาที่เลิศแล้ว หลังจากนั้นก็ปล่อยไหลลงอย่างเดียว แต่ทางแย่เหมือนตอนขึ้น ก็ต้องเบรคกันตลอดทาง เฮ้อ..เบรคจนเมื่อยข้อมือไปหมด ลงมาถึงเมือง Adigeni (อาดิเกนี่) ว่าจะซื้ออาหารตุน พอลองถามเรื่องที่พัก เขาก็จัดการโทรหาคนที่เขารู้จัก คือพาไปนอนบ้านเขาแบบ homestay แต่เราไม่อยากเพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง เลยปั่นต่ออีก 30 กม. ไปเมืองที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย Akhaltsikhe (อัคฮาลสิคเฮอ) เวลาตอนนั้นทุ่มกว่า ๆ แล้ว เห็นป้ายโรงแรมสำหรับรถบรรทุก ลองเข้าไปถามราคา เขาบอก 20 ลารี ต่อคน เราลองต่อเหลือ สองคน 30 ได้มั้ย? เขาก็โอเค คุยไปคุยมา เล่าให้เขาฟังว่าปั่นผ่านตุรกีมา เขาก็บอกว่าเขาเป็นคนตุรกี น่าจะเป็นเจ้าของ เลยคุยและเฮกันได้นิดหน่อย

ร้านค้าเล็ก ๆ บนยอดเขา

ร้านค้าเล็ก ๆ บนยอดเขา

โรงแรมที่นอนเมื่อคืนน่าจะเปรียบได้กับโรงแรมจิ้งหรีด นอนเต้นท์ยังรู้สึกสบายกว่าอีก เตียงที่นอนอยู่ดี ๆ เหมือนแผ่นกระดานมันล่องหนหายไป เลยต้องนอนเบียดกันบนเตียงขนาดเล็กสำหรับนอนคนเดียว อบอุ่นดี 🙂 พอเช๊คเอาท์ออกมาเราลองปั่นเข้าเมืองเผื่อดูว่าจะสามารถหาอินเตอร์เนตได้มั้ย ก็มาเจอโรงแรมแห่งหนึ่ง ขอเขาใช้เน๊ตพอเช๊คทุกอย่างเรียบร้อย เวลาบ่ายพอดี เลยตัดสินใจพักอยู่ตรงนี้ติดต่อและหาข้อมูลเกี่ยวกับวีซ่า เอากระเป๋าเก็บเรียบร้อย เราออกไปเดินหาของกิน เพราตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย เดิน ๆ ไปเห็นป้ายโฆษณา Rider’s Dream www.RidersDream.net เป็นร้านจักรยานนำเที่ยวทั้งทัวร์ริ่งและดาวน์ฮิล เดินเข้าไปคุยด้วยหน่อยกับเด็กคนหนึ่งเราบอกเขาว่าเราปั่นข้ามมาจากเมืองคูโร เขายกนิ้วให้ และบอกว่าเขาไม่ชอบขึ้นเขาชอบดาวน์ฮิลมากกว่า คงมีไม่กี่คนที่ชอบขึ้นเขา เราเองยังไม่ค่อยชอบแต่ได้ชมวิวจากที่สูง เห็นแล้วก็เหมือนเป็นรางวัลที่อุตส่าห์ปั่นขึ้นไป และอีกอย่างมีขึ้นก็ต้องมีลง \(^o^)/

วิวบนยอดเขา คุ้มที่พยายามปั่นขึ้นมา

วิวบนยอดเขา คุ้มที่พยายามปั่นขึ้นมา

ตุรกี => จาก Trabzon (ทรับซอน) ไป Batumi (บาทุมิ) ประเทศจอร์เจีย

หลังจากได้สองพี่น้องตระกูลอัลทานพาลงมาที่ร้านอาหารที่นัดกับคนขับรถ เรานั่งกินข้าวกลางวันกัน ใจจริงอยากเลี้ยงเขา แต่ตัวเองยังไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าเป็นอย่างไร จึงต้องแค่แชร์กัน ซึ่งเขาก็เริ่มจ่ายของเขาครึ่งหนึ่งก่อน เลยรู้สึกสบายใจเล็กน้อย เราคุยกันว่าเขาน่าจะมาเที่ยวสวีเดน ไปปั่นจักรยานและกางเต้นท์นอน เพราะอย่างน้อยเดนิซชอบท่องเที่ยวแบบนี้อยู่แล้ว ไว้ตอนนั้นเราค่อยทำอะไรให้เขาน่าจะดีกว่า

เราไปที่สำนักงานขายตั๋วรถทัวร์เพื่อไปเอาจักรยานออกมา ตั้งใจว่าวันนี้น่าจะปั่นได้สัก 50 กม. แต่ปรากฎว่ายางแบนล้อหน้ามั้ง 😉 แบนบ่อยเลยจำไม่ได้ว่าล้อไหน รู้สึกมันจะแบนได้เท่ากันละ ก็เลยจอด และ ปะ ด้วยความที่ต้องการติดต่อคุณสว่างที่บาทุมิประเทศจอร์เจีย เราเลยต้องไปแถว ๆ โรงแรมที่เราขึ้นไปดริ้งบนดาดฟ้าเมื่อวาน เพราะเคยได้รหัสมา ฝั่งตรงข้ามของโรงแรมเป็นจัตุรัสของเมืองที่เขากำลังมีงานรื่นเริงพอดี เกี่ยวกับฟุตบอล ปะ ๆ อยู่คนที่อยู่ในงาน มานั่งดูโจคิมปะ ช่วยสูบลม สักพักเดินหายไป อ่า..ไปเอาน้ำมิรินด้ามาให้ อืม..สดชื่น อีกแป๊บเดินไปเอาหมวก ปากกา ที่ทับกระดาษและพวงกุญแจ เอ่อ..ข้าพเจ้าไม่อยากแบกหง่า อีกสักพัก เอาชามาให้ดื่มอีก นี่ถ้าไม่เคลื่อนย้ายไปไหน ไม่รู้พี่เขาจะชวนไปนอนบ้านด้วยหรือเปล่า 😉 คุยกันก็ไม่รู้เรื่อง อยู่ ๆ แกเดินมาสะกิด ชี้ไปบนเวที ทำมือทำไม้ว่าไปถ่ายรูปกัน เอ้า..เอาก็เอา เดินกันขึ้นไปถ่ายสักสองแช๊ะ แล้วก็บอกให้เรารอสัก 10 นาที รอทำอะไรล่ะค่ะ อ่ะ..รอก็รอ เพราะตอนนั้นเราตัดสินใจว่าคงต้องค้างที่ทรับซอนอีกวันเพราะตะวันคล้อยเต็มทีละ หลังจากนั้น 10 นาที คุณพี่ก็เดินเอารูปใส่กรอบเรียบร้อยมาให้เรา

5-1 = โจคิมแบนไปแล้ว 5 ครั้ง ยางที่ปะไม่ดี มันรั่วจากรูเดิมที่เคยปะเมื่อคราวที่แล้ว แต่เราก็นับ นับทุกครั้งที่แบน ;-)

5-1 = โจคิมแบนไปแล้ว 5 ครั้ง ยางที่ปะไม่ดี มันรั่วจากรูเดิมที่เคยปะเมื่อคราวที่แล้ว แต่เราก็นับ นับทุกครั้งที่แบน 😉

เวทีนั่นแหละที่เขามาสะกิดให้ขึ้นไปถ่ายรูปกัน

เวทีนั่นแหละที่เขามาสะกิดให้ขึ้นไปถ่ายรูปกัน

จักรยานของโจคิมโดนเล่นงานบ่อยมาก เดี๋ยวยางแบน (ไม่รู้กี่ครั้งนับไม่ถ้วน 😉 เดี๋ยวก้านเกียร์หัก มาวันนี้ plug-in ที่ต่อเข้ากับไดนาโมล้อหน้าและสามารถชาร์ตแบตฯของจีพีเอสและเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ผ่านยูเอสบี ก็มาเสียอีก เราสามารถติดต่อกับคุณสว่างได้แล้ว และถามเกี่ยวกับเรื่องเกียร์ fiction ที่หัก ก็ได้คำแนะนำจากคุณสว่างให้ลองไปดูร้านที่ทรับซอน เพราะใหญ่กว่าบาทุมิ ปะยางเสร็จและแพ๊คของที่ระลึกทั้งหลายลงกระเป๋า เราออกเดินตามหาร้านจักรยาน หายากนิดนึง เพราะร้านอยู่ในตัวอาคารเข้าไปอีกหน่อย วนไปวนมากว่าจะเจอ ที่เจอนี่เพราะถามเขาอีกเหมือนกัน คนนี้ก็น่ารักมาก ถามปุ๊บเขาเดินพาไปส่งถึงหน้าร้านเลย

เข้าไปในร้านพูดไปชี้ไป รู้มั่งไม่รู้มั่ง พอดีมีลูกค้าคนหนึ่งเข้ามาดูจักรยาน เขาพูดภาษาเยอรมันได้ เลยพยายามสื่อเยอรมันแทน ดีนะที่โจคิมรู้ภาษาเยอรมันบ้าง ไม่อย่างนั้นก็คงใช้เวลาอีกนาน แต่ในที่สุดหลังจากที่เดินดูไปทั่วร้านก็เห็นเกียร์ที่สามารถใช้แทนกันได้ คุณภาพอาจจะไม่ดีเท่าแต่ทดแทนกันได้ก็ดีที่สุดแล้ว ไหน ๆ อยู่ที่ร้านแล้วก็ให้เขาเปลี่ยนซี่ล้อไปด้วยเลย ที่มันงอจากที่ซัมซุน ทำให้เสร็จ จะได้ไม่ต้องลุยเอง พอจ่ายตังค์ถึงรู้ว่าคุ้มจริง ๆ ที่ให้เขาทำให้ ค่าเซอร์วิสถูกมาก ที่นี่คิดแค่ 10TL ที่อิสตันบูลคิดตั้ง 50TL

คนใส่เสื้อลายสก๊อตเป็นลูกค้าที่คุยภาษาเยอรมันได้ พากันรุมจักรยานโจคิม

คนใส่เสื้อลายสก๊อตเป็นลูกค้าที่คุยภาษาเยอรมันได้ พากันรุมจักรยานโจคิม

แล้วก็ถึงเวลาตระเวณหาที่พักต่อ กลับไปโรงแรมตรงที่เราปะล้อละกัน ว่าจะเข้าไปต่อค่าห้องเขาหน่อย แต่ไม่ต้องเพราะเต็ม :-O แต่ความที่เป็นคนตุรกี เขาจับโทรศัพท์หมุนไปโรงแรมเพื่อนบ้าน เช๊คให้ว่ามีห้องว่างมั้ย ราคาเท่าไหร่ หันมาบอกเราว่าได้ราคานี้ พอถามเขาว่าไปยังงัย เขาทำมือเหมือนกับว่ารอก่อน อืม..รออะไรหว่า สักพักเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาส่งภาษาเตอร์กิชกัน แล้วหันมาส่งสัญญาณให้เราตามเขาไป เป็นเซอร์วิสหรือเขากลัวว่าเราจะหลงไปโรงแรมอื่น หาทราบไม่ เอาเป็นว่าบริการของเขาละกันสบายใจดี

รวมอาหารเช้าด้วย โรงแรมนี้มีไข่ต้มเราเลยขอไข่ติดตัวไปด้วยคนละฟอง แยมคนละ 2-3 แพ๊ค สำหรับมื้อกลางวัน เพราะหนึ่งอยากจะประหยัด สองเราก็ไม่อยากกินอะไรเยอะ แค่แวะซื้อขนมปังกินกับแยม แล้วค่อยหนักตอนเย็นทีเดียว ช่วงที่ปั่น ๆ มาก็เห็นป้ายเขาโฆษณาขนมปังทรับซอน เขาว่ามันมีขนาดที่ใหญ่กว่าปกติ สามารถเก็บได้นานกว่าขนมปังทั่วไปและมีรสชาติออกเค็ม ๆ นิด ๆ หลังจากที่ซื้อมาชิมดูแล้วก็รู้สึกว่าเนื้อขนมปังจะแน่นกว่าธรรมดา มินาล่ะมันถึงได้แพงกว่าตั้งสองเท่า ตัดใจซื้อนะนั่น เพราะอยากรู้ว่ามันพิเศษอย่างไร เห็นโฆษณาตั้งแต่อยู่บ้านเพื่อนที่ซอนกูลดัคละ และตอนที่แวะปั้มกินขนมปังทรับซอน เราก็นั่งกินกันแอบ ๆ หน่อย เพราะไม่ได้ซื้ออะไรจากปั้มก็ไม่อยากไปนั่งเกะกะ พอดีเขาเดินผ่านเราก็ชวนเขา ”เป็นพิธี” เขาทำท่าเหมือนบอกว่าเขาอิ่มแล้วและขอบคุณ หลังจากนั้นไม่นาน เขาคนเดิมเดินกลับมาถามว่า … ทายออกมั้ยว่าเขาถามว่าอะไร …. ”ชัย???” = เอาชามั้ย? ลุทเฟ่น = ค่ะ เอาค่ะ จะไปขอชาเขาก็เกรงใจ เลยแกล้งทำเป็นชวนเขา เผื่อเขาจะเข้าใจว่าเรารอชาอยู่ 😉

ขนมปังของทรับซอนและแยมจากโรงงแรมพร้อมชาแก้วใหญ่กว่าธรรมดา

ขนมปังของทรับซอนและแยมจากโรงงแรมพร้อมชาแก้วใหญ่กว่าธรรมดา

กลางวันทานน้อยก็ไม่ต้องรอให้อาหารย่อย ดื่มชากันเสร็จก็ออกเดินทางต่อ ช่วงนี้ทำเวลาหน่อยเพราะอยากเข้าบาทุมิเพื่อไปเจอกับคุณสว่าง ติดต่อกันมานาน รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอคนไทยในต่างแดน รู้จากเสือออย – ศิรินทร์ คุ้มวงศ์ นักปั่นสาวไทยอีกคนที่ไปไหนไปกัน ว่าคุณสว่างมาพักอยู่ที่ทิบลิซิ ทำให้มีจุดมุ่งหมายและกำหนดเวลา ดีค่ะ ไม่อย่างนั้นก็เรื่อยเปื่อย คุณสว่างจะเดินทางขึ้นเขาและจะเข้ามาพัก 5-6 ที่เมืองบาทุมิ แต่จากทรับซอนปั่นวันเดียวไม่ถึงแน่ เราเลยปั่นให้ได้ระยะทางมากที่สุดเท่าที่แสงอาทิตย์เอื้ออำนวย พอเริ่มจะมืดเราเริ่มมองหาที่พัก เห็นป้ายเกสเฮาส์อยู่หลายป้าย แต่เงินตุรกีเหลือน้อยเต็มที ถ้าเขารับบัตรก็ดีไป แต่ไปถามที่ปั้มข้างหน้าดีกว่า แล้วเราก็มาจอดอยู่ที่ปั้มแห่งหนึ่ง ตามแผนคือเวชเข้าไปเช๊คห้องน้ำ พอเดินออกมาเห็นโจคิมกำลังเม้าท์อยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่มารู้ทีหลังว่าชื่อ ”ฮัคคั่น” เขาไม่ได้ทำงานที่ปั้มแต่มีเพื่อนหลายคนทำงานที่นั่น คิดว่าทุกเย็นเขาคงมานั่งเม้าท์กับเพื่อน โชคดีของเราที่วันนั้นเขามาอยู่ตรงนั้นและตอนนั้น เขาเริ่มคุยกับโจคิม อาจจะเป็นเพราะเขาทำงานด้านการท่องเที่ยว ทำให้รู้สึกสนใจการเดินทางของเราด้วยมั้ง เราถามเขาเรื่องขอกางเต้นท์เขาก็พาเราไปดูที่ทางทันที เสร็จแล้วก็ถามว่าเรากินข้าวหรือยัง? เอ่อ..พวกเรามีสปาเก็ตตี้กับปลากระป๋อง เขาเลยบอกว่าไม่ต้องทำหรอก ไปกินบ้านฉันละกัน อ่า..ลุทเฟ่น yes please !! แล้วเราก็นั่งรถเขาไปอพาร์ตเมนท์ซึ่งภรรยาของเขาเตรียมอาหารไว้แล้ว สุดยอด กินกันเสร็จแล้ว เขาก็ขับรถมาส่งเราที่ปั้ม

จุดกางเต้นท์ใต้บ้านโบราณอายุราวร้อยปี เคยเป็นที่เก็บข้าวโพด แต่ตอนนี้กลายเป็นที่สวดมนต์สำหรับลูกค้าและคนทั่วไป

จุดกางเต้นท์ใต้บ้านโบราณอายุราวร้อยปี เคยเป็นที่เก็บข้าวโพด แต่ตอนนี้กลายเป็นที่สวดมนต์สำหรับลูกค้าและคนทั่วไป

มื้อเย็นที่บ้านฮัคคั่น จานนี้แค่เริ่มต้น หลังจากนั้นถ่ายไม่ทันค่ะ หมดเสียก่อน

มื้อเย็นที่บ้านฮัคคั่น จานนี้แค่เริ่มต้น หลังจากนั้นถ่ายไม่ทันค่ะ หมดเสียก่อน

นั่งกินอาหารเช้าที่ปั้ม อืม..เหมือนมื้อกลางวันเมื่อวานเลย จุ๊ๆๆ เสื้อผ้าก็ชุดเดียวกัน ;-) หากินเองเลยไม่ค่อยหรูหราเท่าไหร่

นั่งกินอาหารเช้าที่ปั้ม อืม..เหมือนมื้อกลางวันเมื่อวานเลย จุ๊ๆๆ เสื้อผ้าก็ชุดเดียวกัน 😉 หากินเองเลยไม่ค่อยหรูหราเท่าไหร่

วันนี้เราตื่นกันเช้าเพราะอยากเข้าบาทุมิกัน ฮัคคั่นมาที่ปั้มแต่เช้าเพื่อมาร่ำลากัน เรานั่งกินอาหารเช้ากันก่อน หลังจากนั้นก็ปั่นกันค่อนข้างสบาย ตามลมนิด ๆ มาถึงที่เมืองที่ติดชายแดน พักกินข้าวกัน แต่ก่อนที่จะสั่งอะไร ต้องถามก่อนว่าจานละเท่าไหร่ กลัวมีตังค์ไม่พอจ่าย เราสั่งข้าวกับกับข้าวหนึ่งอย่าง เขาบอก 12 TL โอเค เอาอย่างนั้นแหละ แบ่งกันกิน พอจะไปจ่ายตังค์ เวชหยิบเงินออกมา เขาดึงแต่แบงค์ 10 ไปและบอกว่าโอเค เอ่อ..ขอบคุณค่ะ คงเห็นว่าเราเดินทางด้วยจักรยานคงไม่มีเงิน น่าสงสาร อืม..ยอม สงสารฉันเถอะ 😉

อาหารกลางวันที่เมืองใกล้ ๆ ชายแดนระหว่างตุรกีกับจอร์เจีย

อาหารกลางวันที่เมืองใกล้ ๆ ชายแดนระหว่างตุรกีกับจอร์เจีย

อีก 10 กว่ากิโลจะถึงจุดผ่านแดน มีอุโมงค์เยอะแยะ แต่อุโมงค์สุดท้ายทำเราประหลาดใจ เพราะพอโผล่ออกมาปุ๊บก็เป็นทางผ่านเข้าจอร์เจียเลย อ้าว..ยังไม่ได้ใช้เงินตุรกีที่เหลือเลย เห็นมีร้านขายของชำอยู่เลยไปดูว่าเงินที่เหลืออยู่เท่านี้จะซื้ออะไรได้บ้าง สรุปว่าได้โค้ก 1.5 ลิตร ขนมปัง ช๊อคโกแลต 2 อัน

เดินไปซื้อด้วยเงินตุรกีทั้งหมดที่มีอยู่ เทให้หมดกระเป๋าเลย แล้วก็มานั่งพักกันตรงนี้ก่อน ชมวิว

เดินไปซื้อด้วยเงินตุรกีทั้งหมดที่มีอยู่ เทให้หมดกระเป๋าเลย แล้วก็มานั่งพักกันตรงนี้ก่อน ชมวิว

เวลาผ่านเข้าแต่ละประเทศ เราจะปั่นจักรยานเข้าทางที่รถยนต์บุคคลเขาขับกัน แต่ที่จอร์เจียนี่เขาให้เราเข้าไปทางที่คนจะเดินกัน มันไม่มีคนเนอะ เราเลยปั่นจักรยานช้า ๆ เข้าไป หลังจากที่ได้ประทับตราและผ่านด่านของจอร์เจียเข้ามาแล้วก็เห็นความแตกต่างว่าถนนในจอร์เจียแคบกว่าที่ตุรกีเยอะมาก เป็นธรรมดาเพราะตุรกีเจริญกว่าเยอะ ปั่นเข้ามาได้หน่อยก็เห็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งสมัยโบราณ เสียดายที่เขาปิดพอดี เลยปั่นต่อไปบาทุมิ เราปั่นตรงไปที่กโลบุส โฮสเทล ตามที่คุณสว่างเคยส่งลิ้งค์มาให้ คุยกันผ่านอินเตอร์เนตมาตั้งนานในที่สุดก็ได้พบกัน เรานั่งสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลข้อคิดเห็นกันเกือบสองวันเต็ม เสียดายที่เรามาช้าไปหน่อยเพราะคุณสว่างจะเดินทางกลับไปทิบลิซิ แต่ก่อนแยกย้ายกันไป เราไปทานอาหารจอร์เจียกัน ได้รสชาติมากและอร่อยกว่าธรรมดาในเมื่อได้เพื่อนคุยสนุกเต็มไปด้วยเนื้อหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับเราในเส้นทางข้างหน้า และหวังว่าวันข้างหน้าเราจะได้ปั่นกับคุณสว่างไม่เส้นทางใดก็เส้นทางหนึ่งละนะ

หนุกหนานกันขนาดไหนดูจากภาพเอาละกันนะค่ะ

หนุกหนานกันขนาดไหนดูจากภาพเอาละกันนะค่ะ

ที่จอร์เจียนี่เราไม่ต้องขอวีซ่า แต่หลังจากประเทศนี้ไปเรื่องวีซ่าจะเป็นหัวข้อหลักที่ทำให้เราปวดหัว ต้องนั่งคิดนั่งวางแผนโดยเฉพาะวีซ่าเข้าจีน แทบจะทุกคนที่เดินทางด้วยจักรยานต้องแสร้งทำจองตั๋วเครื่องบิน ห้องพักโรงแรมเพื่อให้ได้วีซ่า หลังจากได้วีซ่าก็จะยกเลิกทุกอย่างที่จองไว้ เมื่อวันก่อนเราเพิ่งได้วีซ่าของประเทศอัซเซอร์ไบจาน สะดวกมากเพราะที่นี่เขาไม่ต้องการเอกสารอะไรมาก นอกจากแบบฟอร์มก็มีสำเนาพาสปอร์ตและรูปถ่ายตามปกติ

หลังจากคุณสว่างออกเดินทางกลับทิบลิซิแล้ว เราก็วุ่นอยู่กับการกรอกแบบฟอร์มขอวีซ่าเข้าจีน ช่างน่าปวดหัว แต่หลังจากที่เรากรอกและส่งพาสปอร์ตไปแล้ว รู้สึกโล่งไปนิด นิดนึงเท่านั้นเอง เพราะจะให้โล่งจริง ๆ ก็ตอนที่ได้วีซ่าอยู่ในมือนั่นแหละ

เราไปรับวีซ่าของอัซเซอร์ไบจานแล้วก็เดินต่อไปเล่นน้ำฉลองกันที่ชายหาด ชายหาดที่นี่เป็นหินก้อนค่อนข้างโต วันนั้นแดดแรงมาก แต่ในน้ำยังเย็นนิด ๆ พอขึ้นจากน้ำยังไม่ทันได้นั่งลงตัวก็เกือบแห้งล่ะ ดีที่ไปเล่นน้ำกันวันนั้นเพราะวันต่อมาลมแรง เหมือนเป็นพายุ และวันนี้ฝนก็ตกและคาดว่าพรุ่งนี้ก็จะตกตอนที่เราจะปั่นไปทิบลิซิ ก็ดีที่ได้อยู่ในเมืองตอนที่มีอากาศดี ๆ

เล่นน้ำเสร็จแล้วไปเดินเล่นในเมืองต่อ

เล่นน้ำเสร็จแล้วไปเดินเล่นในเมืองต่อ

ถ้าอยากดูภาพในเมืองอีกหน่อยลองเข้าไปดูในบล๊อคโจคิมที่เป็นภาษาอังกฤษนะค่ะ

ตุรกี => จาก Giresun (กีเรอซุน) ไป Trabzon (ทรับซอน)

เมื่อคืนพอจัดแจงกางเต้นท์ อาบน้ำ เอ่อ..ห้องน้ำที่ตุรกีเป็นแบบนั่งยอง ๆ เหมือนบ้านเรา นั่นก็ทำให้เราสามารถอาบน้ำได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าห้องน้ำเขาจะเปียก แต่อีกสามคนไม่อาบกัน เขาคิดว่ากระบวยตักน้ำสกปรก แต่เวชกะโจคิมคิดว่าเราสกปรกกว่าถ้าไม่อาบต่างคนต่างความคิด ดีที่ไม่ได้นอนเต้นท์เดียวกัน แฮ่ๆๆ ชำระร่างกายกันแล้ว เราก็เริ่มทำอาหารกินกัน เริ่มด้วยทอมหมักปลาด้วยเครื่องเทศสารพัดที่เขาขนมา ซึ่งใส่ในขวดแก้ว ขนาดเวชจะเอายาหม่องของแม่มาด้วย ยังอุตส่าห์แคะมันออกมาใส่ในกระปุกพลาสติคแทน นี่พี่ทอมแพ๊คมาแบบครึ่งโหลเลยอ่ะ นับถือ!! แต่ให้เราถือมาด้วยคงต้องคิดดูอีกหลายตลบ ขนาดถุงเท้าเรายังชั่งดูว่าคู่ไหนหนักกว่ากันเลย คงไม่ต้องคิดว่าจะแบกกระปุกแก้วมาด้วยแน่ ทอมน่ารักมาก เขาทำอาหารให้พวกเรากินกันก่อนและของเขาทำทีหลัง มื้อนี้พิเศษหน่อยคือมีทอมมาทำให้กิน ได้กินปลาที่ได้รับการปรุงอย่างดี เสร็จภารกิจแล้วทุกคนก็เข้านอน เท่านั้นเอง ก็ได้ยินเสียงฝนแปะ ๆ ๆ ๆ มาเรื่อย ตอนนั้นก็นอนจินตนาการไปไกลแล้วว่าถ้ามันตกหนัก ๆ นี่น้ำจะท่วมเข้าเต้นท์หรือเปล่าน้อ ที่คิดอย่างนี้เพราะเรากางเต้นท์กันบนพื้นกระเบื้อง ซึ่งน้ำจะไม่ซึมแต่จะนองแทน แต่ด้วยความเหนื่อยก็ปล่อยให้ความคิดล่องลอยเลือนหายไป มารู้สึกตัวอีกทีก็โจคิมมาสะกิด “เก็บถุงนอนดีกว่า” เพราะมันเป็นขนเป็ดที่ไม่ควรเปียก ของทุกอย่างย้ายไปย้ายมา แต่มีใบหนึ่งจะมีแต่เสื้อผ้าของใช้ที่เปียก ของเรายังเก็บทัน แต่เห็นนิคเอาถุงนอนออกมาบีบน้ำได้เลย แล้วเราก็เลยสรุปกันว่าคืนนี้ควรจะเช็คอิน นอนโรงแรมหรือเกสเฮาส์ถูก ๆ แล้วหาที่ตากอุปกรณ์เครื่องนอน เพราะของเราก็ไม่ใช่ว่าแห้งสะทีเดียว

ที่กางเต้นท์ตรงระเบียงของปั้มตอนเช้าเขายังมาตะโกนเรียกให้ตื่น ภาพนี้หลังจากที่พยายามเก็บถุงนอนและของใช้อื่น ๆ ที่ไม่ควรเปียกน้ำ

ที่กางเต้นท์ตรงระเบียงของปั้มตอนเช้าเขายังมาตะโกนเรียกให้ตื่น ภาพนี้หลังจากที่พยายามเก็บถุงนอนและของใช้อื่น ๆ ที่ไม่ควรเปียกน้ำ


เราเก็บข้าวของเสร็จแล้ว แต่พวกเขายังอีกสักพัก เลยขอตัวออกไปก่อน เพราะรู้สึกว่าพวกเขาปั่นกันเร็วกว่าเรานิดนึง มาเช็คทีหลังเห็นว่าความเร็วต่างกันแค่ 1 กม. เขาปั่น 27 ส่วนเรา 26 กม./ชม. และอีกอย่างคือปั่นกัน 5 คนมันเยอะเกิน มีครั้งหนึ่ง อาเธอร์ซ่าไปนิด ริจะดูดตามหลังรถบรรทุก ปรากฎว่าล้มค้าบบบ เพราะขณะที่เขาเอื้อมมือจะไปจับท้ายรถ เสียหลักเลยล้มกลิ้งไป ดีที่เจ็บไม่มากและจักรยานก็ไม่มีปัญหา จัดโซ่หน่อยก็ไปกันต่อ ประมาณ 10 กม.ข้างหน้า เราจะแยกทางกันแต่ก็ไปเจอกันข้างหน้า เพราะทางที่เราเลือกนั้นเป็นทางเรียบต้องลอดอุโมงค์ที่ยาวที่สุดในตุรกีคือ 3 กม.แต่ก่อนที่จะลอดเข้าอุโมงค์ที่ยาวที่สุด ล้อหลังโจคิมแบน อีกแล้ว ครั้งที่สี่ เอ..ถ้าแบนเพราะที่เคยปะไว้ไม่ดีจะนับมั้ยนะ? ควรจะนับเนอะ เราจะได้ชนะโจคิมขาดลอย 🙂 4-0

ช่วงนี้ไม่ค่อยถ่ายรูปกัน เพราะทางเรียบถนนใหญ่อยากไปกันเร็ว ๆ จะหยุดก็เฉพาะตอนที่ต้องเข้าอุโมงค์ เพราะต้องเปิดไฟท้าย ถ้าอุโมงค์ยาวเป็นกิโลก็จะใส่เสื้อสะท้อนแสงอีกตัว รู้สึกปลอดภัยดียอมร้อน หลัง ๆ มานี่ในอุโมงค์มักจะมี เฮ้อ…เขาเรียกไรหว่า ที่มันเป็นก้อน ๆ สี่เหลี่ยมบ้างกลม ๆ บ้าง ตรงใกล้ ๆ ฟุตบาธ เหมือนเตือนพวกรถยนต์ว่าขับใกล้ฟุตบาธเกินไปแล้ว มันใหญ่ประมาณเท่ากำมือ แค่เห็นก็หนาว ต้องพยายามไม่ปั่นไปแตะมัน อาจเสียหลักได้ ตื่นเต้นน่าตกใจดี แฮ่..

เห็นว่าไม่ค่อยมีรถเลยขอแช๊ะสักภาพในอุโมงค์ แต่อู่นี้ไม่มีเจ้าก้อนสี่เหลี่ยมที่เวชพูดถึงเนอะ เสียดายไม่มีให้เห็นแต่ก็ดีที่ไม่มีที่สถานที่จริง ;-)

เห็นว่าไม่ค่อยมีรถเลยขอแช๊ะสักภาพในอุโมงค์ แต่อู่นี้ไม่มีเจ้าก้อนสี่เหลี่ยมที่เวชพูดถึงเนอะ เสียดายไม่มีให้เห็นแต่ก็ดีที่ไม่มีที่สถานที่จริง 😉


เวลาเราแวะปั้มต่างคนต่างวิ่งไปหาซื้อของกิน เห็นทอมยืนรออะไรยู่ที่หน้าตู้ขายอาหาร เลยไปดู อ่า..เขารอซื้อชี้คคืฟเตอะ มันคือถั่วชนิดหนึ่งเอามาบด ใส่เครื่องเทศแล้วนวด ๆ ให้เข้ากัน ดูในกาละมังน้อย ๆ ของเขาแล้วนึกถึงถาดขายเครื่องแกงบ้านเรา แต่ที่ตุรกีนี่เขาเอามาใส่ในในขนมปังแผ่นบาง ๆ วางเป็นก้อน ๆ แลวเอาผักวางม้วนยาว ๆ เหมือนโรตี เลยซื้อมากินมั่ง เราปั่นออกมาก่อนตามเคย แต่เราก็นัดกันว่าจะปั่นกันประมาณกี่กิโลและกี่โมงถึงจะหยุด เรามาหยุดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่คิดมาสะดวกกับเขาที่จะเห็นเราและจอดจักรยานได้ง่าย เราสั่ง “พิเด้” มันคือเตอร์กิชพิซซ่ามาแบ่งกันกิน เพราะเที่ยงกินเยอะไม่ไหวจะหลับเอา
พิเด้ ร้านนี้อร่อย และไม่เคยเห็นที่ไหนที่เขาทำแบบยาว ๆ อย่างนี้มาก่อน กรอบอร่อย

พิเด้ ร้านนี้อร่อย และไม่เคยเห็นที่ไหนที่เขาทำแบบยาว ๆ อย่างนี้มาก่อน กรอบอร่อย


วันนี้ตามลมปั่นสบาย ๆ ได้ระยะทาง และที่ปั้มสุดท้ายนี่เองที่เรารอพวกเขาทั้งสามคนแล้วปั่นเข้าเมืองพร้อมกัน เมื่อวานเราตัดสินใจว่าจะนอนตามเกสเฮาส์ เพราะฉนั้นก็ควรจะเช็คหาที่พักก่อนที่จะเข้าเมือง ตอนที่กำลังมอง ๆ หาที่พักกันอยู่ อ้าว..ล้อหน้าเวชฟีบ ๆ แบน ๆ ไปเสียแล้ว โจคิมตีไข่แตกแล้ว 4-1 เราเลยอยู่เฝ้าจักรยานและปะล้อไปด้วย พวกเขาเดินหาที่พักได้ราคาคนละ 25TL ใช้ได้ถูกดี ห้องก็โอเค มีที่จอดรถจักรยานและยังสามารถกางเต้นท์ที่เปียก ๆ ให้แห้งได้ด้วย
ล้อหน้าเวชแบนเป็นครั้งแรก โจคิมตีไข่แตกแล้ว ตอนนี้ 5-1 ยางเวชแบนจากลูกแม๊กซ์เพราะเข้าใกล้ความซิวิไลซ์หรืองัย ;-)

ล้อหน้าเวชแบนเป็นครั้งแรก โจคิมตีไข่แตกแล้ว ตอนนี้ 5-1 ยางเวชแบนจากลูกแม๊กซ์เพราะเข้าใกล้ความซิวิไลซ์หรืองัย 😉


กว่าทุกคนจะอาบน้ำและพร้อมที่จะออกไปกินข้าวกันก็ดึกอีกแล้ว แต่ร้านอาหารที่ตุรกีเปิดค่อนข้างดึก เราสั่งอาหารง่าย ๆ กินกัน ที่เรากางเต้นท์เมื่อคืนทอมซื้อไอศครีมฝากทุกคน กินกันหลังอาหารเย็น และอีกปั้มหนึ่งอาเธอร์ก็เอาไอติมมาแจกทุกคนอีก คืนนี้หลังอาหาร พวกเราเลยขอเลี้ยงขนมหวานตุรกีเขา อิ่มกันไป มันเจริญอาหารเนอะ เวลาที่ได้นั่งกินไปด้วยคุยกันไปด้วย เวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช๊คบิลเรียบร้อยแล้ว ออกไปเดินเล่นกันนิดหน่อย เจอร้านขายขนมหวานอีกแล้ว อาเธอร์กับเวชเหมือนกันตรงที่เห็นของหวานไม่ได้ อิ่มแล้วแต่ขอเข้าไปดม ๆ หน่อยก็ยังดี เขาก็เชียร์ให้ซื้อ ร้านแรกอดใจได้ ร้านที่สอง เอ้า..ลองสักสองชิ้นถึงแม้จะบอกเขาว่าเราอิ้มอิ่ม พอจะจ่ายตังค์เขาว่าเอาไปชิมละกันฉันให้ โห้ย..อะไรจะใจดีขนาด นี่ของขายนะยังมีการให้กินกันฟรี ๆ อีก อาจจะเป็นเพราะว่ามันดึกแล้วก็ได้นะ

เช้าวันรุ่งขึ้นนิคกับอาเธอร์เดินทางต่อ เพราะอาเธอร์มีเวลาน้อย อีกอย่างพวกเขาอยากปั่นขึ้นเขาตามเส้นทางที่คุณสว่างเคยส่งลิ้งค์มาให้พวกเราคือขึ้นเขาเมสเทีย ยังไม่ได้ข่าวจากเขา ไม่รู้ปั่นขึ้นไปได้หรือเปล่า ส่วนเราแยกกับทอมเพราะเราอยากขึ้นไปชมวิหารสุเมล่า อ่านรายละเอียดตามลิ้งค์นี้ได้ค่ะ วิหารสุเมล่า มีรถเที่ยวเดียวตอน 10 โมงเช้าและกลับเข้าเมืองตอนบ่ายสาม กว่าเราจะออกจากที่พักหารถตู้เข้าเมือง สายไปแล้ว ตอนแรกคิดว่าอาจจะหารถนั่งกันไปเอง แต่ท่าทางจะใช้เวลานานกว่ารถทัวร์ เลยไปเดินเล่นแทน อากาศร้อนพอสมควร มองไปมองมาเห็นมีคนนั่งอยู่บนดาดฟ้าของโรงแรมใกล้ ๆ เลยขึ้นไปนั่งดริ้งชมวิวกัน

วิวจากดาดฟ้าโรงแรมในใจกลางเมือง

วิวจากดาดฟ้าโรงแรมในใจกลางเมือง


ได้เวลากลับที่พักนอกเมืองละ เดินมาได้หน่อย ได้ยินเสียงเขาเล่นดนตรีเลยเดินตามเสียงไป ก็เห็นว่าเขามีนิทรรศกาลแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับประเทศเพื่อนบ้านแถบนั้น เราเห็นบูธของจอร์เจียกับอัซเซอร์ไบจานก่อน พอได้ข้อมูลและแผนที่ก็ไปจ๊ะเอ๋กับธงไทย เดินไปถึงน้องผู้หญิงยิ้มให้ แต่ยังติดพันกับคนที่มาถามรายละเอียดอยู่ แต่ยิ้มนั้นรู้สึกได้ว่าน้องเป็นคนไทยแน่ เป็นยิ้มสยามแท้ ๆ พอน้องว่างเราได้ทักทายสวัสดีกัน ได้คุยกันนิดหน่อยเพราะน้องต้องทำหน้าที่เผยแพร่วัฒนธรรมบ้านเรากับผู้สนใจ แต่ก็ได้ความว่าน้องทั้งสองคนได้ทุนมาเรียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ตุรกีนี่ เพิ่งมาได้แค่ 6 เดือนแต่เห็นน้องสามารถให้้ข้อมูลต่าง ๆ เป็นภาษาเตอร์กิชอย่างคล่องเลย เก่งมาก เราแลกเปลีื่ยนอีเมลย์กัน จากนั้นเราเดินไปหารถตู้กลับที่พัก
ถ่ายกับน้องสองคนที่ได้ทุนมาเรียนที่มหาลัยที่เมืองทรับซอน

ถ่ายกับน้องสองคนที่ได้ทุนมาเรียนที่มหาลัยที่เมืองทรับซอน

เช้าวันต่อมาเราตื่นกันแต่เช้าเพราะต้องการปั่นเข้าเมืองให้ทันรถทัวร์ขึ้นไปเยี่ยมชมวิหารสุเมล่า ก่อนขึ้นรถเวชถามคนขายตั๋วว่าต้องเอาเสื้อกันหนาวหรือกันฝนไปด้วยมั้ย เขาบอกว่าไม่ต้อง ควรจะเชื่อคนท้องถิ่นใช่มะ แต่ครั้งนี้รู้สึกว่าเขาจะไม่เคยขึ้นไปเลยละมั้ง เพราะพอรถจอดให้ลงปุ๊บฝนก็ตกแปะ ๆ ทันที มารู้ทีหลังว่าที่สุเมล่าฝนตกปีละ 300 วัน ถ้าวันนั้นฝนไม่ตกนี่คงเป็นอะไรที่โชคดีเกินคาด อีกอย่างเป็นวันเสาร์แถมเป็น long weekend ของตุรกีอีกต่างหาก เพราะวันจันทร์เป็นวันหยุดชดเชย เหมือนบ้านเราอีกแล้วที่ถ้าวันหยุดไปอยู่วันเสาร์หรืออาทิตย์จะได้ชดเชยวันนั้น เมื่อวันอาทิตย์นั้นเป็นวันที่ 19 พค. เป็นวันสำคัญเพราะเมื่อปี 1919 วันนั้นเป็นวันที่อตาเติร์กขึ้นฝั่งที่เมืองซัมซุน จำภาพที่เวชเคยลงก่อนหน้านี้ได้มั้ยคะ? นั่นคือเขาและทหารข้างกายที่ได้รับคำสั่งจากสุลต่านให้ไปตามเมืองต่างเพื่อปลดระวางยอมแพ้ แต่อตาเติร์กกลับไปรวบรวมกำลังทหารและปฏิวัติแยกตุรกีออกจากจักรวรรดิออโตมันเป็นเวลา 4 ปีกว่าจะมาเป็นประเทศตุรกีได้ คนตุรกีนับถืออตาเติร์กดั่งพ่อของประเทศของเขา นี่คือที่มาว่าทำไมสุเมล่าถึงได้มีคนมากมาย จากตรงที่รถจอดให้เราเดินไปนั้น เป็นทางแคบแบบเดินไปข้างหนึ่งเดินมาอีกข้างหนึ่ง แซงกันแทบจะไม่ได้
ภาพวิหารไกล ๆ จากจุดจอดรถครั้งแรก คนขับว่าให้เวลา 5 นาทีถ่ายรูป คนที่นั่งมาเที่ยวด้วยเขาบอกต่ออีกที เพราะคนขับพูดภาษาอังกฤษไม่ได้:-)

ภาพวิหารไกล ๆ จากจุดจอดรถครั้งแรก คนขับว่าให้เวลา 5 นาทีถ่ายรูป คนที่นั่งมาเที่ยวด้วยเขาบอกต่ออีกที เพราะคนขับพูดภาษาอังกฤษไม่ได้:-)

ภาพเขียนด้านใน

ภาพเขียนด้านใน

สองพี่น้องที่น่ารักพากันไปเที่ยว พี่สาวมาเที่ยวหาน้องชายที่เรียนเป็นหมออยู่ที่เมืองทรับซอน ส่วนพี่สาวเป็นครูอยู่ที่ซัมซุน

สองพี่น้องที่น่ารักพากันไปเที่ยว พี่สาวมาเที่ยวหาน้องชายที่เรียนเป็นหมออยู่ที่เมืองทรับซอน ส่วนพี่สาวเป็นครูอยู่ที่ซัมซุน

ตุรกี => จาก Samsun (ซัมซุน) ไป Giresun (กีเรอซุน)

อยู่ต่อที่ซัมซุนอีกหนึ่งวัน ไปกินข้าว เดินเที่ยวไปทางริมทะเลดำ ซัมซุนเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคนี้ คนตุรกีเองก็มาเที่ยวเองด้วย มีเรือใหญ่ ๆ มาจอดมากมาย วันนี้ฝนตกอีกแล้ว แฉะ ๆ เลยกลับมาที่โรงแรม เจอคนที่ทำงานชั่งนน.รถบรรทุกที่เราแวะเมื่อวันก่อนด้วย เขายังจำเราได้ อิอิ เหมือนเดินอยู่แถวบ้านแล้วมีคนรู้จักมาทักทาย 🙂 โจคิมซื้อเบียร์กระป๋องที่ร้านข้างทาง ท่าทางร้านนี้ยิ่งละอายกลัวบาปกว่าที่อื่นมั้ง เพราะเอาเบียร์ห่อกระดาษนสพ.แล้วค่อยใส่ในถุงหูหิ้วสีดำ เขาไม่ได้หยิบจากตู้ข้างนอกที่โชว์อยู่ แต่หยิบจากตู้ข้างในร้านแล้วห่ออย่างเรียบร้อย ตอนนี้เวลาเดินไปไหนเห็นใครหิ้วถุงดำ 99.99% น่าจะเป็นเบียร์น้ำดื่มต้องห้าม 😉

ภาพในเมืองซัมซุนริมทะเลดำ

ภาพในเมืองซัมซุนริมทะเลดำ


อตาเติร์ก-ทหารยศพันโทที่รวบรวมกำลังพลทหารกู้ตุรกียึดอำนาจจากสุลต่าน

อตาเติร์ก-ทหารยศพันโทที่รวบรวมกำลังพลทหารกู้ตุรกียึดอำนาจจากสุลต่าน


รถตู้เยอะแยะเหมือนแถวสนามหลวงบ้านเราเลย มีคนออกมายืนเรียกผู้โดยสารด้วย

รถตู้เยอะแยะเหมือนแถวสนามหลวงบ้านเราเลย มีคนออกมายืนเรียกผู้โดยสารด้วย


ในถุงดำมีอะไรเอ่ย???

ในถุงดำมีอะไรเอ่ย???


กินข้าวอิ่มแล้ว แต่พอเดินผ่านร้านของหวานก็อดใจไม่ได้ ต้องแวะเสียหน่อย ซื้อมาอย่างละชิ้นสองชิ้น ไม่แพงมาก รู้งี้ซื้ออีกหน่อยก็ดี 🙂 กลับมาที่โรงแรมเราแวะชงกาแฟเอาขึ้นไปดื่มบนห้องกับขนมหวานที่ระเบียง ช่างมีความสุข
ร้านเค้กและขนมหวานที่ดูน่ากินไปหมด

ร้านเค้กและขนมหวานที่ดูน่ากินไปหมด


เช้าวันต่อมา เห็นอากาศแล้วไม่อยากจะไปไหนเลย ฟ้ามืดอีกแล้ว แต่ดีตรงที่ไม่หนาว ลมไม่แรง และแล้วฝนก็ตก เปียกแฉะไปหมด และทางที่จะออกจากเมืองซัมซุนกำลังซ่อมแซมถนน ที่นี้เลยเขรอะเลอะดินโคลนทั้งกระเป๋าและจักรยาน ตัวก็เปื้อนโคลนเต็มหน้าเต็มตัวไปหมด
ภาพจักรยานที่เลอะเทอะ ผลลัพธ์จากการปั่นผ่านตรงที่เขากำลังซ่อมแซมถนนกัน

ภาพจักรยานที่เลอะเทอะ ผลลัพธ์จากการปั่นผ่านตรงที่เขากำลังซ่อมแซมถนนกัน


ออกมาได้นิดนึงก็เที่ยงวันเลยแวะกินข้าวเที่ยงก่อน และคุยกัน โจคิมรู้สึกไม่ค่อยมีอารมณ์เพราะต้องย้ายต้องเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อย ๆ ส่วนเวชแค่เบื่อตอนที่ต้องแพ๊คของก่อนปั่น แต่พอปั่นออกมาได้สักพักรู้สึกปั่นสบายเพราะทางลาดลงนิด ๆ ทำให้รู้สึกเหมือนปั่นเสือหมอบ วันนี้ทำความเร็วได้ตั้ง 24 กม./ชม. ไม่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ปั่นออกจากสวีเดนเลยมั้ง อืม…มีครั้งหนึ่งที่ปั่นจากสโลวาเกียเข้าฮังการี นั่นแทบไม่ต้องปั่น เพราะพายุดันหลังมาตลอด ตอนนั้นปั่นเหมือนปั่นไปหน้าปากซอยซื้อขนมที่เซเว่นมากกว่า แต่ความเร็วอยู่ที่ 35-40 กม./ชม. 🙂

ปั่นกันมาได้ 74 กม.ใช้เวลาแค่ 3 ชม. ถ้ารู้ว่าทางลาดลงปั่นสบายอย่างนี้ คงจะออกมาเร็วกว่านี้ ไม่อย่างนั้นวันนี้น่าจะปั่นได้มากกว่าร้อยโลแน่ เสียดาย เราแวะปั้มทำธุระกันหน่อย พอเวชเดินเข้าไปก็เห็นมีคุณป้าคนหนึ่งกำลังล้างมือ เธอหยุดกิจกรรมนั่นแล้วหันมาพ่นเตอร์กิชใส่ยาววว เอ่อ..เขาไม่เห็นความแตกต่างว่าใครเป็นนักท่องเที่ยวใครเป็นเตอร์กิชหรืองัย เงียบไปสักพัก คาดว่าคงจะพยายามหาคำ แล้วคุณป้าก็ทำลายความเงียบด้วย “boys and girls” อ้าวเฮ้ย!!! แหม..เห็นหน้าอกหน้าใจฉันมีน้อย ๆ แต่ฉันก็ยังต้องนั่งฉี่อยู่นะเว้ย เฮ้อ..ไม่เคยเห็นผู้หญิงผมสั้นหรืองัยหึ

เราพักที่เกสเฮาส์ติดทะเลดำ ได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งด้วย เพลินไปเลย ก่อนออกจากที่พักเราจัดการเอาน้ำใส่ขวดมาฉีดล้างรถที่เขรอะมาจากเมื่อวาน เลยเห็นซี่ล้อที่อยู่ใกล้กับล๊อค “งอ” รู้ทันทีว่าทำไม ต้องเป็นเด็กที่โรงแรมที่พยายามยก (น่าจะลากมากกว่า) จักรยานเรามาจากที่จอดรถซึ่งอยู่ห่างออกไปสัก 200-300 เมตร ฮึ่ม…หาเรื่องให้พวกฉันอีกแล้ว เลยย้ายเอากระเป๋าสองใบข้างหลังที่หนักกว่ามาไว้ข้างหน้าแทนเผื่อว่าจะยืดอายุมันได้หน่อย

เราปั่นมาตามทางหลวงเลียบทะเลดำ สวย ชอบมากเลย แต่แวะยากเพราะเราปั่นอยู่อีกฝากถนนหนึ่ง เลยชมจากอานแทน ได้แต่เอาเท้าแช่น้ำทะเล ยังไม่กล้าลงทั้งตัว กลัวหนาว รออีกหน่อยเห็นเขาว่าสักปลาย ๆ พค.นี่แหละน้ำจะอุ่นขึ้น เมื่อคืนเรานอนที่เกสเฮาส์ ลองต่อราคาเขาดูจาก 50TL เป็น 40TL แต่อีตาเจ้าของมันกลับย้อนศรเรา บอกว่า “เอามั้ย? จ่ายเพิ่มอีก 10TL ได้อาหารเย็น” เป็นไปได้มั้ยว่า มันเป็น bed & breakfast แต่พอเราต่อปุ๊บเลยกลายเป็น bed & dinner แทน อืม..น่าคิด

อาหารเย็นที่ Bed & Dinner รสชาติน้ำแกงเหมือนมาม่าต้มยำเลยอ่ะ แถมยังใส่ข้าวลงไปด้วยนะ เหมือนนั่งกินอยู่ริมทะเลบางแสนสมัยวัยเอ๊าะ ๆ เลย

อาหารเย็นที่ Bed & Dinner รสชาติน้ำแกงเหมือนมาม่าต้มยำเลยอ่ะ แถมยังใส่ข้าวลงไปด้วยนะ เหมือนนั่งกินอยู่ริมทะเลบางแสนสมัยวัยเอ๊าะ ๆ เลย


เช้าเราเลยออกกันแต่เช้าหน่อยแล้วไปหาอะไรกินตามทาง ปั่นมาเจอคาร์ฟูเอ๊กเพรส จอดซื้ออาหารเช้ากินกัน นั่งกินได้สักพัก ก็เห็นจักรยานคันหนึ่ง แบกสัมภาระเหมือนเราเล้ย เย้ๆๆ ในที่สุดเราก็ได้เจอเพื่อนนักปั่นทางไกลเป็นครั้งแรก “ทอม” เป็นคนที่เลี้ยวเข้ามาก่อน คุยกันได้นิดนึงก็มีอีกสองคันเลี้ยวตามมาคือ “นิค” และ “อาเธอร์” พวกเขาเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเรามาก่อนแล้วจากปั้มห้าดาวที่เราเคยพักหลังจากที่ออกจากบ้านเพื่อนที่เมืองซอนกูลดัค ทอมและนิคเจอกันโดยบังเอิญที่ซอนกูลดัค ส่วนอาเธอร์เป็นเพื่อนของนิคซึ่งบินมาจากอังกฤษมาร่วมเดินทางกับนิคจากเมืองซัมซุนไปเมืองหลวงของประเทศจอร์เจียคือทิบลิซิและจะบินกลับอังกฤษ ทอมจะปั่นไปเมืองไทยโดยจะปั่นเข้าอินเดียแล้วค่อยหาทางออกจากอินเดียเข้าไทย ส่วนนิคตั้งใจและปั่นเพื่อสะสมเงินทุนช่วยเหลือเด็กที่ด้อยการศึกษาที่อินเดียและจบทริปของเขาที่นั่น หลังจากที่คุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับเส้นทางและความประสงค์ของแต่ละคนแล้ว เราทั้งห้าคนก็ปั่นไปด้วยกัน ตั้งใจไว้ว่าจะปั่นให้ได้มากที่สุดหรือจนกระทั่งแสงตะวันแห่งวันจะมืดดับไป แล้วมันก็มืดดับไปจริง ๆ เพราะเรามัวแต่ตระเวณหาที่พัก หาซื้อปลาสดที่ทอมอยากทำกินมาก ๆ และเพราะทางเลียบทะเลดำมีหมู่บ้านและคนอยู่กันเยอะมาก ทำให้เราหาที่กางเต้นท์ลำบาก อีกอย่างคือด้านนึงเป็นทะเล อีกด้านนึงเป็นเขา แต่ในที่สุดเราก็ปั่นออกมานอกเมืองหน่อย และสามารถกางเต้นท์ที่ปั้มแห่งหนึ่งที่มีที่ทางพอสำหรับเต้นท์ 4 หลัง เฮ้อ…วันนั้นก็ปั่นกัน 140 กม.
ได้เพื่อนนักปั่นชาวอังกฤษตั้ง 3 คนพร้อมกัน แต่เรายังคงรอที่จะเจอกับนักปั่นที่ปั่นมาจากเอเซียอยู่

ได้เพื่อนนักปั่นชาวอังกฤษตั้ง 3 คนพร้อมกัน แต่เรายังคงรอที่จะเจอกับนักปั่นที่ปั่นมาจากเอเซียอยู่

ตุรกี => จาก Havza (ฮัฟซา) ไป Samsun (ซัมซุน)

เมื่อคืนฝนคงจะตก ดูชื้น ๆ ไปหมด เช้านี้ตื่นขึ้นมารู้สึกล้า ๆ ชอบกล ส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบนี้กันตอนเช้า ๆ แต่พอจัดอะไรเสร็จก็กะปรี้กะเปร่าขึ้น แต่วันนี้ไม่ค่อยเหมือนวันก่อน ๆ ที่พอนั่งบนอานแล้วเราก็แฮบปี้ อาจจะเป็นเพราะเราปั่นแต่บนทางหลวงที่่น่าเบื่อ ไม่่ค่อยเจอผู้คน เอาแต่ปั่น ๆ ๆ เหมือนการเดินทางจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง เลยรู้สึกเนือย ๆ ไปหน่อย อืม…ช่วงนี้อากาศร้อน ตอนนี้ตามปั้มเขาเริ่มมีน้ำผลไม้เย็น ๆ ให้ดื่ม เมื่อวันก่อนเป็นครั้งแรกที่เห็นเขาให้ดื่ม “Ayran ไอรัน” ที่ส่วนใหญ่เราต้องสั่งและเสียตังค์ มันคือส่วนผสมของโยเกิร์ตรสธรรมชาติครึ่งหนึ่งและน้ำอีกครึ่งหนึ่ง เขย่าให้เข้ากันแล้วดื่ม ตั้งอยู่ข้าง ๆ เตาต้มชา ก่อนหน้านี้ยังคิดอยู่ว่าร้อนอย่างนี้แล้วเขาไม่รู้สึกอยากดื่มอะไรเย็น ๆ บ้างหรืองัย เหอะ ๆ มาตั้งให้เห็น ๆ เลย แรก ๆ เขาชวนเราก็อึกอักเกรงใจ หลัง ๆ มานี่ “ลุทเฟน :)” แปลว่า yes please และบางครั้งเราก็แบ่งขนมให้เขาบ้าง แล้วแต่สถานการณ์และจำนวนคน 😉

บ่นว่าร้อนพอเขามีน้ำเย็น ๆ มาเลี้ยงกลับอยากดื่มชาร้อน ๆ  เพราะบังเอิญฝนตก อากาศเลยเย็นนิดหน่อย

บ่นว่าร้อนพอเขามีน้ำเย็น ๆ มาเลี้ยงกลับอยากดื่มชาร้อน ๆ เพราะบังเอิญฝนตก อากาศเลยเย็นนิดหน่อย


ปั่นออกมานอกเมืองนิดหน่อยมาเจอกาน้ำยักษ์ กานี้น่าจะเลี้ยงได้ค่อนประเทศ ;-)

ปั่นออกมานอกเมืองนิดหน่อยมาเจอกาน้ำยักษ์ กานี้น่าจะเลี้ยงได้ค่อนประเทศ 😉


เมื่อเช้าอืดอาดกันได้สักพัก ปั่นออกมาได้หน่อย ก็ไปหาอะไรกินตอนบ่าย ๆ เรามาแวะตรงที่รถบรรทุกเขามักจะแวะกินข้าวกันข้าง ๆ ปั้มนั่นแหละ เห็นเด็กที่ปั้มฉีดน้ำล้างรถใหญ่กัน รถเข้าออกกันหลายคัน นั่งกินไปได้สักพัก ก็สังเกตุเห็นว่า ถ้าคนขับรถบรรทุกไม่สั่งอะไรที่ร้านมากิน เด็กที่อยู่ตรงลานล้างรถจะไม่ฉีดน้ำล้างให้ เหอะๆๆ ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนมั้ง เขามีอุปกรณ์ที่สร้างสรรค์ดีนะ คือเอาสายยางมาติดตรงด้ามจนถึงหัวแปรง จะได้ขัดไปฉีดน้ำไปในตัวเสร็จ
อาหารเที่ยง

อาหารเที่ยง


เด็กล้างรถ ด้วยอุปกรณ์ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

เด็กล้างรถ ด้วยอุปกรณ์ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา


ระหว่างทางที่ปั่นจากเมืองฮัฟซ่า รู้สึกว่าตุรกีจะอุดมไปด้วยน้ำ ดูท่าเฟงชุยเขาจะดี เพราะมีทั้งทะเล ภูเขาและน้ำ ฝนตกเลยทำให้น้ำในลำธารขุ่นข้นเพราะดินที่ถูกชะล้างมา ช่วงที่ปั่นเข้าเมือง ถ้าฝนไม่ตกจะสนุกกว่านี้ เรามาจอดที่ปั้มแห่งหนึ่ง เพื่อเช๊คเมลย์ เพราะติดต่อกับสมาชิกวอร์มเชาเวอร์ไว้ แต่ที่ปั้มไม่มีเน๊ต ไหน ๆ จอดแล้วก็ขอแวะทำธุระเลยละกัน ดีกว่าไปจอดทำข้างทาง 🙂 ระหว่างที่รอโจคิม ก็หาเรื่องมาคุยสัพเพเหระ คุณเวชถนัดฮ่ะ เรื่องเม้าท์มอยไม่มีสาระ เขาชวนดื่มน้ำส้มเย็น ๆ เราไม่เกรงใจแล้วนะ “ลุทเฟน = ขอบคุณค่ะ” เชิญแล้วยังกดให้ด้วยอีกนะ สุดยอดคนตุรกี กดเสร็จเห็นเขาเดินไปที่จักรยานเวช ชี้ไปที่ขวดน้ำที่เหลือน้ำอยู่นิดหน่อย ทำสัญญาณประมาณว่าเอาน้ำส้มไปกินด้วยมั้ย อ่า “ลุทเฟน” กดให้อีกเต็มขวด-ลิตรครึ่ง โอ..น้ำใจเหลือเฟือ

ได้น้ำส้มแล้วเลยลา :)เปล่า ก็คุยกันอีกนิดนึง ถ่ายรูปสักใบ แล้วก็ลากัน จากตรงนั้นก็ไหลลงอย่างเดียวเป็นระยะทาง 6-7 กม. แดดไม่มีและฝนทำท่าจะตก จอดค่ะจอด ขอเสื้อใส่อีกตัว ร้อนก็บ่นเย็นก็บ่น มนุษย์นี่หนอ เราไม่ด่าทอเทวดา 🙂 ปั่นลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาเจอจุดตรวจน้ำหนักรถบรรทุก อากาศเริ่มเย็นมากขึ้น เราเลยจอดเพื่อใส่เสื้ออีกตัว ใส่หลาย ๆ ชั้นดีกว่าใส่ตัวหนา ๆ ตัวเดียว ถึงเวลาหนาวก็ใส่เพิ่มตัวนึง ร้อนก็ค่อยถอดออกทีละตัว จอดอยู่สักพักจนรู้สึกอยากชั่งจักรยานบ้าง เลยลองทำสัญญาณส่งไปว่าขอเข้าไปชั่งได้มัย อืม…ได้ผลด้วย เขาเข้าใจ โบกไม้โบกมือใหญ่ สรุปมัวแต่เม้าท์เลยไม่เห็นว่าเราและจักรยานหนักเท่าไหร่ เฮ้อ..ก็ดีเหมือนกันนะ ไม่อย่างนั้นคงบั่นทอนกำลังขาน่าดู เพราะรู้สึกว่าเราแบกกันมามากเกินไป 🙂

จุดชั่งน้ำหนักรถบรรทุก ห้ามหนักเกิน 42000 กก.

จุดชั่งน้ำหนักรถบรรทุก ห้ามหนักเกิน 42000 กก.


น้องคนขวามือสุด เป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ ส่วนคนตรงกลางทำหน้าที่คุ้มครอง (Security) ขี้เล่นมาก

น้องคนขวามือสุด เป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ ส่วนคนตรงกลางทำหน้าที่คุ้มครอง (Security) ขี้เล่นมาก


อีกด้านหนึ่งของสำนักงานและเพื่อนร่วมงาน

อีกด้านหนึ่งของสำนักงานและเพื่อนร่วมงาน


พอเม้าท์กันได้สักพัก ขั้นตอนต่อไปก็ “ดื่มชามั้ย?” – “ลุทเฟน” เพราะหนึ่งอากาศเริ่มเย็น ๆ ได้ชาร้อน ๆ ก็ดี สองมีเด็กคนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษได้ ถ้าเราสามารถสื่อสารกันได้ก็อยากจะหยุด แชร์ประสบการณ์กันได้ เขาถามเราเราถามเขา นั่นแหละ คุยกันไปคุยกันมา เอ่อ…เห็นหยดน้ำจากฟ้าแปะ ๆ ลงมา ท่าจะต้องไปต่อก่อนที่หยดน้ำจะชวนพรรคพวกมากันเยอะกว่านี้ เราหวังว่าหยดน้ำเหล่านั้นจะถอยทัพไปในอีีกไม่ช้า แต่ขอโทษ กลับพาพรรคพวกแห่กันมา เราเลยเปียกมะล่อกมะแล่ก เพราะใส่แต่เสื้อกันฝน เปียกไปถึงกางเกงปั่นจักรยาน มีช่วงหนึ่งเห็นรถเก๋ง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นฮอนด้า เปิดไฟฉุกเฉินจอดอยู่ข้างหน้าเราไป 200-300 เมตร เอ่อ… จอดทำไม อยากจะคุยอะไรกับพวกฉันตอนนี้!!! พอเราไปใกล้ ๆ เขา เห็นเขาเอาเสื้อกันฝนมาใส่และออกมารอเรา เชื่อหรือไม่เชื่อค่ะ!!! เขาจอดแล้วบอกให้เราเอาจักรยานและสัมภาระขึ้นรถแล้วนั่งไปกับเขาเถอะ ฝนตกแบบนี้ปั่นไม่ไหวหรอก [ประโยคสุดท้ายเสริมเองค่ะ :-] งงไปสักพัก ถ้าเป็นรถกระบะเราคงคิดแล้วคิดอีก นี่เป็นรถเก๋งแถมสีขาว แต่ไม่รู้ข้างในเป็นยังงัย ถ้าปั่นขึ้นเขาเราอาจจะถอดใจนั่งไปกับเขาก็ได้ แต่ตอนนั้นเป็นทางลาดลง ก็อีก 20 กม.ได้ ถ้าขึ้นไปกับเขาสงสัยต้องไปช่วยเขาจ่ายค่าล้างเบาะ เกรงใจอีกอย่างอากาศไม่ได้เย็นมากถึงขั้นหนาว ไม่เหมือนที่โรมาเนีย ตอนนั้นที่ปั่นอยู่บนเขาแล้วหิมะตกหนัก ตอนนั้นแหละ ถ้ามีใครมาจอดถาม ไม่ใช่! ถ้ามีรถผ่านมามากกว่า เพราะตอนนั้นรถยนต์เองก็มีปัญหากับการขับเคลื่อนบนหิมะ แต่ที่ตุรกีนี่เราแค่เปียกโชก แวะปั้มเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้ง ใส่กางเกงกันฝน ใส่เสื้อผ้ากันหนาวและแจ๊คเกตกันฝนก็พร้อมที่จะปั่นต่อเข้าเมืองได้

กว่าจะถึงเมืองและหาที่พักได้มืดพอดี โรงแรมแรกเต็ม เขาเลยแนะนำให้ไปอีกที่หนึ่งใกล้ ๆ พอเราไปถึง ได้เจอเจ้าของ เขาสนใจว่าเราปั่นมาจากไหนและจะไปไหนต่อ คุยกับโจคิมเป็นภาษาเยอรมัน โจคิมกับเด็กที่โรงแรมเอาจักรยานไปจอด เขาก็หันมาบอกเวชว่าให้ขึ้นไปดูห้องคือให้ไปเลือก เห็นเขากดลิฟต์ไปชั้น 6 เบอร์สุดท้าย แถมยังต้องขึ้นบันไดอีกนิดนึง เปิดห้อง เห็นแล้วก็ชอบไม่ต้องไปดูอีกห้องหนึ่งเลย ห้องเล็กก็จริงแต่มีระเบียงที่ใหญ่มาก ความยาวยังยาวกว่าห้องอีก แถมมีอ่างอาบน้ำจากุสซี่ เด็กที่พาขึ้นมาเขาคงนึกว่าเราคงจะใช้อาบและแช่น้ำ แต่ในใจเราคิดว่า “เยส..วันนี้มีอ่างให้ซักผ้าแล้ว 🙂 และยังตากผ้าได้ด้วย สุดยอด”

ถึงเมืองซัมซุนมืดพอดี เพราะนั่งคุยกันนานไปหน่อย ซ่อมทาง ฝนตกด้วยเปียกไปหมด เลยทำอาหารกินกันที่ระเบียงเสียเลย

ถึงเมืองซัมซุนมืดพอดี เพราะนั่งคุยกันนานไปหน่อย ทางอยู่ในระหว่างซ่อมแซม ฝนตกด้วยเปียกไปหมดเลยทำอาหารกินกันที่ระเบียงเสียเลย