Category Archives: Posts in Thai / โพสต์ภาษาไทย

อยุธยา – ปทุมธานี – บางเลน

เข้ามาถึงอยุธยาเย็น ๆ มองหาที่พักกัน อยากจะอยู่ในเมืองจะได้เดินเที่ยวหรือปั่นเที่ยวไม่ไกลนัก มีเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามา คุณสส. กลุ่มทัวร์ริ่งน้องใหม่ อยุธยานี่เอง เรามาเร็วเกินคาดไปหน่อย คุณสส.ตั้งตัวไม่ทัน ขาแรงค่ะ 🙂 เปล่าหรอกค่ะ ลมและทางที่ลงมาแทบตลอดทางช่วงแรกช่วยมากกว่าค่ะ เรามาที่ซอยฝรั่งที่เขาไม่มีเขียนถึงในหนังสือเดินทาง แต่มันเป็นชื่อเล่นของซอยนั้น เพราะมีเกสต์เฮาส์มากมายที่ฝรั่งชอบมาอยู่กัน เราเห็น Tony’s place ที่แรก ดูแล้วน่าอยู่ร่มรื่นเป็นบ้านทรงไทยโปร่ง ๆ

เส้นทางจากชัยบาดาลไปอยุธยา

เส้นทางจากชัยบาดาลไปอยุธยา

บรรยากาศตอนค่ำ ๆ ที่ Tony’s place

บรรยากาศตอนค่ำ ๆ ที่ Tony’s place

อีกมุมหนึ่ง โจคิมกำลังเขียนบล๊อค

อีกมุมหนึ่ง โจคิมกำลังเขียนบล๊อค

เวลาประมาณหนึ่งทุ่มคุณสส.ที่ติดตามเรามาทั้งทางบล๊อคของเราและทางไทยเอมทีบีโทรเข้า จะพาไปเลี้ยงเบียร์ยุดยา กลายเป็นมื้อเย็นสุดหรูริมน้ำกินลมชมวิววัดไปทางพนัญเชิงที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม นั่งดูเรือลำน้อย ๆ ที่ลากเรือบรรทุกลำใหญ่ ๆ และจากที่ได้คุยกับคุณสส. มาวันนี้ได้เพื่อนใหม่ทั้งกลุ่มเลย ยินดีที่ได้รู้จักกลุ่มทัวร์ริ่งน้องใหม่ พระนครศรีอยุธยา ขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างเป็นพี่เป็นน้องช่างอบอุ่นดีแท้ค่ะ

กลุ่มทัวร์ริ่งน้องใหม่พระนครศรีอยุธยา คุยสนุกทั้งแก้งส์

กลุ่มทัวร์ริ่งน้องใหม่พระนครศรีอยุธยา คุยสนุกทั้งแก้งส์

SONY DSC

เช้าวันรุ่งขึ้นเราติดต่อกับพี่สมพิศกลุ่มรวมมิตร รวมทั้งอ๊อฟและต้น เพื่อนนักปั่นเมื่อ 8 ปีที่แล้วถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอกันทุกปีไม่ได้ปั่นกันทุกครั้งที่เวชกลับมาเมืองไทย แต่เรายังติดต่อกันเสมอ ทริปแรกที่ได้พบกับพี่สมพิศลุงแซมคือทริปบางคล้า ที่เราปั่นไปต้อนรับกลุ่มคุณธานินทร์ และหลังจากทริปนั้นก็ไม่ได้เจอลุงแซมและพี่สมพิศเลยค่ะ เอ..ทริปปั่นที่แสลงหลวง ไม่รู้ว่าลุงแซมมาหรือเปล่า??? เพราะหลังจากนั้นเวชก็ไปอยู่กับกลุ่มอิสระ มีอ๊อฟและต้นในภาพ พี่เบน พี่นพ ป้าแสง จารย์เม้ง เบียร์ ท่าทางตอนนั้นเราว่างกันจริง ๆ เพราะทริปแรกยังไม่จบเราก็เริ่มคิดทริปต่อไปโดยเอาแผนที่ออกมากางกันเลย

SONY DSC

ทริปแรกเมื่อปีที่เวชเคยลากลับบ้านมาปีหนึ่งเมื่อปี 2549 นัดกับลุงแซมที่สถานีรถไฟฟ้าจตุจักร

ทริปแรกเมื่อปีที่เวชเคยลากลับบ้านมาปีหนึ่งเมื่อปี 2549 นัดกับลุงแซมที่สถานีรถไฟฟ้าจตุจักร

หนึ่งในหลาย ๆ ทริปที่ปั่นเที่ยวกันกับกลุ่มที่รู้ใจและมีเวลาเมื่อสมัยนั้น 8 ปีมาแล้ว ว้าว!!

หนึ่งในหลาย ๆ ทริปที่ปั่นเที่ยวกันกับกลุ่มที่รู้ใจและมีเวลาเมื่อสมัยนั้น 8 ปีมาแล้ว ว้าว!!

พี่เบนซึ่งนั่งรถไฟมารับขวัญเราถึงหนองคาย ปั่นมาด้วยกันจนมาถึงอยุธยา เราจะหยุดเที่ยวกันสักวันสองวัน แต่พี่เบนต้องรีบกลับกรุงเทพฯ เลยมาส่งเราแค่ที่ปั้มบางจาก นั่งดื่มกาแฟกัน พอได้เวลานัดกับพี่สมพิศ ต้นและอ๊อฟ เราก็แยกกับพี่เบนตรงนั้น แล้วย้อนกลับมาที่ตลาดโก้งโค้ง ทานข้าวกลางวันกัน คุยกันสนุกสนานไปเลย ดูแล้วท่าทางนักปั่นจักรยานจะมีเยอะกว่าชาวบ้านทั่วไปอีกนะค่ะ ขอบคุณต้นกะอ๊อฟด้วยนะค่ะที่อุตส่าห์ปั่นมาเจอพวกพี่ก่อน

พี่เบนที่หน้าร้านสภากาแฟ ปั้มบางจาก

พี่เบนที่หน้าร้านสภากาแฟ ปั้มบางจาก

ถ่ายกับอ๊อฟโดยต้นเป็นคนถ่ายค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปกะต้นเลยอ่ะมีแต่รูปหมู่

ถ่ายกับอ๊อฟโดยต้นเป็นคนถ่ายค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปกะต้นเลยอ่ะมีแต่รูปหมู่

SONY DSC

พอแยกทางกันกับกลุ่มพี่สมพิศและต้นกะอ๊อฟแล้วเราปั่นอ้อมกลับไปเที่ยวในตัวเมืองอยุธยา ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยเปื่อย

วัดรามัญระหว่างทางกลับเข้าอยุธยา

วัดรามัญระหว่างทางกลับเข้าอยุธยา

SONY DSC

SONY DSC

เช้าวันที่เราจะออกจากอยุธยา กำลังเตรียมตัวกันอยู่ได้ยินเสียงฝนด้านนอก ตกหนักเสียด้วยสิ โอเค ๆ ตก ๆ เสียให้เสร็จนะ พอเราพร้อมที่จะปั่นฝนหยุดเหมือนเข้าข้างเรา ทำให้เราได้อากาศที่สดชื่นและระหว่างทางที่เราปั่นไปหาครอบครัวพี่ยาที่ปทุมธานี ไม่มีฝนสักเม็ดจนกระทั่งเรามานั่งรอพี่ยาที่หน้าปากซอยฝนลงเม็ด เหมือนพระพรมน้ำมนต์อย่างไรอย่างนั้นเลยแล้วก็หยุดไป ยิ่งรู้สึกเหมือนได้รับการต้อนรับแม้กระทั่งฝนฟ้าก็เป็นใจ

เรานั่งรอมอเตอร์ไซค์เพื่อจะไปบ้านพี่ยาที่หน้าปากซอย

เรานั่งรอมอเตอร์ไซค์เพื่อจะไปบ้านพี่ยาที่หน้าปากซอย

ได้เจอคุณลุงขณะที่นั่งรอ พอคุณลุงเห็นเสื้อเราแกเข้าใจทันทีว่านั่นคือธงชาติของประเทศที่เราปั่นผ่าน ๆ มา ที่น่าสนใจคือคุณลุงมีความเห็นเหมือนที่เราคิดและเริ่มเพื่อจะทำทริปนี้คือการใช้ชีวิตให้คุ้มค่า
IMG_3697

ป้ายต้อนรับเราที่ครอบครัวพี่ยาจัดให้ และภาพพี่ยาและพี่เอกที่หน้าบ้าน ขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่นค่ะ เรานั่งคุยและทานอาหารเช้ารอบสองกันได้สักพักใหญ่ ก็ต้องเดินทางต่อไปบางเลน เพราะเด็ก ๆ ที่บ้านที่บางเลนจะกลับบ้านกันดึกวันจันทร์ เราอยากเจอกับพวกเขาเลยต้องเดินทางต่อในวันเดียวกัน ธรรมดาเราไปบ้านพี่ยาเราจะต้องพักอยู่ที่พี่ยาสักคืนสองคืน วันนี้รู้สึกแปลก ๆ ที่เจอกันแป๊บเดียว เราจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งค่ะ
SONY DSC

IMG_3702

ก่อนออกจากบ้านพี่ยา พี่จุ๋มโทรมาบอกว่าตอนนั้นฝนตกหนักมากที่บางเลน เราก็เลยรู้สึกรีบนิด ๆ แต่ยังงัยเราก็ยังเลือกที่จะปั่นเส้นทางเล็ก ๆ เรียบไปกับทุ่งนาแต่ก่อนที่จะถึงทุ่งนาเราต้องผ่านถนนใหญ่ ๆ แล้วต้องปั่นข้ามทางแยกที่ใหญ่มาก น่าตื่นเต้นและน่ากลัว เพราะเราเริ่มเฉียดเข้าใกล้กรุงเทพฯ เมืองหลวงของเรา แทบแย่กว่าจะเลี้ยวเข้ามาตรงสะพานที่เขาให้กลับรถ โชคดีมีรถสีดำคันหนึ่งใจดี เปิดไฟฉุกเฉินและชลอให้เราปั่นเข้าช่องทางด้านใน ไม่ทราบว่าเป็นใครแต่อยากให้มีคนมีน้ำใจมากขึ้น ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ

พอปั่นข้ามมาได้เลยจอดแอบ ๆ และถ่ายรูป แต่สะพานกลับรถนี้ไม่แสดงในกูเกิ้ลแมพค่ะ

พอปั่นข้ามมาได้เลยจอดแอบ ๆ และถ่ายรูป แต่สะพานกลับรถนี้ไม่แสดงในกูเกิ้ลแมพค่ะ

IMG_3719

ช่วงที่เราปั่นเข้าบางเลน เราอยากจะไปให้ถึงบางเลนเลยไม่ค่อยมีภาพมาลงให้ดูกัน มีรูปทุ่งนาที่เราเห็นตามทางนี้
SONY DSC

ก่อนที่เราจะเข้าบ้าน เราปั่นแวะไปที่หน้าบ้านเก่าซึ่งเป็นบ้านที่โจคิมเคยอยู่เมื่อตอนที่มาเมืองไทยตอนเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน หลังจากนั้นเราปั่นไปที่วัดไปไหว้คุณพ่อซึ่งจากไปเมื่อ 5 ปีก่อนและหน้าบ้านครอบครัวรับรองของโจคิม

ที่หน้าบ้านเก่า แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว

ที่หน้าบ้านเก่า แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว

ไปไหว้คุณพ่อก่อนเข้าบ้าน

ไปไหว้คุณพ่อก่อนเข้าบ้าน

คนที่บ้านมายืนรอรับเราอยู่แล้ว

คนที่บ้านมายืนรอรับเราอยู่แล้ว

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

ส่วนหนึ่งในครอบครัว ตู้เซฟ ต้นสัก ต้นไทร น้องพลอย เวชเอง พี่จุ๋ม โจคิมและต้นข้าว

ส่วนหนึ่งในครอบครัว ตู้เซฟ ต้นสัก ต้นไทร น้องพลอย เวชเอง พี่จุ๋ม โจคิมและต้นข้าว

มื้อเย็นนั้นพี่จุ๋มทำบาร์บีคิวให้ทานกัน สลัดผักสด ๆ โฮมเมดขนมปังกระเทียม อร่อยยยย

มื้อเย็นนั้นพี่จุ๋มทำบาร์บีคิวให้ทานกัน สลัดผักสด ๆ โฮมเมดขนมปังกระเทียม อร่อยยยย

ลาว => เมืองหลวงเวียงจันทน์ ไป อยุธยากรุงเก่าของไทย

จากโรงแรมนอกเมืองเวียงจันทน์ เราตื่นกันแต่เช้าเพื่อโจคิมจะไปขอวีซ่าไทยให้ทันช่วงเช้า ออกมาฟ้ายังมืดอยู่เลย เรามาทันเวลาอยู่แต่มาช้ากว่านักท่องเที่ยวกรุ๊ปใหญ่ ๆ ไป 2-3 นาที เลยต้องรออยู่นาน เขาไม่ให้เอาจักรยานเข้าไปในเขตสถานฑูต เวชเลยต้องยืนอยู่ด้านนอกเฝ้าจักรยาน โชคดีที่มีคุณลุงโพที่ปั่นตามเรา มายืนคุยเป็นเพื่อน ได้เคล็ดลับดี ๆ ในการดูแลสุขภาพ อยากให้ผู้สูงอายุบ้านเราตื่นตัว และอย่าพยายามคิดว่าตัวเองแก่ แก่เกินที่จะออกกำลังกายแบบนั้นแบบนี้ พูดยากจริง ๆ ยื่นเสร็จแล้วก็มองหาที่พักกัน ช่วงนี้เป็นฤดูการท่องเที่ยวของลาวกระทัง เราได้ห้องสุดท้ายที่เกสต์เฮาส์ที่เราเข้าไปถาม หลังจากนั้นมีรถตู้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมาถามหาห้องพัก เราโชคดีไป

วิวระหว่างทางที่เข้าเวียงจันทน์

วิวระหว่างทางที่เข้าเวียงจันทน์

เราได้เสื้อจักรยานที่อาร์มและก้องเป็นคนออกแบบให้ ส่งมาถึงหนองคาย โดยได้รับความช่วยเหลือจาดหางแฮ้มที่ทำงานประจำอยู่ที่เวียงจันทน่์และที่บริษัทมีข้ามไปหนองคายแทบทุกวัน เราบอกหางแฮ้มว่าจะเข้าไปรับแต่หางแฮ้มน่ารักมากบอกว่าจะเอามาให้ที่ที่พัก ตื่นเต้นได้เห็นเสื้อตัวเอง ต้องขอขอบคุณหางแฮ้มมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ เช้าวันที่เราจะปั่นข้ามสะพานเข้าไทยเราได้ใส่เสื้อที่มีโลโก้ของเราเอง สุดยอด

หางแฮ้มที่ช่วยนำพัสดุของสำคัญมาให้ถึงที่พัก ขอบคุณมากค่ะ

หางแฮ้มที่ช่วยนำพัสดุของสำคัญมาให้ถึงที่พัก ขอบคุณมากค่ะ

อีกวันหนึ่งเราปั่นไปรับหนังสือเดินทางกลับมา เรานัดเจอกับบาเทค เพื่อนนักปั่นชาวโปแลนด์ ปั่นด้วยกันบ้างบางเส้นทาง เราติดต่อกันตลอดทาง sms ไม่เราถามเขา เขาก็ถามเราว่าอยู่ตรงไหนกัน และที่เวียงจันทน์นี้เราก็เจอกันอีก ไปกินข้าวกัน เรานัดกันว่าจะปั่นเข้าเมืองไทยพร้อมกัน ท่าเดื่อทางไปสะพานมิตรภาพนั้นกว้างขึ้นมาก มากกว่าเมื่อ 8 ปีที่แล้วที่เวชกับพวกเพื่อนในแก้งส์ปั่นข้ามไปกัน ทางเข้าไปกองตรวจของลาวก็ดูอลังการกว่าเดิมเยอะ ขั้นตอนในการผ่านแดนง่ายสำหรับจักรยาน แต่ก็งงว่าทำไมเป็นเราที่เดินทางผ่านลาวไปไทยต้องเป็นผู้ที่ต้องจ่ายเงินล่วงเวลาให้เขา 😉

ด้านหน้าเกสต์เฮาส์พร้อมท่ีจะปั่นข้ามสะพานมิตรภาพไปบ้านเรา

ด้านหน้าเกสต์เฮาส์พร้อมท่ีจะปั่นข้ามสะพานมิตรภาพไปบ้านเรา

หลังจากที่ผ่านเข้าไทยมาได้แล้ว ก็มาเจอกับพี่เบน ที่เคยปั่นเที่ยวกันเมื่อปี 2549 นั่งรถไฟมารับและเราจะปั่นเข้ามาที่อยุธยากัน ดีใจอย่างน้อยมีพี่เบนมาสักคนก็ยังดี เราเริ่มปั่นออกจากหนองคายโดยใช้ทางหลวงเพราะเรารีบไปหาเพื่อนทางเวบต์ที่เขาติดตามความเคลื่อนไหวแบบค่อยเป็นค่อยไปของเรา เราโชคดีในเรื่องทิศทางลม อย่างที่คุณธานินทร์เคยบอกไว้ ปั่นมาทางนี้ลมมาเฉียง ๆ ด้านหลัง แดดก็ไม่ค่อยมีเพราะเมฆมาบังให้ ทำให้ปั่นกันสบาย ๆ ความเร็ว 30 – 31 กม/ชม. เล่นเอาพี่เบนเหนื่อยและงงว่านี่คือการปั่นทัวร์ริ่งรึ? ก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ ถ้าเราต้องการจะไปจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง เราจะปั่นกันเร็วโดยที่ไม่มานั่งดูชมนกชมไม้ 😉 ทำไม่บ่อยหรอกค่ะ

ที่ร้านกาแฟที่พี่เบนนั่งรอเราอยู่ฝั่งไทย ถ่ายภาพโดยบาเทค

ที่ร้านกาแฟที่พี่เบนนั่งรอเราอยู่ฝั่งไทย ถ่ายภาพโดยบาเทค

บ้านเพื่อนทางเวบต์ผู้นี้คือหนึ่งในกลุ่มสมาชิกของเวบต์ไซต์ที่คนสวีเดนแต่งกับคนไทย เราได้รู้จักกับ สเวน และ ฉวี ทั้งคู่น่ารักมาก พอเราปั่นมาถึงหน้าบ้านเขา ฉวีเดินมาพร้อมกับดอกกล้วยไม้ในมือให้เราทั้งสามคน ช่างคิดกันจริง ๆ หลังจากแนะนำตัวกันเรียบร้อย พวกเขาก็เชิญเราไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว เปิดฝาชีขึ้นมา ว้าววว… ผลไม้จานใหญ่ ๆ 3 – 4 จาน เหมือนรู้ใจเพราะตั้งแต่ปั่นมาคือกล้วยเท่านั้นที่ได้กิน บนโต๊ะมีสัปะรด มะละกอสุก องุ่น แตงโม ของชอบทั้งนั้นเลย กินกันได้สักพัก เราก็เตรียมตัวกันออกไปเจอกับสมาชิกคนอื่น ๆ ที่อยู่ในระแวกนั้น อุดรเป็นเมืองที่มีคนสวีเดนเยอะอยู่เหมือนกัน คืนนั้นมากันได้ 6-7 คู่ นั่งโต๊ะยาวกันเลย คุยกันทั้งคืน ดีใจที่มีคนสนใจเรื่องการเดินทางของเรา วันรุ่งขึ้น สเวน บอกว่าจะอยู่ต่อก็ได้นะ เขาจะพาเที่ยวในเมือง เอ้า..ไหน ๆ ก็มาถึงเมืองใหญ่ละ เลยอยู่ต่ออีกหนึ่งวัน สเวนก็ขับตระเวณทั่วเมืองเลย

Skärmavbild 2013-11-18 kl. 00.23

เมื่อพบกันก็ต้องมีจากกัน เราออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง จากอุดรฯ มุ่งหน้าลงภาคกลาง เพราะเราเริ่มเบื่อเขาหลังจากที่ต้องปีนไต่อยู่บนสันเขาของลาวมาหลายวัน เลยเลือกที่จะมาทางขอนแก่นโดยเลือกเส้นทางหลวงชนบทที่มีตัวเลข 4 หลัก แต่ความที่เราไม่ได้ขยายแผนที่ให้กว้างขึ้น เลยไม่เห็นว่าจีพีเอสบอกให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอยู่บ่อย ๆ เราเลี้ยวเร็วไปหน่อย ไปโผล่ที่ถนนลูกรังเป็นดินทรายร่วน ๆ เฮ้อ..ไม่เอาแล้ว ปั่นมาพอแล้วที่คาซัคสถานและอุซเบกิสถาน ทำบ่นอีกนะ ถนนที่เป็นอย่างนี้มันไม่กี่กิโลหรอก แต่ขอบ่นไว้ก่อน 🙂 พอเราโผล่ออกมาเจอถนนดี ๆ แทบอยากจะลงไปจูปสักที 😉 แต่พอปั่นไปได้อีกสักพัก ถนนเริ่มแย่อีก เราเลยลองปั่นอ้อมไปสักนิดเพื่อหลีกเลี่ยงทางนี้ แต่ไม่พ้นทางมันพาเราลุยเข้าไปในทุ่งอ้อย สนุกสนานกันไปเลย ที่คิดว่าจะทำเวลาและระยะทางนั่นลืมไปได้เลย

ฟื้นความจำช่วงที่ปั่นอยู่ในคาซัคฯ และอุซเบกฯ  เพียงแต่ไม่ร้อนเท่าเท่านั้นเอง

ฟื้นความจำช่วงที่ปั่นอยู่ในคาซัคฯ และอุซเบกฯ เพียงแต่ไม่ร้อนเท่าเท่านั้นเอง

พอเราหลุดออกจากเส้นทางนั้นก็มาโผล่ตรงกลางระหว่างสองหมู่บ้าน เอางัยดี??? ไม่ยากเลย เราก็เลือกทางที่เราไปในวันรุ่งขึ้น เลี้ยวขวาลงไปเล้ย คืนนี้ตั้งใจว่าคงต้องถามหรือขอชาวบ้านนอนใต้ถุนแน่ ๆ พอเราแวะซื้อเสบียงและน้ำ ลองถามแม่ค้าดู เขาบอกว่าให้ไปถามผู้ใหญ่บ้าน ถามไปถามมาได้ความว่าเป็นผู้ใหญ่บ้านผู้หญิง ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นค่ะ เก่งนะค่ะ ยืนคุยกับผู้ใหญ่บ้าน คุยไปคุยมาปรากฎว่าลูกสาวอีกคนแต่งงานไปกับคนสวีเดน โอ๊ะ..โลกช่างกลม ผู้ใหญ่บ้านจัดการสั่งลูกหลานให้เอาน้ำเย็นเอาข้าวมาเสริฟให้ มีน้ำให้อาบ ค่ำหน่อยเอาพัดลมมาให้ 2 ตัวเพราะช่วงนั้นยังร้อนอยู่ นอนกันสบายไปเลย เช้าตื่นขึ้นมา น้องยังเอากาแฟมาเสริฟให้ ก่อนออกจากบ้านผู้ใหญ่บ้านเราเลยขอถ่ายรูปเสียหน่อย เราร่วมทำบุญสร้างหอระฆังกับชาวบ้านด้วย ผู้ใหญ่บ้านแนะนำให้ไปเส้นทางลัด ปั่น ๆ ไป เอ … ท่าทางเส้นทางลัดคงจะแย่ เห็นทางเข้าทางลัดนั้นแล้วไม่อยากปั่นเข้าไปต่อเลย ถ้าเรามีเวลาจะไม่เกี่ยงเลยค่ะ เลยเบนเข็มไปที่เส้นทางที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย นั่นคือ เส้นทาง 3 หลัก ช่วงนี้รถรายังไม่ค่อยมากมายสักเท่าไหร่นัก เรามุ่งหน้าสู่อำเภออุบลรัตน์ แล้วก็ปั่นกันมาเรื่อย จนได้เวลาอาหารเที่ยง เราดันมาอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ เลยหาร้านอาหารตามสั่งไม่ได้ จะไปทางลัดคงอดอยากเลยต้องออกมาทางถนนใหญ่ ลดลงมาเป็นเส้นทาง 2 หลัก รถเริ่มเยอะ แต่ไหล่ทางยังกว้างขวางดีอยู่ พอเห็นไก่ย่างก็รีบหยุดเลยเพราะกลัวจะหาไม่มีให้กินต่อไป กินเสร็จเขาก็ปิดร้านเลยเราเป็นลูกค้าสามคนสุดท้าย เกือบไปแล้ว

ศาลาท่ี่เราได้อาศัยนอน

ศาลาท่ี่เราได้อาศัยนอน

ปั่นมาถึงอำเภอ บ้านแท่น ก็ได้เวลามองหาที่พัก ก่อนที่จะมาถึงบ้านแท่นเราเห็นรีสอร์ตเพียบเลยนะตามรายทาง แต่พอเข้ามาในอำเภอกลับไม่เห็นที่ที่น่าอยู่สักที่ มาถามที่แรก เต็ม! เขาแนะนำให้ไปอีกกิโลนึง ไปถึงเห็นป้ายเก่า ๆ เลยไม่อยากอยู่ ตั้งใจว่าจะปั่นไปหาที่กางเต้นท์ แต่พอปั่นมาได้หน่อยเห็นสถานีตำรวจ สถานที่กว้างขวางมาก เลี้ยวเข้าไปถามดีกว่า เห็นนายตำรวจอยู่สองคนหน้าตึก ถามปุ๊บเขาก็บอกว่าได้เลย กางตรงไหนก็ได้ แต่อีกคนเป็นรองผู้กำกับฯ เขาลองโทรคุยกับผู้กำกับดู ปรากฎว่าผกก.เปิดห้องทำงานให้เรานอนเลยมีห้องอาบน้ำ มีแอร์ มีน้ำชาและกาแฟให้พร้อม สถานีตำรวจ 5 ดาว เพื่อนคนโปแลนด์เขาไปพักที่ปั้มน้ำมัน เขาบอกเราว่านี่ทำให้เขานึกถึงตุรกี แสดงว่าปั้มเมืองไทยเราน่ารักมากเลยนะเนี่ย เพราะตุรกีขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ต้อนรับแขกผู้มาเยือนอย่างดีและเต็มที่

กำลังคุยกับรองผู้กำกับการ นายตำรวจทุกคนน่ารักกันหมดเลย

กำลังคุยกับรองผู้กำกับการ นายตำรวจทุกคนน่ารักกันหมดเลย

วันรุ่งขึ้นเราปั่นกันไปเรื่อย ๆ ได้ติดต่อกับพี่สมพิศตลอดเวลา และได้ข่าวมาว่าจะมีนักปั่นหนึ่งท่าน (คุณลุงกุศล) จะมาร่วมปั่นด้วยจากโคราชไปปากช่อง เวชพยายามอัพเดทในเวบของไทยเอมทีบี และเขียนขออภัยกับคุณลุง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้เข้าไปดูเพราะปั่นอยู่ ปั่น ๆ ไป เอ๊ะ..มีนักปั่นอยู่ข้างทาง เลยแวะคุยกันตามธรรมเนียม อ้าว..กลายเป็นคุณลุงกุศลนั่นเอง คุณลุงมาดักรอเราหลังจากที่เข้าไปดูที่เวชอัพเดทไว้ น่ารักมากเลย คุณลุงเกษียณแล้ว ปั่นจักรยานเป็นงานอดิเรกไป คุยสนุกและแข็งแรงมากด้วย คุณลุงปั่นไปส่งเราถึงทางแยก เราแยกไปอำเภอท่าหลวง ส่วนคุณลุงแยกปั่นกลับบ้านไปทางปากช่อง คุณลุงถึงบ้าน 18.30 มืดพอดี แต่คุณลุงพร้อมเสมอ เพราะเอาไฟหน้าไฟท้ายติดตัวมาด้วย

ขอบคุณคุณลุงกุศลค่ะที่อุตส่าห์ปั่นอ้อมมาดักพวกเวชน่าประทับใจมากเลยค่ะ

ขอบคุณคุณลุงกุศลค่ะที่อุตส่าห์ปั่นอ้อมมาดักพวกเวชน่าประทับใจมากเลยค่ะ

ถ่ายรูปกับกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้า

ถ่ายรูปกับกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้า

SONY DSC

จากอำเภอท่าหลวงเราปั่นมาทางท้ายเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ถนนช่วงนี้ปั่นสนุกมากเพราะลงมากกว่าขึ้น แล้วเราก็ปั่นข้ามสะพานท้ายเขื่อนข้ามมาถึงตลาดปลา ตอนอยู่กลางสะพานเวลาก็ใกล้จะมืดเต็มที ได้คุยกับน้องที่มาตกปลากัน เขาบอกให้ไปที่ตลาดปลา กินข้าว แต่เขาหารู้ไม่ว่าพวกเรากินเสร็จก็ขอเจ้าของร้านกางเต้นท์นอนที่หน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ข้างน้ำเลย ได้นอนดูดาวฟังเสียงจิ้งหรีดเรไร ช่างเพลินอะไรเช่นนี้ จากท้ายเขื่อนเราปั่นเลาะเฉียด ๆ มาทางสระบุรี เส้นทางนี้มีแต่รถใหญ่ ๆ วิ่งฝุ่นเพียบเลย แต่เราก็เข้ามาถึงกรุงเก่าของไทยเราได้สำเร็จ ใกล้กรุงเทพฯ เข้ามาอีก

จุดกางเต้นท์ที่นี่ปลอดภัยที่สุดเลย เพราะมีน้องหมาเป็นโขยงคอยเป็นยามให้เรา

จุดกางเต้นท์ที่นี่ปลอดภัยที่สุดเลย เพราะมีน้องหมาเป็นโขยงคอยเป็นยามให้เรา

กำลังจะออกจากร้านกาแฟ ก็มีน้องคนนึงมาคุยด้วยและขอให้ไปถ่ายรูปตรงสถานที่ที่เขาคิดว่าสวยคือที่นี่

กำลังจะออกจากร้านกาแฟ ก็มีน้องคนนึงมาคุยด้วยและขอให้ไปถ่ายรูปตรงสถานที่ที่เขาคิดว่าสวยคือที่นี่

จีน => จาก Mengla (เมงล่า) เข้าลาวไปหลวงพระบางถึงเวียงจันทน์

บล๊อคนี้มาข้ามประเทศเลยละกันนะค่ะ ตั้งแต่เข้าเขตมณฑลสิบสองปันนา รู้สึกสดชื่นเพราะทั้งร่มร่ืนและผู้คนท่ีน่ารักร้องทักทายตลอดทาง เราเลือกเส้นทางท่ีเลียบกับทางด่วนและเลือกไม่ผิด รถราก็น้อยมาแทบจะไม่มี ไม่ต้องปั่นลอดอุโมงค์ เขาสูงก็จริง แต่ธรรมชาติเทียบกันไม่ได้ และยิ่งมีกเรต้ามาป่ันร่วมทางด้วย สมควรท่ีจะปั่นบนทางธรรมดา ปั่น ๆ อยู่ก็มาเจอจักรยาน Recumbent Paul = พอล เป็นชาวฝรั่งเศส เขาบอกว่าเห็นเราแล้วเลยหยุดเพื่อท่ีจะทักทายกัน เป็นคนฝรั่งเศสท่ีพูดภาษาอังกฤษได้คล่องอย่างไม่น่าเชื่อ 😉 เราเลยปั่นร่วมกันจนมาถึงเมืองหนึ่ง จากนั้นตอนเช้าเขาต้องรีบไปขึ้นรถทัวร์เพราะวีซ่าจีนของเขาหมดอายุ ก็แยกกันวันนั้น

ได้กเรต้ามาเป็นทั้งเพื่อนร่วมทางและช่างกล้องด้วยเลย
IMG_2812

ระหว่างทางและหมู่บ้านริมทางท่ีค่อนข้างเรียบง่าย
IMG_2807

เราแวะดื่มน้ำกัน กเรต้าเห็นผลไม้หล่นอยู่ท่ีพื้น สงสัยเลยเอาขึ้นมาแกะออกดู ปรากฎว่ามันเป็นเสาวรส อร่อยดีไม่เปรี้ยวเท่าไหร่ ไม่รู้เลยนะนี่ว่าต้นมันจะใหญ่ขนาดนี้ ในท้องตลาดเราจะเห็นเปลือกมันเป็นสีเข้ม ๆ เหี่ยว ๆ
SONY DSC

อย่างท่ีเคยเล่าให้ฟังว่าสิบสองปันนาให้ความรู้สึกเหมือนถึงเมืองไทยแล้ว ทั้งคนและบรรยากาศ มาถึงตรงนี้ต้องทั้งสถาปัตยกรรมด้วย ประตูทางเข้าหมู่บ้านและศาลาพักร้อน
SONY DSC

ตลอดทางมานี่ ถ้ามีเวลาคงได้ถ่ายรูปกันจนการ์ดความจำเต็มแน่ ตอนปั่นขึ้นก็รู้สึกเหนื่อย จราจรท่ีไม่คับคั่งทำให้เราสามารถปั่นไปคุยกันไปได้ แถมอยากจะหยุดทำธุระส่วนตัวหรือชมวิวตรงไหนก็ได้เช่นกัน ตอนอยู่ท่ีจีน นึกปวดก็หยุดและหาท่ีแถว ๆ นั้น แต่อยู่ตรงนี้รู้สึกเกรงใจชาวบ้านนิดหน่อย เพราะท่าทางเขาถึือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ควรปกปิดบ้างไม่เหมือนคนจีน นึกจะนั่งก็นั่ง ขนาดมีต้นไม้ใหญ่ท่ีสามารถช่วยบังให้ได้ เขายังไม่ยอมใช้บริการนั้นเลย เราก็อยากจะปกปิด แต่ทางตรงนี้ก็หาท่ีทางยากหน่อย เพราะด้านหนึ่งเป็นเขา อีกด้านหนึ่งเป็นเหว อาศัยว่ารถน้อยก็ค่อยยังชั่วหน่อย

นาน ๆ ทีจะมีรูปคู่ ต้องขอบคุณกเรต้าท่ีมาร่วมวงกับเรา
IMG_2877

ยิ่งใกล้ชายแดน ป้ายบอกทางท่ีเป็นภาษาจีนก็ค่อยลางเลือนไป กลายเป็นภาษาไทยและลาว
SONY DSC

ถ่ายรูปกับชายแดนเสียหน่อย และตรงนี้เองท่ีเวชเปลี่ยนหนังสือเดินทางจากสวีดิชเป็นไทย คนไทยเข้าลาว ถ้ามีหนังสือเดินทางไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และสามารถอยู่ได้ถึง 1 เดือน
IMG_2907

กเรต้าอยากลองนอนวัด หลังจากผ่านชายแดนเข้ามาแล้ว พอมาถึงหมู่บ้านน้ำมอ เราเห็นวัดอยู่แห่งหนึ่งแต่ต้องปั่นขึ้นเขาไป เลยลองไปอีกวัดหนึ่ง แต่พอเดินขึ้นบันไดท่ีหลายขั้นพอเมื่อย ไปถึงก็ได้รู้จากเด็ก ๆ ว่าวัดปิดและไม่รู้จะเปิดอีกเมื่อไหร่ เลยเดินลงมาและไปนอนท่ีเกสต์เฮาส์แทน
IMG_2926

ท่ีพักท่ีแรกในลาว เจ้าของท่ีพักเขามีลูกอยู่ 4 คนเรียนกันดี ๆ ทั้งนั้น แถมยังมีสวนยางอีกตั้ง 20,000 ต้น เลยบอกเขาว่าเขารวยกว่าเราอีกลดค่าห้องอีกละกัน 😉
IMG_2929

อาหารไทย-ลาวมื้อแรก รสสาดไทยแท้ มื้อนี้สั่งพื้น ๆ ไข่เจียว ผัดผักและแกงจืด ข้าว 3 จาน พอคิดเงิน 80,000 กีบ เป็นเงินไทย = 320 บาท คิดว่าแพงนะ ถ้าเราไปกินตามต่างจังหวัดบ้านเราไม่น่าจะถึง ข้าวผัดจานหนึ่งราคา 15,000 กีบ = 60 บาท จานนี้ผัดกะไข่ไม่มีหมูไก่นะ
SONY DSC

เช้า ๆ อากาศเย็นเหมือนกันนะ ยิ่งต้องปั่นขึ้นเขายิ่งเย็น แต่พอพระอาทิตย์ขึ้นก็ร้อนแต่ยังไม่ร้อนแสบผิวเหมือนบ้านเรา ช่วงกลางวันก็มาเจอเด็ก ๆ เดินกลับบ้านมากินเท่ียงท่ีบ้าน
IMG_2934

ได้ยินเสียงใครร้องทักอยู่ข้างหลัง อ้าว..นักปั่นอีกคน ชาวฝรั่งเศส ชื่อ ฟรองซัว ลืมเล่าให้ฟัง เราเจอเขาครั้งหนึ่งท่ีชายแดนจีน-ลาว แต่ตอนนั้นคิดว่าคงใช้เวลา เพราะเขามาตอนท่ีเราได้วีซ่ากันแล้ว เลยปั่นกันออกมาโดยท่ีไม่ได้รอเขา และระหว่างท่ีปั่นก็คิดว่าเขาน่าจะตามเราทัน แต่ไม่อ่ะ มาเจอกันอีกทีตอนเช้า เราเลยปั่นกันเข้าเมืองอุดมชัย เขาพูดภาษาอังกฤษไม่คล่องเท่า ”พอล” ท่ีเราแยกกันท่ีเมืองจีน ฟรองซัวเขาเห็นเราเขาก็รีบตามมาทั้ง ๆ ท่ีกำลังยืนรอแลกเงิน เงินยังแลกไม่ได้แต่ดันตามเรามา เขาบอกให้เรารอ แต่เราไม่มีเวลามากขนาดนั้น เลยบอกให้เขาไปแลกท่ีอีกเมืองหนึ่งก็ได้ ปั่น ๆ ไปหันมาขอน้ำ เอ้า..เทให้ไป ปั่น ๆ ไปหันมาบอกว่าหิว เอ้า..เอาขนมไปกิน กินเสบียงฉันเกือบหมดเลย ทีนี้เราก็หิวเลยต้องหยุด อีตานี่ไม่มีเงินอีก มันเดินทางยังงัยของมันนี่ ไม่มีเงิน ไม่มีอาหาร แถมไม่มีเงินอีก เอ้า..ออกให้ก่อนก็ได้ มื้อนี้กินกันเกือบสองแสน

SONY DSC

ท่ีจริงเขาปั่นเร็ว เราก็ปล่อยให้เขาปั่นของเขาไปส่วนเราปั่นกันไปเรื่อย ๆ เขาหยุดรอ ปรากฎว่าเขาอยากมีเพื่อนปั่นเพราะไม่ได้ปั่นร่วมกับใครมานานเป็นเดือน ประมาณว่ากลัวน้ำลายบูด เข้าใจเลยอ่ะ เพราะเขาพูดไม่หยุด แค่ฟังยังเหนื่อย พอถึงเมืองอุดมชัย เราเห็น ATM เลยไล่ให้ไปกดตังค์ ถามนะว่าอัตราแลกเปลี่ยนเท่าไหร่ พอเดินกลับมากดมาแค่ 20,000 (สองหมื่นกีบ) เอ้า ๆๆ ท่ีกินไปนะเกือบสองแสน เงินสองหมื่นได้กาแฟ 4 ถ้วยเองนะเว้ย ค่าธรรมเนียมท่ีกดสองหมื่นออกมาน่าจะแพงกว่าเงินท่ีได้อีกละมั้ง มันบ้า!!! เราเลยขอตัว จริง ๆ ก็คิดว่าจะปั่นไปอีกหน่อยเพื่อย่นระยะทางเข้าหลวงพระบาง แต่เผอิญเห็นวัดอยู่ข้างทาง เลยลองเดินขึ้นไปขอกับเจ้าอาวาส ท่านก็อนุญาติให้นอน เลยขึ้นไปนอนบนหอระฆังชั้นสามเลย

IMG_2958

ก่อนหน้านั้นเคยคุยกับกเรต้าว่า ต้องมีสักครั้งหนึ่งท่ีเราต้องเอาตัวลงไปจุ่มในแม่น้ำโขง และวันนั้นเองเราได้ทั้งนอนวัดและได้อาบน้ำในแม่น้ำโขง สมใจเราทั้งสองประการ ดีใจท่ีสามารถจัดให้กเรต้าได้สมใจ

SONY DSC

วัดในตอนเช้า

SONY DSC

ถ่ายรูปกับเณรด้านหน้าโบสถ์

IMG_2989

วันนี้เราปั่นกันเรื่อย ๆ ตามสไตล์ เห็นป้ายบอกทางเข้าน้ำตกแค่ 200 เมตร เอ๊ะ..มีเวลาเหลือนี่ ลองเดินเข้าไปดูกัน เป็นน้ำตกเล็ก ๆ ระหว่างทางท่ีเดินเข้าไปเห็นงูด้วย ตามถนนก็เห็นงูแผ่นอยู่หลายแผ่นเหมือนกัน ทั้งท่ียังสด ๆ และท่ีแห้ง ๆ

SONY DSC

เดินกลับมาท่ีจักรยานท่ีฝากเขาไว้ ฝากจักรยานเขาก็เลยอุดหนุนซื้อน้ำกับเขา จ๊ะเอ๋กับคนฝรั่งเศส ไม่ใช่ฟรองซัวแต่เป็นพอล และพอลก็ได้เจอกับฟรองซัวท่ีเมืองอุดมชัยท่ีเราแยกกับเขาด้วย ก็เลยร่วมทางกันอีกครั้งหนึ่ง สู่หลวงพระบาง

SONY DSC

โฉมหน้าของหนุ่มน้อยพอล

SONY DSC

พอมีกเรต้ามาร่วมปั่นด้วย การเตรียมตัวของเราก็เปลี่ยนไป จากท่ีเคยตุนสารพัดกลับไม่มีอะไรสักอย่าง เวรกรรม!!! วันนี้เราว่าจะหาซื้อแต่ไม่มีร้านใหญ่ ๆ เหมือนในเมืองจีน ปั่นผ่านหมู่บ้านหนึ่ง เห็นสาวม้งเดินออกมา เลยถามเขาว่าทางข้างหน้ามีร้านขายข้าวมั้ย? เขาบอกว่าไม่มี เวลาก็เริ่มสายแล้วนะ เลยขอให้เขาทำข้าวผัดให้กิน สาวม้งอายุแค่ 18 ปีมีลูก 2 คนเล็ก ๆ เราก็รีบลูกเขาก็ร้อง เลยเข้าครัวเองเสียเลย กินกันตามมีตามเกิดนะเพื่อน ๆ

IMG_2998

วิวระหว่างทางไปหลวงพระบาง
SONY DSC

IMG_3030 2

ในท่ีสุด เราก็มาถึงหลวงพระบางครั้งท่่ีสองหลังจากเมื่อ 8 ปีท่ีแล้ว เปลี่ยนไปมากมาย นักท่องเท่ียวมากขึ้น ท่ีพัก เกสต์เฮาส์ ร้านอาหารก็ทำกันอย่างแปลกแหวกแนว ไม่ใช่สไตล์ลาวเลย และนี่คือท่ีพักเรา ชอบนะเพราะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน เข้าซอยลึกหน่อยแต่ทำให้ไม่ได้ยินเสียงจากรถจากท้องถนน สงบติดแม่น้ำคาน

SONY DSC

และก็ถึงวาระท่ีจะได้พบกับบาเทคอีกครั้งหนึ่ง

SONY DSC

อยู่ในหลวงพระบางเราไม่ได้ไปในสถานท่ีท่ีเป็นสถานท่ีท่องเท่ียวในหนังสือแนะนำ เราพักผ่อนกันเสียส่วนใหญ่ ปั่นจักรยานออกไปดูบ้านเมืองตามซอกตามซอยด้านนอก เห็นอะไรท่ีแตกต่างจากใจกลางเมือง เสร็จแล้วก็ไปนวดตัวนวดเท้า ไปหาอะไรกิน และยังปั่นผ่านห้องสมุดของหลวงพระบางด้วย ต้องถ่ายรูปเสียหน่อย

IMG_3066 2
IMG_3059 2
SONY DSC

และป้ายคนข้ามถนนท่ีดูแตกต่างไปจากท่ีเคยเห็น ๆ มา
SONY DSC

วันเสาร์บ่ายสามโมงเราไปส่งกเรต้าขึ้นเครื่อง ร่ำลากันเรียบร้อยก็กลับมาที่โรงแรมจัดการกับสัมภาระ เมื่อคืนมีข่าวว่าพายุไต้ฝุ่นไหเยี่ยนเข้าที่ฟิลิปปินส์ และมีแนวโน้มว่าจะพัดเข้าลาวตอนเหนือในอีกวันรุ่งขึ้น เราก็ไม่อยากติดพายุอยู่ที่ลาวนี่เลยรีบกัน โชคดีที่พายุอ่อนแรงลงและพัดมาไม่ถึงลาวแต่เข้าเวียตนามแทน ทำให้วันนั้นเราปั่นกันอย่างร่มรื่นเพราะมีเมฆหมอกมาบังพระอาทิตย์ให้ เรารู้ว่าเราจะต้องไต่ข้ึนลงเขาอย่างน้อย 2000 เมตร เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่ที่ไม่ได้เตรียมคืออากาศที่ร้อน คิดว่าที่อุซเบกฯ 45-50 องศา ร้อนสุด ๆ แล้วนะ แต่ทำไมที่ลาวถึงได้ร้อนกว่านัก คิดว่ามันร้อนแบบกระทันหันกระมัง จากคุนหมิงที่หนาว ๆ 10-15 องศา พอมาถึงนี่พุ่งพรวดเป็น 30 องศา เช้า ๆ อากาศกำลังสบาย แต่พอแดดออกก็ร้อนมาก

กราฟความชันของภูเขาที่ปั่นออกจากหลวงพระบาง

กราฟความชันของภูเขาที่ปั่นออกจากหลวงพระบาง

ถ้าเพื่อน ๆ ยังไม่เคยมาปั่นที่ลาว ขอแนะนำนะค่ะ ลาวสวยมาก ขุนเขามากมาย ถนนจะชันกว่าที่เมืองจีน ขึ้น ๆ ลง ๆ เกือบตลอดทาง ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส ทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่ร้องทักสวัสดี ปั่นไปยิ้มไป มีที่ประทับใจคือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินกลับจากไปซื้อขนมมั้ง มือข้างหนึ่งถือถุงขนมอีกข้างหนึ่งถือร่ม พอเราปั่นมาใกล้ เด็กน้อยคนนี้เขาเอาร่มมาเหน็บที่คอแล้วเอามือที่เคยถือร่มมาโบกมือทักทายเรา น่ารักจริง ๆ อีกครั้งหนึ่งคือเด็กผู้ชาย กำลังเล่นเอาไม้ยาว ๆ เขี่ยอะไรอยู่ที่พื้น เขาทักทายเราโดยย้ายไม้ยาว ๆ นั้นไปอยู่ในมืออีกข้างหนึ่งแล้วโบกมือให้เรา เมื่อวันก่อนเวชมีถุงขนมเหน็บไว้ที่ท้ายรถ มีเด็กปั่นจักรยานสองคนมา เห็นแค่ถุงเขาสามารถรู้ได้ว่าเป็นขนม ร้องขอ เวลาที่เขาขอเราไม่ค่อยอยากให้อ่ะ และมีบางครั้งที่มีเด็กร้องขอเงิน แต่ไม่บ่อยเท่าเพื่อนคนโปแลนด์เจอ เขาถึงกับเบื่อเลย

จากหลวงพระบางไปเวียงจันทน์ระยะทาง ประมาณ 380 กม.พวกเรากะผิดไปหน่อย underestimate ดีที่พายุมาช่วยเร่งเราไม่อย่างนั้นคงเอ้อละเหยลอยชาย โดยเฉพาะเวช 😉 ก่อนกเรต้าเดินทางกลับ ท้องเสียและวันต่อมาก็มีไข้ กินยาเข้าไปก็เลยรู้สึกดีขึ้น แต่พอเราปั่นออกมาถึงหมู่บ้านกิ่วกะจำ โจคิมเริ่มรู้สึกเหมือนจะเป็นหวัดและต่อมาก็เริ่มมีไข้เช่นกัน เลยต้องจอดรอดูอาการอยู่ที่โรงแรมง่าย ๆ ที่หมู่บ้านนั้น ต้องกินยาล่ะ วันรุ่งขึ้นดีขึ้นทันตา อึดเหมือนกันนะเนี่ย สามีใครหว่า 😉 ปั่นขึ้นภูคูนกัน ทางสวยมาก หารายละเอียดเกี่ยวกับภูคูนไม่ได้ เลยไม่รู้ว่าเขาไปเที่ยวอะไรกัน นอกจากปั่นมาถึงตรงที่เขาทำที่จอดให้ชมวิว ได้ถามไกด์สาวคนหนึ่งเขาบอกว่าเขาที่เห็นนั่นคือ ภูเพียงฟ้า

SONY DSC

SONY DSC

หลังจากจุดชมวิวนั้นก็ไหลลงมาอย่างสนุก ถนนพับไปพับมา รถราเริ่มเยอะเพราะใกล้สถานที่ท่องเที่ยวละมั้ง แต่ไม่เยอะอย่างที่คิดว่าจะไม่ปลอดภัย หลังจากนั้นเราก็ตั้งหน้าตั้งตาปั่นกันอย่างเพราะกลัวว่าจะเข้าเวียงจันทน์ไม่ทันไปยื่นขอวีซ่า อากาศที่ร้อนเลยไม่ค่อยอยากอาหาร อีกอย่างโจคิมรู้สึกอึดอัดที่ท้อง เขาไม่ค่อยอยากอาหารเข้าไปอีก เวชเลยต้องรับช่วงจัดการจานของเขาด้วย 😉 จากหมู่บ้านกิ่วกะจำ เราตั้งใจจะปั่นไปให้ไกลหรือเท่าที่เวลาจะอำนวย แต่กลายเป็นว่าเท่าที่ร่างกายจะอำนวย เพราะโจคิมเริ่มรู้สึกเหนื่อยและไม่ไหว เราด้วย เลยลองแวะถามน้องที่ร้านขายน้ำปั่นข้างทาง ถามหาที่พัก น้องว่าเลยมาแล้วหรือไม่อย่างนั้นก็ต้องปั่นไปอีก 25 กม. ได้ยิน 25 กม.ก็หมดลม เลยขอน้องดื้อ ๆ ว่าขอนอนข้าง ๆ บ้านตรงที่ว่าง ๆ นั้นได้มั้ย มารู้ชื่อทีหลังว่าชื่อ ปานี น่ารักมากเลย ปานีบอกว่าเข้าไปนอนในบ้านเลยก็ได้

เห็นปานีแล้วทำให้นึกถึงน้องอาร์มแต่เสียงหัวเราะนึกถึงน้องณัฐ เจ้าหนูน้อย ”วา” ไม่รู้กลัวอะไรป้าเวช เห็นหน้ากันเป็นร้อง แต่เช้าอีกวันเริ่มยิ้มให้นิด ๆ นิดเดียวเอง ให้นอนแล้วยังทำอาหารเลี้ยงอีก ปานีกลัวว่าเขาจะทำอาหารได้ไม่อร่อยถูกปาก เลยจะให้เวชทำ แต่ทำไปทำมาก็กลายเป็นปานีที่ทำ

SONY DSC

เช้ามาเราออกกันแต่เช้า ปานียังอุตส่าห์ต้มไข่หุงข้าวเหนียวให้เอาไปกินระหว่างทางอีกด้วย น่ารักจริง สักวันหนึ่งจะกลับไปเยี่ยมอีกครั้งหนึ่ง จากบ้านของปานีอีกตั้งเกือบ 200 โลเข้าเวียงจันทน์ ครั้งนี้เราเอาเวลามาเป็นตัวกำหนด จอดพักไม่นาน ช่วงนี้ไม่ค่อยอยากอาหารเพราะร้อน พักที่ไหนก็น้ำดื่มเย็น ๆ ทำถุงแขนและถุงมือให้เปียก เปียกแล้วปั่นสบายหน่อย เย็นนิด ๆ ช่วงนี้พระอาทิตย์ตกดินเวลา 17.30 มีหมู่บ้านแน่นขึ้น ทำให้เราหาที่พักได้ไม่ยาก เลยพยายามปั่นกันไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมืดเลยว่างั้นเหอะ

SONY DSC

ตื่นกันตั้งกะตีห้า ออกจากที่พักกันยังไม่สว่างเลย เพราะเหลืออีก 50 โลที่จะปั่นเข้าเวียงจันทน์ เราอยากจะยื่นเรื่องขอวีซ่าและอยากได้หนังสือเดินทางคืนวันศุกร์เพื่อที่จะปั่นข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเช้าวันเสาร์ ขาเข้าเวียงจันทน์ทางเริ่มราบเรียบขึ้นลงเล็กน้อย ลาวทั้งน่าเที่ยวและน่าปั่น แต่ติดที่ว่าค่าครองชีพเขาค่อนข้างสูงเนอะ ผัดผักรวมราดข้าวที่กินเมื่อกลางวันนี้ราคา 20,000 กีบ = 80 บาท ท่าทางไปซื้อของสดมาทำน่าจะถูกกว่าเยอะ ลาวเป็นประเทศที่ไม่อยู่ติดทะเล ภาษีขาเข้าเลยสูงคงอย่างนี้แหละเนอะ

SONY DSC

ตอนปั่นเข้าเวียงจันทน์ ช่วงที่ติดไฟเขียวไฟแดง ว้าว…ไม่ได้ติดไฟแดงมานานแสนนาน แล้วจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียง ”ฮัลโหล” ดังมาจากด้านหลัง เอ่…หันไปก็เจอนักปั่นท่านหนึ่ง มาทราบชื่อทีหลังว่า ”ลุงโพ” คุณลุงเห็นเราปั่นผ่านหน้าบ้านเลยตามกันมา ปั่นมาส่งถึงหน้ากงศุลไทย คนเยอะมาก โจคิมเข้าไปยื่นเอกสาร ส่วนเราต้องรออยู่ด้านนอก เพราะเขาไม่ให้เอาจักรยานเข้าไป เลยได้ยืนคุยกับคุณลุงโพ ช่างแข็งแรงเสียจริงอายุเกือบจะ 70 ปี แล้ว ยังได้เคล็ดลับเรื่องสุขภาพมาด้วยอีกน่ะ

เมื่อ 8 ปีที่แล้วได้มาถ่ายภาพตรงนี้ แต่วันนี้มีเรา 2 คน ใกล้บ้านเข้ามาทุกที ตื่นเต้น ๆ ๆ
SONY DSC

จีน => จาก Kunming (คุนหมิง) ไปมณฑล Xishuangbanna (สิบสองปันนา)

หยุดอยู่ท่ีคุนหมิงยาวไปหน่อย ไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้น อืม..มีวันหนึ่งระหว่างทางท่ีปั่นเข้าคุนหมิง เราเห็นรถตำรวจคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง พอปั่นไปใกล้ ๆ ก็เห็กนักปั่นคนหนึ่งยืนอยู่กับตำรวจอีก 4 คน คุยกันได้แป๊บนึง เพราะเวลาเราน้อยลงทุกที เพราะช่วงนี้มืดเร็ว หกโมงก็มืดแล้ว ตำรวจชวนคุยอีกและคะยั้นคะยอให้เราหยุดรอรถอีกคันหนึ่งเพื่อไปส่งเราในเมือง เขาว่าทางขึ้นเขาพวกเราปั่นไปยังไม่ทันถึงก็มืดแล้ว แต่เรายืนยันว่าเราปั่นได้แค่ 20 โลเอง สุดท้ายเขาก็ปล่อยเราและนักปั่นจากเยอรมันให้ปั่นกันไป สรุปแล้ว ตำรวจเขาถูก เพราะยังไม่ทันถึงตัวเมืองก็มืดสนิท แถมไฟหน้าโจคิมดันใช้ไม่ได้อีก โชคดีท่ีเจอเพื่อนคนเยอรมันคนนี้ ไม่อย่างนั้นคงได้กางเต้นท์อยู่นอกเมืองแน่ คืนนั้นฝนตกหนาวมากช่วงท่ีไหลลงจากเขา พอเข้าเมืองหยุดตรงสี่แยกก็เห็นป้ายโรงแรม เดี๋ยวนี้เห็นป้ายแล้วรู้ทันที เดินเข้าไปถาม ท่ีแรกก็ได้เลย ห้องก็ดูดี ถูกด้วย เราเห็นว่าถูกเนอะ ก็เลยไม่ได้ถามถึงอาหารเช้าและอินเตอร์เนต ว้าว … มีทั้งสองอย่างเลยเขาเดินขึ้นมาบอกถึงห้องเลย งงเล็กน้อย

วิวข้างทางก่อนถึงคุนหมิง ช่วงเข้าคุนหมิงไม่่ค่อยมีรูปเพราะฝนตกเกือบทุกวัน ได้ไม่กี่ภาพช่วงครึ่งวันท่ีฟ้าเปิด ;-)

วิวข้างทางก่อนถึงคุนหมิง ช่วงเข้าคุนหมิงไม่่ค่อยมีรูปเพราะฝนตกเกือบทุกวัน ได้ไม่กี่ภาพช่วงครึ่งวันท่ีฟ้าเปิด 😉

นักปั่นชาวเยอรมันชื่อ ”ลุดวิค” เขาน่าจะ 50 กว่า ๆ เป็นผู้ใหญ่น่ารักแต่เราคุยกันไม่รู้เรื่อง เขาพูดภาษาอังกฤษแทบจะไม่ได้ โจคิมต้องคุยแบบผสมอังกฤษกับเยอรมัน บทสนทนาท่ีโต๊ะอาหารเวลานั่งกินข้าวกัน ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้กันและกัน กลายเป็นว่าเขารู้จักคนเยอรมันคู่นั้นท่ีเราเจอตอนท่ีเราไปต่ออายุวีซ่า โลกจักรยานมันกลม ๆ เหมือนล้อจริง ๆ 3 วันท่ีปั่นเข้าคุนหมิงรู้สึกทรมานมาก ทั้งหนาวและเปียกแฉะ ยังดีท่ียังพอหาท่ีนอนได้โดยท่ีไม่ต้องกางเต้นท์ คืนแรกนอนโรงแรม คืนท่ีสองนอนท่ีพักแรมของพวกขับรถบรรทุกและเป็นท่ีพักท่ีถูกท่ีสุดในจีนเท่าท่ีเคยพักมาในระยะเวลาเกือบ 3 เดือน

อีกมุมหนึ่งระหว่างทางไปคุนหมิง

อีกมุมหนึ่งระหว่างทางไปคุนหมิง

ลุดวิคจองห้องพักใน Booking.com เขาชวนเราไปอยู่ด้วย เกรงใจเลยตอบโอเค ระหว่างทางท่ีปั่นไปหาท่ีพักท่ีจองไว้ ก็รู้สึกว่านี่มันออกนอกเมืองมากไปแล้วนะลุง พอถึงก็หาไม่เจออีก เพราะมันไม่ใช่โรงแรม มันเป็นอพาร์ตเมนท์ปล่อยให้เช่า กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง กว่าจะได้กุญแจ ยืนสั่นดิก ๆ เลย เพราะเปียกมาตลอดทั้งสามวัน พออาบน้ำเสร็จ เอ่อ..แจ็กเก็ตเปียก เสื้อผ้าส่วนใหญ่ก็เปียก รูมเซอร์วิสก็ไม่มีเนอะ แต่เห็นแม๊คโดนัลอยู่ใกล้ ๆ น่าจะวิ่งไปถึงก่อนท่ีจะเปียก ห้องท่ีจองไม่มีเครื่องทำความร้อน อาจจะเป็นเพราะว่าคุนหมิงมีอากาศหนาวไม่บ่อยและไม่นานมั้ง เขาเลยไม่มีติดตั้งไว้ หนาวมาก อยู่ในห้องต้องใส่เสื้อผ้าตั้งหลายชั้น แต่ก็ทนอยู่ได้ตั้งสามคืน 🙂 และวันนี้เองเราได้เจอเพื่อนคนโปแลนด์อีกครั้งหนึ่ง ”บาเทค” ปั่นไล่กันมาเรื่อย ตอนนี้เขาอยู่ข้างหน้าเราแค่ 100 โลเอง คงได้เจอกันท่ีหลวงพระบาง และท่ีคุนหมิงเช่นกัน ปรากฎว่าทนไม่ไหว ”ขอตัดผม” ก่อนออกจากสวีเดนเคยตั้งใจไว้ว่าจะไม่ตัดผมจนกว่าจะถึงบ้านท่ีเมืองไทย แต่ขี้เกียจสระผมเลยเดินเข้าร้านตัดผมทั้งสองคนเลย เบาหัวดี

ตึกอพาร์ตเมนท์ท่ี ”ลุดวิค” จอง เราแชร์กับเขาอยู่ชั้น 16 สูงท่ีสุดเท่าท่ีเคยอยู่โรงแรมในทริปนี้ล่ะ แต่เย็นเป็นท่ีสอง รองจาก ”ลัคมุซี่” (Langmusi)

ตึกอพาร์ตเมนท์ท่ี ”ลุดวิค” จอง เราแชร์กับเขาอยู่ชั้น 16 สูงท่ีสุดเท่าท่ีเคยอยู่โรงแรมในทริปนี้ล่ะ แต่เย็นเป็นท่ีสอง รองจาก ”ลัคมุซี่” (Langmusi)

เราดูพยากรณ์อากาศเห็นว่าอากาศจะดีวันพฤหัส งั้นเราออกวันนั้นกันดีกว่า พอปั่นออกมาได้หน่อย ทางเริ่มแย่ แย่ และแย่ลงเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่นั้นยังมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาด้วยคือจักรยานโจคิม เขารู้สึกว่ามันครืด ๆ ท่ีกะโหลก จะไปต่อก็ไม่รู้ว่าเมืองข้างหน้าจะมีร้านมีอะไหล่ให้เราซื้อหรือเปล่า จะกลับไปคุนหมิงก็เสียดายอากาศ อุตส่าห์รอจนอากาศดี แต่กลับดีกว่า เพราะยังงัยเราก็ต้องมารอลูกพ่ีลูกน้องของโจคิมชื่อ ”กเรต้า” ท่ีจะมาร่วมทางปั่นกับเราจากมณฑลสิบสองปันนาไปหลวงพระบาง กลับหลังหัน แต่เราไม่กลับไปท่ีอพาร์ตเมนท์นั้น เราไปท่ีเกสต์เฮาส์ ซึ่งดูจากภาพแล้วน่าอยู่่กว่ามีดาดฟ้าให้นั่งชมวิว และยังได้พบกับนักเดินทางคนอื่น ๆ ด้วย เราเจอนักปั่นสองคู่่จากฝรั่งเศส ก็ได้คุยกันนิดหน่อย

คุนหมิงกับแสงสีในเวลากลางคืน

คุนหมิงกับแสงสีในเวลากลางคืน

บ่ายของอีกวันหนึ่งโจคิมจะไปรับ ”กเรต้า” เวชรออยู่ท่ีเกสต์เฮาส์ หลังจากท่ีเดินไปส่งโจคิมขึ้นแท๊กซี่ก็เดินกลับมาท่ีพัก เจอพี่ ๆ คนไทยเป็นอาจารย์น่าจะปลดเกษียณกันทุกคนแล้วนะค่ะ มาเท่ียวกันเป็นครอบครัวและเพื่อน ๆ ดีใจได้เจอคนไทย หลังจากท่ีโจคิมกับกเรต้ามาถึง เราจัดการประกอบจักรยานซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากร้าน Bok Bok Bike น้องหมาท่ีน่ารัก บริการประกอบแพ๊คส่งให้ถึงมือ ไม่ได้หมาท่ี Bok Bok Bike ก็ไม่รู้ทำอย่างไรเหมือนกันนะเนี่ย ขอบคุณมา ณ ท่ีนี้ค่ะ

จักรยานพร้อม นักปั่นพร้อม (แต่ทำไมยังไม่ลืมตา) ออกเดินทางได้

จักรยานพร้อม นักปั่นพร้อม (แต่ทำไมยังไม่ลืมตา) ออกเดินทางได้

นับวันแล้วกเรต้ามีเวลาปั่นแค่ 10 วัน เพราะฉนั้นเราจึงต้องนั่งรถทัวร์ไปลงท่ีเมืองโมเจียง Mojiang เพื่อทำเวลาไม่อย่างนั้นคงได้นั่งรถบัสเข้าหลวงพระบางอีกแน่ แต่ก่อนไปท่ีสถานีรถทัวร์เราแวะไปท่ีร้านจักรยานก่อน เพื่อเปลี่ยนอะไหล่บางส่วนท่ี ”หมา” ส่งมาพร้อมกับกเรต้า เรียบร้อยแล้วเราปั่นออกมาแต่ปั่นกันได้แค่ 5-6 โล โซ่โจคิมขาด ต้องกลับไปร้านจักรยานอีก โชคยังดีท่ีโซ่ไม่ได้ไปขาดท่ีสถานีรถทัวร์หรือไกลกว่านั้น เรียบร้อยแล้วก็ไปขึ้นรถกันเป็นรถนอน ดีเหมือนกันนะ เป็นเตียงนอนสองชั้นเรียงกันสามเตียงตามขวาง จุได้หลายเตียง นอนกันไปกว่าจะถึงเกือบสี่ทุ่ม รถทัวร์เขาก็วิ่งบนทางด่วน แต่ถ้าเราปั่นเราต้องใช้ทางเล็ก ๆ ซึ่งเคยได้ sms จากบาเทคว่าถนนแย่มาก บางครั้งเขาต้องลงมาเข็นจักรยาน มีหลุมมีบ่อเพียบ แต่จากรถทัวร์ทางน่าปั่นแถมลงเขาอีกต่างหาก ไว้ไปปั่นเพิ่มเติมท่ีเมืองไทยชดเชยเอา 😉

หาถุงพลาสติคมาใส่เพิ่มท่ีขากันฝน ดูไม่เท่แต่ขอให้ใช้ได้เป็นพอ

หาถุงพลาสติคมาใส่เพิ่มท่ีขากันฝน ดูไม่เท่แต่ขอให้ใช้ได้เป็นพอ

พอไปถึงเมืองโมเจียง เช็คอินเรียบร้อยก็ลงไปหาอะไรกินกัน เดินตามถนนใหญ่เพราะคิดว่าร้านน่าจะเปิด แต่กลับกลายเป็นว่ามีร้านเปิดคึกคักมากมายอยู่ด้านหลังถนนใหญ่นั่นเอง ฝนยังคงตกอยู่อย่างสม่ำเสมอ เช้าขึ้นมาก็ยังตก เราเตรียมเอาถุงพลาสติคมาสวมเท้าก่อนใส่รองเท้า พอปั่นออกมาได้หน่อยทางเริ่มขรุขระ แถมเป็นโคลนดินดีท่ีไม่เหนียว ทั้งสองวันเราปั่นอยู่ในถนนท่ีค่อนข้างสมบุกสมบัน จักรยานเขรอะไปหมด โชคดีท่ีเจอบ้านคน เขาบอกให้เราไปล้างรถหน้าบ้านเขาก็ได้ สุดยอด เพราะถ้ารอให้มันแห้งคงล้างยากน่าดู ต่อ ๆ มา ก็เริ่มมีเสียงตรงนั้นตรงนี้ วันรุ่งขึ้นรถเวชเปลี่ยนเกียร์ไม่ได้เลย ต้องแกะต้องเปลี่ยนหยอดน้ำมัน สงสารจักรยาน บางครั้งอยากให้ถึงกรุงเทพฯ เร็วเหมือนกันเพื่อจักรยานเราได้พัก แต่ถ้าเราดูแลมันดีหน่อย มันก็คงอยากจะออกไปเท่ียวมากกว่าจะถูกจอดไว้เฉย ๆ นะ 🙂

น่าจะเป็นเพราะว่าฝนตก น้ำท่ีไหลมาจึงเป็นสีน้ำตาลข้น เชียวแหละ

น่าจะเป็นเพราะว่าฝนตก น้ำท่ีไหลมาจึงเป็นสีน้ำตาลข้น เชียวแหละ

ดูจากสภาพจักรยานแล้วสงสารมันเลย คงจะสำลักน้ำโคลนทรายคลั่ก ๆ นั้นไปหลายอึกทีเดียว เพราะเช้ามาเวชเปลี่ยนเกียร์แทบจะไม่ได้เลย

ดูจากสภาพจักรยานแล้วสงสารมันเลย คงจะสำลักน้ำโคลนทรายคลั่ก ๆ นั้นไปหลายอึกทีเดียว เพราะเช้ามาเวชเปลี่ยนเกียร์แทบจะไม่ได้เลย

ช่วงท่ีเราปั่นอยู่ในเขตสิบสองปันนานั้น มันให้ความรู้สึกเหมือนปั่นอยู่ทางภาคเหนือของเมืองไทยเลย เพียงแต่ทางปั่นขึ้นเขาไม่ชันเท่าบ้านเราเท่านั้นเอง บรรยากาศโดยรอบดูร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่, สวนกล้วย, ข้าวโพด, ต้นยาง และนาข้าวเต็มไปหมด ไม่มีพื้นท่ีไหนท่ีปล่อยว่างนอกจากท่ีเป็นป่า เราปั่นเข้ามาท่ีเมือง ๆ หนึ่ง ตอนแรกคิดว่าเราไม่มีน้ำและเสบียงเพียงพอท่ีจะตั้งแคมป์ เลยคิดว่าถ้าปั่นไปอีกหน่อยเจอร้านแล้วซื้อตุนไว้น่าจะดี แต่หาไม่เจอร้านท่ีไหนเลย ดูจากจีพีเอสเห็นว่าจะมีหมู่บ้านท่ีใหญ่ขึ้นมาหน่อย เอ้า..ลองไปดู ใกล้มืดเต็มที พอไปถึงก็มีคนบอกว่ามีโรงแรมนะ ที่เดียวด้วย เราเลยแวะเข้าไปดู มันเป็นเหมือนรีสอร์ต เพราะแถวนั้นมีวนอุทยานฯ ท่ีคนจีนเขามาเท่ียวกัน ช่วงเวลาท่ีเราไปถึงนั่นน่าจะไม่ใช่ฤดูท่องเท่ียวเพราะไม่เห็นมีใครมากมายนัก ได้เวลาอาหารเย็นเราเดินออกไปเห็นเขากำลังยืนย่าง ๆ อะไรอยู่เลยเดินเข้าไปดู ได้ยินเขาคุยกัน ฟังดูแล้วไม่น่าจะเป็นภาษาจีน อาจจะเป็นลาว เลยลองทัก ”สบายดี?” เขาตอบกลับมาว่า ”สบายดี” อ่ะ โห..ดีใจสุด ๆ ยิ้มแก้มแทบปรี และตั้งแต่คืนนั้นก็ไม่ต้องเอาไอโฟนออกมากด ๆ อีกเลย เพราะไม่มีปัญหาอีกต่อไปในเรื่องการสื่อสาร ระยะทางท่ีปั่นไปทางชายแดนระหว่างจีนและลาว เป็นทางเขาขึ้นลง แต่ทางสวยมากร่มรื่นผู้คนเร่ิมยิ้มแย้มทักทายมากขึ้น ตั้งแต่เราได้กเรต้ามาปั่นด้วยแล้ว เราหาท่ีกางเต้นท์ทั้งสองท่ีดูดี วิวสุดยอด พักในสถานท่ีท่ีน่าอยู่

จุดกางเต้นท์บนเขา ตอนเดินเข่้าไปหาท่ีกางเต้นท์ก็ไม่ทันดู พอเช้าถึงได้เห็นว่าเป็นสุสานนิ เลยเอาผลไม้วางไว้ ไม่ได้จุดธูปเขาจะรู้มั้ยเนี่ย ขออภัยมา ณ ท่ีนี้

จุดกางเต้นท์บนเขา ตอนเดินเข่้าไปหาท่ีกางเต้นท์ก็ไม่ทันดู พอเช้าถึงได้เห็นว่าเป็นสุสานนิ เลยเอาผลไม้วางไว้ ไม่ได้จุดธูปเขาจะรู้มั้ยเนี่ย ขออภัยมา ณ ท่ีนี้

จนกระทั่งเราปั่นมาถึงเมืองเมงล่า (Mengla) เหลือเวลาอีกแค่ชั่วโมงเดียวก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เราปั่นไม่ได้ระยะทางเท่าไหร่ แต่ก็ขี้เกียจปั่นออกไปหาท่ีกางเต้นท์ เลยมองหาโรงแรมแทน เราเข้าท่ีพักค่อนข้างเร็ว เลยได้เดินเล่นชมเมือง เย็นวันนั้นเองเรานั่งกินข้างสวนสนุกเคลื่อนท่ี ดูเหมือนเขาจะย้ายกันไปเรื่อย ๆ อยู่ตรงนี้ 2-3 อาทิตย์แล้วก็ย้ายไปอีกเมือง เดาเอานะค่ะ มื้อนี้เราได้กินอาหารท่ีไม่ค่อยจะจีนสักเท่าไหร่ สั่งสลัด เอารูปให้ดูด้วยนะ ในรูปมีทั้งหัวหอม มะเขือเทศ ผักชี แต่พอเขายกมากลายเป็นสลัดแตงกวามาแบบยำเลยอ่ะ รสชาติไทยแท้ ๆ

SONY DSC

จีน => จาก Songpan (สองพัน) ยาวมาถึง Kunming (คุนหมิง) เลย

อุ่ย..จากท่ีสะสมหลาย ๆ หมู่บ้านมาเป็นหลาย ๆ เมือง มาวันนี้ข้ามมณฑลเลย จากมณฑลเสฉวนมามณฑลยูนนานเลย ต้องขออภัยด้วยค่ะ นี่เวชค้างมาตั้งแต่เมืองสองพัน, ชินจิง, เฉินตู, … จนมาถึงคุนหมิง ตั้งเกือบเดือนเลยหรือเนี่ย ทำไมเวลามันผ่านไปเร็วเช่นนี้ ช่วงนี้วางแผนโน่นนี่จิปาถะ ยิ่งใกล้เมืองไทยยิ่งมีเรื่องให้ต้องคิดต้องทำมากขึ้น เลยยังไม่มีเวลาเขียนเล่าเรื่องให้อ่านกันสักเท่าไหร่ จะพยายามย่อ ๆ เล่าเรื่องจากภาพเสียส่วนใหญ่ละกันนะค่ะ

ค่ะท่ีเมืองสองพันช่วงเช้าเราเช็็คเส้นทางอีกที เพราะหลังจากได้คำเตือนจากลูกชายเจ้าของเกสต์เฮาส์เรื่องอุโมงค์ เราเลยไม่ค่อยแน่ใจ และต้องจองห้องท่ีเฉินตูด้วยเพราะเป็นช่วงอาทิตย์ท่ีคนจีนเขาหยุดกันยาว หลายท่ีเต็มกันไปหมดแต่มีท่ีหนึ่งท่ีว่างอยู่ 3 คืน ก็ยังดีแล้วค่อยเช็คอีกทีตอนท่ีเราอยู่ตรงนั้น กว่าจะออกจากท่ีพักเวลาเท่ียงเลยไปกินท่ี Emma’s kitchen ท่ีมีชื่อในหนังสือเดินทาง (Lonely Planet) คุยและแลกเปลี่ยนการ์ดกัน เหอะ ๆ ทำอย่างกับเป็นนักธุรกิจ 🙂 เอมม่า แนะนำให้มาพักท่ีเมืองไทปิง (Taiping) ห่างจากเมืองสองพันไปอีก 70 กม. ทางลงเขาเสียส่วนใหญ่ ปั่นเลียบน้ำ สวยมาก ผ่านหมู่บ้านมากมาย คนเริ่มมีอัธยาศัยทักทายกันมากขึ้น พอมาถึงคิดว่าจะกินข้าวแล้วไปหาท่ีกางเต้นท์ แต่เขามีท่ีพักด้วยเลยถามราคาดู 120 หยวนเราต่อเหลือ 80 ไม่รู้โหดเกินไปหรือเปล่า 🙂 เราอาบน้ำเสร็จ พอลงไปจะสั่งอาหาร เจ้าของเดินมาบอกอะไรสักอย่าง 8 โมง รู้แค่นั้น วุ่นวายนิดหน่อยจนกระทั่งมีคนหนึ่งเดินออกจากร้านไปและเดินกลับมาพร้อมผู้หญิงคนหนึ่ง ปรากฎว่าเขาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ เธอมาช่วยเป็นล่ามให้ เพิ่งเรียนจบและกลับมาเป็นครูท่ีโรงเรียนใกล้ ๆ หมู่บ้านตัวเอง เราเดินไปท่ีโรงเรียนกับครูสอนภาษาอังกฤษสาวคนนั้น เขาบอกว่าคงมีเวลาคุยกับเด็ก ๆ นิดนึงเพราะพวกเขาได้เวลาทานอาหารเย็นกัน เดินเข้าไปในชั้นเรียน เด็ก ๆ นั่งกันเรียบร้อยเชียว ว้าว…ได้กลับไปยืนท่ีหน้ากระดานดำอีกครั้งหนึ่ง ตื่นเต้นดีจังท่ีได้คุยดัง ๆ ทำท่าทำทาง เฮ้อ..นึกถึงนักเรียนม้งท่ีเคยสอนในค่ายผู้อพยพท่ีพนัสนิคมเราจังเลย เด็ก ๆ พวกนี้กินนอนท่ีโรงเรียน เสาร์อาทิตย์พ่อแม่ถึงจะมารับกลับบ้าน

ปั่นเรียบน้ำ ลงเขาน่าสนุก ชมวิวเพลินไปเลย

ปั่นเรียบน้ำ ลงเขาน่าสนุก ชมวิวเพลินไปเลย

ทางระหว่างเมืองสองพันกับไทปิง เลียบน้ำ

ทางระหว่างเมืองสองพันกับไทปิง เลียบน้ำ

SONY DSC

เจ้าตัวนี้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เขาล่ามมันไว้แล้วให้นักท่องเท่ียวขึ้นไปขี่แล้วถ่ายรูป เห็นเขาให้มันกินแอปเปิ้ลเป็นโล ๆ เลย

เจ้าตัวนี้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เขาล่ามมันไว้แล้วให้นักท่องเท่ียวขึ้นไปขี่แล้วถ่ายรูป เห็นเขาให้มันกินแอปเปิ้ลเป็นโล ๆ เลย

ออกจาก “ไทปิง” มาก็ลงเขาอย่างเดียว จากความสูงหลักพันกว่า ๆ ลงมาท่ีหลักร้อยต้น ๆ ปั่นลงมายาวแบบว่ายังไม่สุด ก็มาเจอคนจีนกลุ่มท่ีหน่ึงจำนวน 3 คนเรียนกฎหมายด้วยกัน เราหยุดคุยกันอยู่นาน คนจีนมีวันหยุดน้อยมาก เพราะฉนั้นพอได้หยุดหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ ต้องรีบฉวยโอกาสกัน ทางท่ีเราลงมาจากเมืองสองพันนั้นไม่ค่อยมีรถ เพราะส่วนใหญ่เขาจะเดินทางขึ้นเขา ไปเท่ียวในธรรมชาติกันมากกว่า สบายเรา ไม่ต้องมีรถมาตามบีบแตรไล่หลัง เราแวะกินข้าวร้านอาหารข้างทาง พอเรียกให้เขาคิดเงิน หา..เท่าไหร่นะ ว้าว…หมวยจีนหลอกกินเงินหมวยไทย เป็นมื้อท่ีแพงและน้อยท่ีสุดเลย เจ็บจายยย แต่ทำงัยได้ ลืมถามราคาก่อนอ่ะ พอเดินออกมาเราบ่น ๆ กันเป็นภาษาสวีดิช ก็มีผู้ชายคนหนึ่งหันมาพูดภาษาสวีดิชด้วย หง่า…คุยกันสักพัก ก็ได้ความว่าเขามาเรียนภาษาจีน ร่ำลากันไป เราก็ปั่นลงเขาต่อ

ดีนะท่ีปั่นลง ถ้าปั่นขึ้นคงใช้เวลาหลายชั่วโมง แต่วันนั้นลมแรง ขนาดลงเขายังต้องปั่นอยู่เลย เราเอาภาพนี้ให้คนจีนสามคนนั้นดู ใจร้ายเนอะ เพราะเขาจะปั่นขึ้นไปกัน ;-)

ดีนะท่ีปั่นลง ถ้าปั่นขึ้นคงใช้เวลาหลายชั่วโมง แต่วันนั้นลมแรง ขนาดลงเขายังต้องปั่นอยู่เลย เราเอาภาพนี้ให้คนจีนสามคนนั้นดู ใจร้ายเนอะ เพราะเขาจะปั่นขึ้นไปกัน 😉

พอปั่นลงมาถึงเมืองเหมาเชียน (Maoxian) ท่ีเมืองนี้แหละท่ีเขาเตือนว่ามีอุโมงค์หลายอู่และยาวหลายกิโลเมตรด้วย เลยตัดสินใจนั่งรถบัสลอดอุโมงค์ไปท่ีเมืองดูจางเย้ท่ีใกล้เฉินตูเข้ามาหน่อย ขึ้นรถนี่มันยุ่งยากกว่าปั่นไปอีกน๊า เพราะเราจะต้องหันแฮนด์ให้ขนานกับเฟรมจักรยาน มีครั้งหนึ่งต้องเอาเบาะของโจคิมออกด้วย ไหนจะกระเป๋าอีกทั้ง 8 ใบ ครั้งนี้จักรยานถูกกว่าเรา แต่ค่าจักรยานไม่รวมอยู่ในตั๋วนะ คนขับเก็บใส่เป๋าตัวเอง นั่งไป 3 ชม. และก็ลุ้นดูอุโมงค์ไปเรื่อย มันดูไม่น่าจะปั่นยาก แต่ท่าทางอากาศภายในแย่มาก บางครั้งเห็นรถแซงกันมาแบบไม่ระวังกันเลย เลยรู้สึกว่าคิดถูกล่ะท่ีนั่งรถลอดอุโมงค์มา

และในท่ีสุดเราก็ดิ้นรนจนมาถึงเมืองเฉินตู เมืองใหญ่พอ ๆ กับกรุงเทพฯ เลย ตอนแรกคิดว่าน่าจะปั่นเข้ายาก แต่ท่ีจีนเขามีทางจักรยานที่กว้างมากแถมมีสิ่งกีดขวางไม่ให้รถยนต์เข้ามาใช้ด้วย ดีมากเลยปั่นกันสบาย ๆ เราอยู่ท่ีเฉินตูนานเพราะเป็นวันหยุดของคนจีนทั้งอาทิตย์และต้องรอให้ถึงเวลาเพื่อไปทำเรื่องต่อวีซ่าท่ีอีกเมืองหนึ่ง เลยถือโอกาสพักผ่อน เซอร์วิสรถ ออกไปเดินหาซื้อของใช้ มีเย็นวันหนึ่งนั่งกินข้าวท่ีเกสต์เฮาส์ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเพลง เอ๊ะ..เพลงนี้มันฟังคุ้น ๆ นะภาษาไทยนี่นา หันไปหันมาเห็นวัยรุ่นจีนนั่งกันเป็นวงกลมเปิดคอมฯ ร้องเพลงคาราโอเกะเพลงไทยอ่ะ ตลกดี เฉินตูเป็นเมืองท่ีนักท่องเท่ียวจะมาชมหมีแพนด้ากัน แต่เราไปไม่ถึงเพราะไม่อยากไปผจญกับฝูงชนนักท่องเท่ียวชาวจีน เราไปเดินเล่นชมวัดแถว ๆ ท่ีพักแทน เห็นพระรูปหนึ่งเดินผ่านผู้หญิงคนหนึ่ง ก็ได้ยินผู้หญิงคนนั้นทักทายพระว่า “อมิตตพุธ” เอ่อ…ได้ยินของจริงสด ๆ ไม่ได้ออกมาจากทีวี เพราะทุกครั้งจะได้ยินจากหนังจีนในทีวีเสียมากกว่า และพอมาเห็นว่าคนจีนเองก็นั่งดูหนังฮ่องเต้ จักร ๆ วงศ์ ๆ เหมือนอย่างท่ีเขาเอามาฉายท่ีบ้านเรา ก็รู้สึกแปลก ๆ ดี อีกอย่างหนึ่งท่ีน่าขันคือ เวลาเราจอดพักหรือดูแผนท่ี บางครั้งมีคนเข้ามาถาม พอเราบอกไปว่าเราปั่นมาจากไหนจะไปไหนเขาร้อง “ไอ้หย๋า” เหอะ ๆ ๆ เวลาเราร้องคำนี้ออกมา เราจะนึกสนุก ๆ เท่านั้นเอง แต่สำหรับคนจีนเวลาเขาใช้คำนี้มันหมายความว่าหนักหนาเอาการกว่าท่่ีเราร้องกันเล่น ๆ มากกว่าเยอะเลย 🙂

วัดใกล้ ๆ ท่ีพัก

วัดใกล้ ๆ ท่ีพัก

อีกมุมหนึ่งในวัดเดียวกัน

อีกมุมหนึ่งในวัดเดียวกัน

ในซอยเดียวกัน

ในซอยเดียวกัน

ร้านอาหารในซอย

ร้านอาหารในซอย

ตลาดในซอกในซอยของเขา เห็นแล้วนึกถึงไชน่าทาวน์บ้านเราเลย

ตลาดในซอกในซอยของเขา เห็นแล้วนึกถึงไชน่าทาวน์บ้านเราเลย

ได้เวลาออกเดินทางต่อ จากเฉินตูไปเลอชันเพื่อไปต่ออายุวีซ่า เราค่อนข้างเกร็งนิดหน่อย เพราะวีซ่าจะหมดอายุอีก 3 วันข้างหน้า แต่ไม่มีปัญหา วันนี้เรายื่นเขาบอกให้เรามารับอีกวันรุ่งขึ้น เราได้เจอนักปั่นจากเยอรมัน 3 คน เขารู้จักเราผ่านนักปั่นชาวสวิสฯ ท่ีเจอกันท่ีซาร์มาคัน แต่เขาไปเจอกันท่ีประเทศทาจิกิสถาน เรากินข้าวด้วยกันหลายมื้อและนั่งคุยกันเรื่องเส้นทาง อะไร ๆ อีกหลายเรื่อง แต่พวกเขาอยู่เกินอายุของวีซ่าเลยได้ต่อแค่ 7 วันเพื่อเดินทางออกจากเมืองจีน วันท่ีเราจะออกจากเลอชัน ล้อหลังเวชรู้สึกแปลก ๆ อีกแล้ว หลังจากท่ีเปลี่ยนอะไหล่ตัวหนึ่งท่ีมณฑลซินเจียง พอโยก ๆ ล้อดูก็รู้สึกได้ว่ามันหลวม ๆ เลยต้องตระเวณหาร้านจักรยาน กว่าจะทำอะไรเสร็จก็เย็นมากแล้ว เลยปั่นกลับไปเช็คอินเข้าพักท่ีเดิม และท่ีเลอชันนี่เองท่ีเพื่อนร่วมทางท่ีติดสอยห้อยตามมาตั้งแต่เมืองทรับซอน ประเทศตุรกีก็อันตรธานหายไปไหนก็ไม่รู้ หวังว่ามันจะได้เพื่อนใหม่ท่ีดูแลมันได้ดีกว่าเรา 🙁 เช้าวันต่อมาแพ๊คกระเป๋า พอจะใส่หมวกกันน๊อค เอ่อ…หมวกแก๊ปเราไปไหนหว่า หาไปหามา ไม่เจอ โทรไปท่ีร้านจักรยานเขาก็บอกว่าไม่มี เป็นอันว่าหล่นหายอีกแล้ว ข้าพเจ้าทำไมเป็นคนขี้หลงขี้ลืมสะเพร่าเช่นนี้ เฮ่อ..

ไปร้าน Giant ก่อนเขาซ่อมให้ไม่ได้ เลยไปอีกร้านหนึ่งชื่อ UCC เป็นของไต้หวัน และอีกอย่างเจ้าของร้านพูดภาษาอังกฤษได้ เฮ่อ..ค่อยยังชั่วหน่อย

ไปร้าน Giant ก่อนเขาซ่อมให้ไม่ได้ เลยไปอีกร้านหนึ่งชื่อ UCC เป็นของไต้หวัน และอีกอย่างเจ้าของร้านพูดภาษาอังกฤษได้ เฮ่อ..ค่อยยังชั่วหน่อย

ปั่นออกจากเลอชัน

ปั่นออกจากเลอชัน

จากเลอชันเราปั่นผ่านเมืองเวินฉวนท่ีเคยประสบอุทกภัยแผ่นดินไหวขั้นรุนแรงเมื่อปี 2008 แต่ร่องรอยของความเสียหายยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไป บ้านเรือนยังกำลังสร้างกันอยู่ ถนนไม่ต้องพูดถึง รถใหญ่ก็เยอะ ท่าทางคงเละอยู่อย่างนั้นอีกนาน ดูจากสถาพแล้วน่ากลัวมากเลย

สภาพหลังจากแผ่นดินไหว

สภาพหลังจากแผ่นดินไหว

ปั่นข้ามสะพานไปนอนค้างคืนท่ีเมืองท่ีเห็นหลังหมอกนั่นแหละ

ปั่นข้ามสะพานไปนอนค้างคืนท่ีเมืองท่ีเห็นหลังหมอกนั่นแหละ

วันรุ่งขึ้นเราออกจากเมืองเล็ก ๆ นั้น แล้วก็มาจอดสนิทตรงทางแยกหนึ่ง ไปทางไหนดีหว่า… ซ้ายมือข้ามสะพานไปก็เข้าเมืองไม่น่าจะใช่ ขวามือน่าจะใช่แต่..ถนนมันแย่มากเลย สงสัยอยู่นานว่ามันจะดีขึ้นหรือเปล่า หวังไปเองว่าเขาคงกำลังซ่อมแซมถนนไปเรื่อย ๆ เพราะอุทกภัยแผ่นดินไหวนั้นทำให้เสียหายกระจายไปหลายกม.อยู่ เอ้า..ลองดู ปรากฎว่าสภาพถนนเป็นอย่างในภาพข้างล่างนี่เป็นเวลาเกือบ 2 วัน แต่ก็สนุกดี

เป็นถนนอย่างนี้งัย

เป็นถนนอย่างนี้งัย

ระยะเวลาต่อมาก็เป็นเช่นฉะนี้ ยางหลังเวชแบน :-)

ระยะเวลาต่อมาก็เป็นเช่นฉะนี้ ยางหลังเวชแบน 🙂

เส้นทางท่ีเราเลี้ยวเข้ามา ตอนแรกรู้สึกผิดหวัง เพราะอยากจะถึงคุนหมิงเร็ว ๆ แต่ไป ๆ มา ๆ รู้สึกสนุกดี ได้ใกล้ชิดคนในหมู่บ้านมากขึ้น

เส้นทางท่ีเราเลี้ยวเข้ามา ตอนแรกรู้สึกผิดหวัง เพราะอยากจะถึงคุนหมิงเร็ว ๆ แต่ไป ๆ มา ๆ รู้สึกสนุกดี ได้ใกล้ชิดคนในหมู่บ้านมากขึ้น

อีกสภาพหนึ่งของเส้นทาง

อีกสภาพหนึ่งของเส้นทาง “ไม่ใช่” สายใหม

มีน้ำตกด้วย บางครั้งก็ไหลข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่ง นึกถึงตอนท่ีปั่นอยู่ท่ีจอร์เจียเลย

มีน้ำตกด้วย บางครั้งก็ไหลข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่ง นึกถึงตอนท่ีปั่นอยู่ท่ีจอร์เจียเลย

รถใหญ่เขาขนอิฐขึ้นมา แล้วเขาก็กองเอาไว้อย่างนั้นให้ชาวบ้านมาขนกันไปเอง อันนี้เดาเอานะค่ะ เพราะเห็นหลายกอง และก็เห็นชาวบ้านมาขนย้ายกันไป

รถใหญ่เขาขนอิฐขึ้นมา แล้วเขาก็กองเอาไว้อย่างนั้นให้ชาวบ้านมาขนกันไปเอง อันนี้เดาเอานะค่ะ เพราะเห็นหลายกอง และก็เห็นชาวบ้านมาขนย้ายกันไป

ตรงนี้เป็นถนนลูกรังเสียเฉย ๆ

ตรงนี้เป็นถนนลูกรังเสียเฉย ๆ

ตื่นเช้าขึ้นมาเห็นวิวนี้ก็หายง่วงหายเหนื่อยไปเลย โดยเฉพาะเป็นทางลง ;-)

ตื่นเช้าขึ้นมาเห็นวิวนี้ก็หายง่วงหายเหนื่อยไปเลย โดยเฉพาะเป็นทางลง 😉

ผ่านหมู่บ้านนี้ โชคดี เพราะกำลังหิวเลย มื้อนี้สั่งผัดผักได้ผักต้ม ความชำนาญในการแสดงท่าผัดไม่ดีพอ

ผ่านหมู่บ้านนี้ โชคดี เพราะกำลังหิวเลย มื้อนี้สั่งผัดผักได้ผักต้ม ความชำนาญในการแสดงท่าผัดไม่ดีพอ

เย็นวันนั้นลงจากเขา อากาศมัวซัว น่าเบื่อ เลยจอดหาโรงแรมในเมืองเล็ก ๆ นี่ เฮ้อ..แทนท่ีจะได้พักกันตั้งแต่สี่โมงเย็น แต่ต้องควานหาโรงแรมจนถึงหกโมงได้มั้ง น่าเบื่อจริง ๆ

เย็นวันนั้นลงจากเขา อากาศมัวซัว น่าเบื่อ เลยจอดหาโรงแรมในเมืองเล็ก ๆ นี่ เฮ้อ..แทนท่ีจะได้พักกันตั้งแต่สี่โมงเย็น แต่ต้องควานหาโรงแรมจนถึงหกโมงได้มั้ง น่าเบื่อจริง ๆ

ทางเข้า

ทางเข้า “โรงแรม” พอดีเป๊ะ

ระหว่างทางท่ีปั่นเข้าคุนหมิงทางเป็นเขาเสียส่วนใหญ่ เมื่อก่อนไม่ชอบอุโมงค์เพราะเสียงมันฟังดูน่าหวาดกลัวบางครั้งมืดมองอะไรไม่เห็น แต่ครั้งนี้ พอเห็นป้ายอุโมงค์แล้วดีใจเพราะเราไม่ต้องปั่นข้ามเขากันอุโมงค์ช่วยได้มากทีเดียว ไม่อย่างนั้นคงยังไม่ถึงคุนหมิงล่ะค่ะ ฝนตกเสียส่วนใหญ่ มีครึ่งวันของสามวันท่ีเราปั่นเข้ามานี่เห็นแดดแว่บ ๆ ออกมา แต่พอบ่ายแก่ ๆ ก็หายไปเสียเฉย ๆ หลังจากนั้นก็เปียกแฉะกันมาตลอดทาง จนขณะนี้ถึงเมืองคุนหมิงฝนก็ยังไม่หยุดตก ผ้าท่ีซักและตากไว้สองวันแล้วยังไม่แห้งเลย อากาศก็เย็น อยากถึงเมืองไทยเร็ว ๆ เสียแล้วสิ

แบบนี้เลย ลงทุนซื้อชุดคลุมฝน ใช้ได้ มันไม่เปียกจากข้างนอก แต่เปียกจากเหงื่อเราเอง :-)

แบบนี้เลย ลงทุนซื้อชุดคลุมฝน ใช้ได้ มันไม่เปียกจากข้างนอก แต่เปียกจากเหงื่อเราเอง 🙂

ชาวนาชาวไร่เขาทำงานกัน แต่เรามาปั่นจักรยานเล่นในน้ำฝน เขาคงคิดว่าเรา "บ้า"

ชาวนาชาวไร่เขาทำงานกัน แต่เรามาปั่นจักรยานเล่นในน้ำฝน เขาคงคิดว่าเรา “บ้า”

อากาศเป็นอย่างนี้แทบทุกวัน

อากาศเป็นอย่างนี้แทบทุกวัน

ถ้าฟ้าใสหน่อย ยูนนานนี่คงจะสวยน่าดู

ถ้าฟ้าใสหน่อย ยูนนานนี่คงจะสวยน่าดู

ขอคำแนะนำค่ะ – Please advice us

SEE BELOW FOR ENGLISH

ไอ่หย๋า.. พวกเราไม่ค่อยได้คำนวณวันและเวลาไปข้างหน้าเกินกว่า 2-3 วันหรือภายใน 3-400 กม. เลยตั้งแต่เริ่มทริปและก็มัวแต่วุ่นวาย กังวลเรื่องเส้นทางขึ้นเขาลงเขา เรื่องวีซ่า เรื่องท่ีพัก จิปาถะ แต่หารู้ไม่ว่าอีกแค่เดือนกว่า ๆ สองเดือนจะถึงเมืองไทยแล้วเนี่ย ก่อนหน้านี้มีคุยกับเพื่อนนักปั่นท่ีเคยปั่นเท่ียวด้วยกันเมื่อปี 2006 เห็นว่าเพื่อนในกลุ่มนี้และเพื่อน ๆ ในเวบต์ไทยเอมทีบีก็มีหลายคนท่ีสนใจอยากจะมาปั่นร่วมกันสักเส้นทางหนึ่ง ไม่จากหลวงพระบาง ก็จากอยุธยา หรือปทุมธานี 🙂 ดีใจท่ีมีหลายคนสนใจอยากป่ันร่วมทางกันช่วงใดช่วยหนึ่งก็ยังดี

ตอนนี้เราอยู่เมืองเลอชันท่ีห่างจากเมืองเฉินตูประมาณ 150 กม. เรามาจอดอยู่ตรงนี้เพื่อมาต่ออายุวีซ่า ซึ่งนักท่องเท่ียวหลายคนบอกกันต่อ ๆ ไปว่าท่ีเมืองนี้ต่ออายุวีซ่าได้ง่าย ก็จริงอย่างท่ีเขาว่า เรายื่นขอต่ออายุเมื่อวานได้รับวันนี้ รู้สึกโล่งอกไปเยอะเพราะกลัวว่าจะมีปัญหา และปัญหาใหญ่ ยุ่งยากและแพงด้วยถ้าต่อไม่ได้ แต่เราไม่ต้องพูดถึงอีกแล้ว สบายละ ตอนนี้ก็ปั่นอย่างเดียว สำหรับเวชเข้าลาวก็ใช้พาสปอร์ตไทย (แต่ต้องเช็คอีกที)

คาดว่าจะออกจากจีนต้น ๆ เดือนพฤศจิกายนจะหยุดสัก 1-2 วันท่ีหลวงพระบาง และออกเดินทางต่อวันท่ี 10 พย.

จากหลวงพระบางเรากำลังสำรวจเส้นทางและคิดว่ามีสองเส้นทางน่าสนใจท่ีจะเข้าไทยเลยอยากโพสต์ลงในบล๊อค ให้พวกเราช่วยดูและเลือก เลือกอย่างเดียวไม่ได้นะต้องบอกด้วยว่าทำไม 😉

ทางเลือกท่ี 1 คือมุ่งหน้าลงใต้ไปเมืองหลวงของลาวคือเวียงจันทน์ ปั่นข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ไปทางด้านตะวันตกสัก 2-3 วันข้ามเขาไปภาคกลางตอนบน โจคิมยังไม่เคยปั่นข้ามสะพานนี้แต่เวชเคยปั่นข้ามเมื่อปี 2006

ทางเลือกท่ี 2 คือไปทางทิศตะวันตกของเมืองหลวงพระบาง ขึ้นเรือข้ามแม่น้ำโขงในลาว หลังจากนั้นปั่นมาชายแดนระหว่างเมืองหงสาในลาวและบ้านห้วยโก๋นท่ีจังหวัดน่านของไทย จากน่านเราจะปั่นไปทางเชียงใหม่และล่องลงทางใต้ไปภาคกลางตอนบน ซึ่งจะมาจ๊ะเอ๋กับทางเลือกท่ี 1 (ดูจากแผนท่ีกันนะค่ะ)

ออกจากหลวงพระบางวันท่ี 10 พย. คาดว่าใช้เวลาประมาณ 3 วันถึงชายแดนไทย และไม่ว่าเราจะเลือกเข้าไทยทางไหน คงไม่มีผลกระทบถึงวันท่ีเรากำหนดคร่าว ๆ ว่าจะถึงกรุงเทพฯ นั่นคือวันเสาร์ท่ี 30 พฤศจิกายน เราจะลงรายละเอียดเส้นทางการปั่นและพบปะสังสรรค์กันอีกครั้งเมื่อใกล้เข้าไทยอีกนิด

อย่าลืมเข้ามาช่วยกันบอกข้อดีข้อเสียของทั้งสองเส้นทางนี้นะค่ะ เวชก็ถือว่าปั่นมาทั่วภาคเหนือแต่เส้นทางตรงนี้ยังไม่เคยผ่านอาจจะแค่เฉียด แต่ท่ีน่านไปปั่นกันมารอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีปัญหาถ้าจะไปทางนั้นอีก เพราะเส้นทางท่ีน่านสวยมาก เขาทั้งนั้น 😉

Route alternatives

Help us decide our route

My new year’s resolution for 2013 was that this year should have no Monday mornings. To our own surprise we quickly got into a living in a time bubble in which there is only a ”here and now”. Our time perspective has never been longer than a few days or 3-400 km and we have had to check to know what day in the week it is. Of course there have been times when we have had to exit our comfortable time bubble and think about the more distant future and these few occasions have mostly been due to the need for visa planning.

We are now in the city of Leshan some 150 km south of Chengdu and we have just got our Chinese visas extended and this was the last major bureaucratic hurdle on our way towards Bangkok. We know that there are many of our readers and followers who are interested in which way we will take through Thailand. Some of you have indicated that you want to cycle with us for some time and some would like to host us when we pass by.

It is a pleasure to know that so many people are interested in seing us along the way and now it is time to leave the time bubble permanently and start planning for our entry into Thailand and now we need your help.

We will leave China early in November and our first and only longer stop in Laos will be in the ancient city of Luang Prabang which we will leave on November 10th (fixed date).

We are now choosing among two alternative routes and we would like to hear which route you recommend and why.

One alternative is to continue south to Vientienne, the capital of Laos, cycle across the bridge over the Mekhong river and then follow it to the west for a day or two before crossing over the mountain ridge that marks the border to central Thailand.

Another alternative is to go west after Luang Prabang and cross Mekhong on a ferry inside Laos and then enter Thailand at the border crossing in Huai Khon in Nan province. From Huai Khon we would go directly to Chiang Mai and then continue south to central Thailand where this route will merge with alternative 1.

The red route will allow us to visit Chiang Mai which is the capital and hub of northern Thailand and where we have many friends. It has a longer distance in Thailand which would allow us to visit those of you (friends and followers) who live along this route.  It is more hilly  than the red route and will take a few more days

The blue route goes to Laos capital Vientienne which we have visited before. Wej rode her bike across the bridge over the Mekhong 6-7 years ago, but I haven’t and I would really like to do it. This route would allow us to see more of Laos which is a neighbouring country that we know far too little about.

We will leave Luang Prabang on November 10th and enter Thailand about 3 days later. Whatever route we will take through Laos and Thailand will not have any effect on our arrival date to Bangkok which preliminary will be on Saturday, November 30. The arrangements around the finish of this journey will be announced later.

As you can see, we have two very interesting routes to choose between and now we are all ears to listen to which of the routes you think we should take and why.

The simple question is red or blue and why?

We are looking forward to many comments and once the route has been decided we will make a detailed schedule and anyone interested in hosting or joining us along the way will be more than welcome.

 

เครื่องมือและอะไหล่ท่ีเราพกพามาเท่ียวข้ามทวีปด้วย

เคยมีเพื่อนใหม่คนหน่ึง “คุณแมวเซา” ถามถึงเครื่องมือท่ีเราพกพามาด้วยว่ามีอะไรบ้าง ก็เพิ่งจะมีเวลาเอาออกมาแบยลโฉมและถ่ายรูปมาให้ดูกัน ทฤษฎีท่ีว่าเราจะเอาอะไรไม่เอาอะไรมานั้น ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและผลของการเสี่ยงว่าสูงหรือต่ำอย่างไร เช่นกระจกส่องหลังถ้าหัก ความเสี่ยงท่ีจะเกิดขึ้น “ต่ำ” ผลกระทบกับเรา “ต่ำ” คือเรายังสามารถเดินทางต่อได้เพราะฉนั้นเราไม่พกพาเอาอันท่ีสองมาด้วย แต่ถ้าโซ่ขาดความเสี่ยงอาจจะต่ำแต่ผลคือเราไม่สามารถปั่นต่อหรือขยับเขยื่อนไปไหนได้ เราคิดว่าผลกระทบสูงเราจึงเอาทั้งโซ่ส่วนหนึ่ง, ตัวต่อโซ่ ประมาณนี้ละค่ะสำหรับการเดินทางไกลซึ่งห่างไกลจากเมือง โดยเฉพาะเส้นทางของเราในทะเลทรายของคาซัคสถานและต่อเนื่องเข้าทะเลทรายของอุซเบกิสถาน ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าโซ่ขาดแถว ๆ นั้นโดยท่ีไม่มีเครื่องมือหรือโซ่อะไหล่เปลี่ยน สถานการณ์คงไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่ คงต้องไปคุยกับอูฐให้ช่วยลากไป 😉 เพราะคงหาคนคุยด้วยลำบากหน่อย เอาละค่ะมาดูกันว่าอะไหล่ชิ้นไหนท่ีโชคดีได้มาเท่ียวและมีโอกาสข้ามมาตั้งหลายประเทศกับพวกเรา 😉

ภาพแรกเป็นหน้าตากระเป๋าด้านหน้าท่ีเราใส่พวกเครื่องมือทั้งหลาย
SONY DSC

ภาพที่สองคืออุปกรณ์ที่อยู่ในกระเป๋า จากทางด้านซ้ายมือแล้วย้อนขึ้นไปทางขวา ให้งงเล่น 😉

SONY DSC

  • กระเป๋าพยาบาล ซึ่งจะอยู่ด้านบนสุดของกระเป๋าเพื่อความสะดวกและรวดเร็วในเวลาฉุกเฉิน
  • ปลอกสายเบรค ท่ีเอามาแต่ของสายเบรคเพราะคิดว่าถ้าต้องเปลี่ยนปลอกสายเกียร์ก็สามารถใช้ปลอกของสายเบรคแทนได้ อีกอย่างคือโอกาสท่ีจะเกิดขึ้นมีน้อยท่ีต้องเปลี่ยนปลอกนั้น
  • ยางใน และ ยางนอก 1 เส้นอยู่ท่ีกระเป๋าอีกใบหนึ่ง
  • จารบีและน้ำมันใส่โซ่ มาถึงจีนน้ำมันใส่โซ่หมดไปแล้ว 3 ขวด
  • เทป (ไม่มีอยู่ในภาพเพราะประหยัดเนื้อท่ีในกระเป๋าเลยเอาไปพันท่ีท่อนั่งแทน)
  • น๊อตขนาดต่าง ๆ
  • Derailleur hanger (อันท่ีมีลักษณะเหมือนตัว S ) คือตัวท่ีติดตีนผีกับตัวเฟรม หาซื้อยากหน่อยเพราะต้องให้ได้ขนาดท่ีถูกต้อง
  • สายรัด
  • ผ้าเบรค – ช่วงแรกท่ีหนาวและโดนพายุหิมะ เปลี่ยนไปหลายชุดเลยต้องมีเผื่ิอไว้เยอะหน่อย
  • สายเกียร์และสายเบรค รัดไว้รวมกัน
  • กระปุกใส่เครื่องมือชิ้นเล็ก ๆ เดี๋ยวได้ดูกันในภาพต่อไปค่ะ

ภาพนี้คือชิ้นส่วนเล็ก ๆ ท่ีอยู่ในกระปุกพลาสติคในภาพข้างบน

SONY DSC

  • ท่ีถอดเฟือง เป็นอันเล็ก เวลาใช้จะเอาไปเกี่ยวกับตัวเฟรม โดยไม่ต้องใช้ท่ีถอดโซ่ช่วย
  • กาว น่าจะเหมือนกาวตาช้างบ้านเรา เช่นท่ีคาซัคสถานถนนหาท่ีเรียบ ๆ ไม่มีเลย ปั่น ๆ ไปน๊อตหลวมไปหลายตัว แค่หยดเดียวก็ติดแน่นทนทาน
  • ท่ีปะยาง นี่คือท่ีเหลือจาก 48 ชิ้นท่ีปะกันอุตลุดช่วงท่ีเข้ามาจีนทางด้านมณฑลซินเจียง โดนเล่นงานโดยลวดเส้นเล็กท่ีกระจายออกมาจากล้อของรถใหญ่ท่ีระเบิดบนทางด่วน กาวปะยางหมดไป 3 หลอด ท่ีเห็นหลอดสีขาวแดงนั่นเป็นกาว หลอดเล็ก ๆ หมดเร็ว เอาหลอดใหญ่มาเลย
  • น้ำมันทาเบาะหนัง มักจะลืม หนังต้องหมั่นทามันให้ ไม่ต้องบ่อยแต่ไม่ควรลืม
  • ตัวต่อโซ่และสายโซ่เผื่อโซ่ขาดจะได้มีต่อ
  • ครีทสำหรับรองเท้าเสือภูเขา แต่คงไม่มีประโยชน์ละเพราะพวกเราไม่ได้ใช้ครีทแล้ว โดยเฉพาะโจคิมต้องเปลี่ยนบันไดท่ีมีครีททิ้งไปเพราะบันไดเก่าหมดสภาพท่ีซินเจียงนั่นเอง
  • ตะขอท่ีติดท่ีกระเป๋า Ortlieb ความน่าจะเกิดขึ้นคงมีน้อย แต่ผลท่ีได้อาจทำให้เราต้องหยุดเลยพกมาด้วย
  • Jockey wheel ในภาษาอังกฤษ (มันคือวงเล็ก ๆ ท่ีติดกับตีนผีข้างล่างเฟือง) เวชไม่ค่อยรู้ศัพท์เฉพาะของอะไหล่จักรยานสักเท่าไหร่ รบกวนขยายความ หาคำท่ีเหมาะสมมาให้เวชด้วยนะค่ะ
  • อุปกรณ์สำหรับปะแผ่นรองนอน
  • เซท 6 เหลี่ยมท่ีควรมี
  • ตัวท่ีจะเอา crank (ขาจานหรือเปล่าคะ?) ออก
  • ประแจ ขนาด 8 มม.สำหรับน๊อคทุกตัว ก่อนออกเดินทางจากสวีเดน เรา (ไม่ใช่โจคิมค่ะ) สำรวจจักรยานทั้งสองคน ถ้าเห็นน๊อตตรงไหนท่ีมีลักษณะอื่น เราจะเปลี่ยนให้มันเหมือนกับน๊อตตัวอื่น เพื่อเราจะได้ไม่ต้องพกหลายขนาด
  • ประแจ ขนาด 15 มม.สำหรับเอาบันไดออก
  • คีมปากแบน ท่ีตรงกลางสามารถตัดสายเบรคหรือสายอื่น ๆ ได้

มีบางอย่างท่ีไม่ได้อยู่ในกระเป๋าคือท่ีงัด (อยู่ในกระเป๋าใต้เบาะท่ีนั่ง), ยางอะไหล่, เทป (พันอยู่ท่ีท่อนั่ง), สูบ (ติดอยู่ท่ีตัวเฟรม) และซี่ล้ออยู่ข้างในท่อนั่ง

ทั้งนี้และทั้งนั้น อะไหล่ท่ีเขียนมานี่บางอย่างไม่จำเป็นต้องพกพาไปด้วย ถ้าสถานท่ีท่ีเราจะไปทัวร์นั้นอยู่ใกล้เมืองไม่ได้ปั่นเข้าไปในท่ีท่ีวังเวงบนขุนเขาหาคลื่นสัญญาณโทรหาใครไม่ได้หรืออย่างในทะเลทรายท่ีพวกเราผจญกันมา หวังว่าลิสต์รายการข้างบนนี้จะมีประโยชน์นะค่ะสำหรับเพื่อน ๆ ท่ีอยากปั่นทัวร์ริ่งไกล ๆ ในเขตทุรกันดารเวิ้งว้างหามีประชากรไม่ ยังงัยก็แล้วแต่ก่อนจะออกเดินทางจักรยานควรจะอยู่ในสภาพท่ีเซอร์วิสเรียบร้อยแล้ว

จีน => ออกจาก Langmusi (ลังมุซี่) ไป Zoige (โซยเก) และ Songpan (สองพัน)

หลังจากท่ีตัดสินใจอยู่ต่ออีกคืนหนึ่งท่ีลังมุซี่แล้ว เราเดินออกไปท่ีร้าน Black Tent Café ที่มีแต่อาหารฝรั่งแต่ในเมนูเขาก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก จำได้เกือบหมดละ ช่วงอาทิตย์หน้าเป็นวันหยุดยาวทั้งอาทิตย์ และเป็นอาทิตย์ท่ีคนจีนทั้งประเทศหยุดยาวท่ีสุดในรอบปี นั่นคือ “Golden week” วันท่ี 1 ตุลาเป็นวันชาติแต่เขาจะหยุดกันยาวตั้งแต่วันท่ี 1 ถึง 7 ตค.ซึ่งวันหยุดนี่เองทำให้เราต้องปวดหัวอีกครั้งหนึ่งกับเรื่องวีซ่า เขาอนุญาติให้เราต่อวีซ่า 7 วันล่วงหน้าก่อนวีซ่าจะหมดอายุ วีซ่าเราจะหมดวันท่ี 10 ตค.เหมาะเจาะตรงกลางอาทิตย์นั้นเลย ในฟอรั่มท่ีคุยกันเกี่ยวกับเมืองจีนแนะนำกันว่าควรจะไปต่ออายุวีซ่าตามเมืองเล็ก ๆ เพราะไม่ค่อยมีงานทำซึ่งอาจจะได้วีซ่าเร็วขึ้น เช่นถ้าไปต่อท่ีเฉินตูก็รอไปเลยอีก 5-7 วันถึงจะได้วีซ่าแต่ได้ข่าวว่าค่าธรรมเนียมถูกกว่ามันน่าจะราคาเท่ากันทั้งประเทศนิ งง

หน้าตึกเกสต์เฮาส์ท่ีลังมุซี่ท่ีเราตั้งใจว่าจะอยู่แค่ 2 คืนแต่กลายเป็น 4 คืนเพราะติดหิมะ ;-)

หน้าตึกเกสต์เฮาส์ท่ีลังมุซี่ท่ีเราตั้งใจว่าจะอยู่แค่ 2 คืนแต่กลายเป็น 4 คืนเพราะติดหิมะ 😉

พอเราเดินกลับมาก็เห็นมีฝรั่งสาวคนหนึ่งกำลังเช็คอินท่ีเกสต์เฮาส์ ที่จีนอ่ะนะเขาชอบตะโกนข้ามหัวคุยกัน เจ้าของเกสต์เฮาส์ตะโกนถามมาว่า ”อยู่ต่อมั้ย?” เราบอกเขาว่าเราจะอยู่ต่อหิมะตกและหนาวอย่างนี้ไม่อยากปั่น สาวผู้นั้นก็หันมาแล้วถามว่า “จักรยานท่ีจอดอยู่นั่นของพวกเธอหรอกรึ?” ซูซี่เล่าให้ฟังว่าเขาเจอคู่หนึ่งปั่นจากเยอรมันมาจีนและลงท้ายด้วยคำว่า “CRAZY” พอเราบอกว่าเราเริ่มจากไหนเขาแทบหงายหลัง 😉 แต่เขาคิดว่าทริปหน้าเขาอาจจะใช้จักรยานแทนแบกเป้ ส่วนเราอาจจะแบกเป้แทนจักรยาน เหอะๆๆ หลังจากนั้นเราก็ได้นั่งคุยกันนั่งกินข้าวมื้อเย็นด้วยกันคุยกันถูกคอเชียว แต่เรามีธุระเยอะไปหน่อยเลยขอตัว 

เพื่อนใหม่ชาวออสซี่ "ซูซี่"

เพื่อนใหม่ชาวออสซี่ “ซูซี่”

ตอนเช้าเรามีเปลี่ยนแผนนิดหน่อยเลยมีเวลาคุยกับซูซี่เพื่อนใหม่จากออสเตรเลีย เขารอรถทัวร์จะไปเท่ียวต่อ เราร่ำลากันตรงนั้นและหวังว่าจะได้ต้อนรับเขาท่ีสวีเดนไม่วันใดก็วันหนึ่ง และดูท่าทางเขาก็สนใจท่ีจะมาเยี่ยมเราด้วย ซูซี่แนะนำเราให้ขึ้นไปดูวัดใกล้ ๆ เกสต์เฮาส์ค่าเข้าคนละ 30 หยวน ทั้งภูเขานั่นเป็นเขตของวัด เราปั่นจักรยานขึ้นเขาไปทำให้ไปถึงก่อนกรุ๊ปทัวร์ท่ีกำลังเดินขึ้น รีบ ๆ ถ่ายรูปก่อนท่ีพื้นท่ีนั้นจะเต็มไปด้วยผู้คน เดินกันไปจนถึงหอสวดมนต์ เข้าไปไม่ได้เพราะพระกำลังสวดมนต์อยู่เลยยืนฟังพระสวดอยู่ข้างนอก หลังจากนั้นก็เดินกลับมาท่ีจักรยาน ใส่น้ำมันท่ีโซ่หน่อย เพราะล้างเสียสะอาดเมื่อวานนี้ หยอดยังไม่ทันรอบโซ่ เงยหน้าขึ้นมา อึ๋ย…เณรน้อยพากันมาจากไหนไม่รู้ 10-20 คน (เรียกสรรพนามถูกมั้ยเนี่ย?) มุงดูเราอยู่ โจคิมกำลังรื้อกระเป๋าหาถุงมือเผอิญเอากล้องส่องทางไกลขึ้นมาวางบนอานก็มีเณรน้อยหยิบไปส่อง แล้วมันก็ถูกหยิบจากมือเณรคนแรกเอาไปส่อง ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งต้องขอคืนไม่อย่างนั้นคงได้ยืนรออยู่ตรงนั้นจนหมดเวลาพักของพวกเขา เณรน้อยบวชเรียนยังงัยก็ยังเป็นเด็ก อยู่ดีเนอะ ซุกซนเหมือนเดิม

วัดบนภูเขาใกล้ ๆ ท่ีพัก

วัดบนภูเขาใกล้ ๆ ท่ีพัก

สีสรรภายในวัด

สีสรรภายในวัด

ได้เวลาออกเดินทางต่อ เราต้องปั่นย้อนออกทางเดิม 3 โลกว่า ๆ เมืองลังมุซี่อยู่ท่ีความสูงประมาณ 3300 ออกมาถึงปากทางก็ไหลลงเขาเลยสบาย แต่สักพักก็ต้องปั่นขึ้นไปอีก 300 เมตร ก็สาหัสอยู่เหมือนกัน วันนี้ทำไมเหนื่อยจัดซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ เราพักกันตั้ง 4-5 วันท่ี่ลังมุซี่ แรงน่าจะเยอะแต่กลับกลายเป็นว่าปั่นตามโจคิมไม่ไหว หรือว่าแรงหดหายไปเรื่อยไม่รู้นิ สายหน่อยรู้สึกแน่นท้องอึดอัด ไม่รู้ว่ามาจากอาหารท่ีกินมากเกินไปก่อนปั่นหรือใส่กางเกงหลายชั้นวันนี้ใส่ 3 ชั้น (คือ 1. กางเกงจักรยานขาสั้น 2. กางเกงยางยืดแนบตัวขายาว 3. กางเกงขายาวตัวท่ีใส่ประจำ) เพราะรู้สึกเย็น ๆ  น่าจะทุกอย่างรวมกัน ตอนออกจากเมืองแค่ 6-7 องศาเอง แต่พอปั่นขึ้นมาระดับ 3600 อุณหภูมิกลับสูงขึ้นเป็น 11-12 องศาแปลกมาก ขาก็ดูเหมือนไม่มีแรงท่ีจะปั่น พยายามขนาดไหนก็ไม่เป็นผล หรืออาจจะเป็นเพราะความสูง แต่เราก็อยู่ในระดับนี้มาเป็นอาทิตย์แล้วนี่นา น่าจะปรับสภาพร่างกายได้แล้ว งง คงจะพักนานเกินไป 😉 โจคิมพูดถึงพักเท่ียงกินไข่ต้มท่ีซื้อมาจากร้านข้าง ๆ ท่ีพัก ท่ีได้ไข่ต้มมาเพราะเขากำลังต้มอยู่ เราชี้อย่างเดียว แต่ท้องอืด ๆ เลยยังไม่นึกอยากกินอะไร

ทางเข้าไปอีกเมืองท่ีนักท่องเท่ียวหลายคนอยากจะไปท่ีนั่นมาก เราเลยไม่ไป 555 ไม่ใช่ค่ะ พอดีมันไม่ได้อยู่ในเส้นทางของเรา ไม่อยากปั่นอ้อม

ทางเข้าไปอีกเมืองท่ีนักท่องเท่ียวหลายคนอยากจะไปท่ีนั่นมาก เราเลยไม่ไป 555 ไม่ใช่ค่ะ พอดีมันไม่ได้อยู่ในเส้นทางของเรา ไม่อยากปั่นอ้อม

วิวจากบนภูเขา

วิวจากบนภูเขา

แต่ก็ปั่นมาเรื่อย ๆ ช้า ๆ จนมาถึงเมืองโซยเก (Zoige) ระยะทางประมาณ 90 กม. หลัง ๆ นี่เราจะเช็คจากหนังสือเดินทางละ ว่ามีท่ีพักหรือโรงแรมตรงไหน เพราะถ้าเขามีลงในหนังสือเดินทางนั่นหมายความว่าโรงแรมหรือเกสต์เฮาส์นั้นสามารถรับชาวต่างชาติได้ ขี้เกียจเข้าไปถามว่าเขามีใบอนุญาติหรือเปล่า แต่เวลาท่ีเรามาถึงเมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองโซยเก ก็ต้องมองหาและถามไปเรื่อย อย่างน้อย 2-3 แห่งกว่าจะเจอท่ีท่ีสามารถให้เราพักได้ เรามาเจอโรงเตี้ยมนี่เป็นท่ีท่ีสี่ เฮ้อ…เหนื่อยใจ หาท่ีกางเต้นท์ยังใช้เวลาน้อยกว่าอีก พอเช็คอินเอากระเป๋าขึ้นห้อง เราก็รีบเปิดฮีตเตอร์เครื่องทำความร้อน อ้าว…ทำไมไม่ทำงานหนาวนะ เดินลงไปหาเด็กท่ีพามาดูห้อง เขาตามมาและบอกว่าเครื่องทำความร้อนจะทำงานตอนสองทุ่ม ดีท่ีแผ่นทำความร้อนท่ีเตียงทำงานได้เลย เราไม่รู้หรอกเขาขึ้นมาเปิดให้ ไม่อย่างนั้นคืนนี้ได้นอนหนาวถึงแม้จะมีคนรู้ใจอยู่ข้าง ๆ 😉 พอจะอาบน้ำ อ้าว..ทำไมน้ำไม่ร้อนเอ่อ..หรือต้องรอจนถึงสองทุ่มด้วย รอไม่ไหวละหิวออกไปหาอะไรกินก่อนละกัน

ท่ีพักดูโรแมนติคมั้ย ตอนดึกต้องลุกขึ้นมาเบาไฟแผ่นทำความร้อนท่ีเตียง

ท่ีพักดูโรแมนติคมั้ย ตอนดึกต้องลุกขึ้นมาเบาไฟแผ่นทำความร้อนท่ีเตียง

ในเมืองโซยเก

ในเมืองโซยเก

เดินไปท่ีร้านอาหาร จริง ๆ มันดูเหมือนว่าเขาปิดร้านแล้ว แต่เห็นคนเดินเข้าไปแล้วก็หิ้วกล่องอาหารออกไป เราทำท่าว่าจะเอาแบบลูกค้าคนนั้นแต่เขาไม่เข้าใจ เลยต้องพยายามสั่งอะไรท่ีสามารถใช้ภาษามือแบบง่าย ๆ สรุปได้ข้าวผัดไข่ อ้า..ครั้งนี้ได้อย่างท่ีสั่งนะ ไม่เหมือนตอนสั่งไข่ต้มถ้าไม่ได้ไข่น้ำก็ไข่ดาว 🙂 ตอนท่ีพยายามสั่งอาหารลูกสาวเขานั่งทำการบ้านอยู่ เห็นเขาค้น ๆ ในกองหนังสือของเขาน่าจะหาหนังสือเรียนภาษาอังกฤษ คงหาไม่เจอเลยเดินไปเรียกเพื่อน ๆ มาช่วยกัน น่ารักดีเห็นความพยายามของเขาแล้วอนาคตน่าจะไปได้ไกล

โรงเตี้ยมท่ีนี่ในราคาคืนละร้อยหยวนส่วนใหญ่ไม่มีอาหารเช้า เราเลยต้มมาม่ากินกันไปก่อนแต่เวชปล่อยให้มันแช่อยู่ในน้ำร้อนเร็วไปหน่อย วันนี้เลยยังรู้สึกอึดอัดในท้องอยู่ ชักไม่อยากินมาม่าอีกเลย หรือไม่อย่างนั้นก็เอาแต่เส้นแล้วหาอะไรอย่างอื่นมาใส่แทนพวกผงท่ีเขาให้มา ไม่ใช่ง่ายอีก แฮ่.. ตอนท่ีไปแวะซื้อขนมปังและของกินเล่นเพิ่มพลังงานอื่น ๆ เวลาเราจอดจักรยานอยู่หน้าร้าน มักจะมีคนเข้ามาชวนคุยด้วย ทุกครั้งท่ีบอกว่าเราเป็นคนไทยมีแค่คนเดียวตอนนี้ท่ีเข้าใจและพยายามพูดภาษาจีนน้อยคำ ทำท่าทำทางมากขึ้น คือคนท่ีทำงานท่ีร้านอาหารท่ีเมืองลังมุซี่ นอกจากนั้นพยักหน้ารับรู้แต่ก็ยังพูดไม่ยอมหยุด เอ้า..พูดไป ๆ จับได้คำไหนท่ีพอรู้ความหมายข้าพเจ้าก็เดาไปเรื่อยเปื่อยละนะ

หมู่บ้านแถบนี้ยังคงมีสไตล์แบบทิเบตอยู่ หรือว่าคนจีนอยู่ท่ีลุ่มส่วนคนทิเบตอยู่บนเขา เดาเอานะค่ะ ;-)

หมู่บ้านแถบนี้ยังคงมีสไตล์แบบทิเบตอยู่ หรือว่าคนจีนอยู่ท่ีลุ่มส่วนคนทิเบตอยู่บนเขา เดาเอานะค่ะ 😉

อีกมุมหนึ่งของหมู่บ้านถัดไป

อีกมุมหนึ่งของหมู่บ้านถัดไป

บรรยากาศทิเบตรายทาง

บรรยากาศทิเบตรายทาง

วันนี้ก็ไม่รู้สึกอยากอาหารเหมือนเมื่อวาน แต่อยู่ดี ๆ ท้องร้องจ๊อก ๆ และไม่มีแรงเลยหยุดและกินไข่ต้มท่ีเหลือจากเมื่อวาน แกะ ๆ กินอยู่มีรถตู้คันหนึ่งโบกมือทักทาย เราก็โบกกลับ เอ้าเฮ้ย…รถตู้จอดและถอยหลังกลับมาหาเรา เวชกำลังหยิบผลไม้อบแห้งกินต่อ เลยเดินไปหาเขาและแบ่งให้กิน ตอนแรกเขาไม่เอาแต่เราขะยั้นขะยอให้หยิบคนละอัน เพราะนั่งกันมาสองคน เขาบอกให้เอาจักรยานขึ้นรถและชวนเราไปกินข้าวด้วยกันท่ีไหนก็ไม่รู้ เราปฏิเสธไปเพราะเพิ่งกินไข่ต้มกันไป เฮ้อ..เห็นสองคนนี้แล้วให้นึกถึงหนุ่มสองคนท่ีพยายามโบกรถให้เราตอนท่ีเราปั่นอยู่ในทะเลทราย

ขึ้นเขากันต่อ เมืองแต่ละเมืองส่วนใหญ่จะอยู่ท่ีลุ่มพอออกจากเมืองปุ๊บก็ขึ้นเขาแทบจะทันที

ขึ้นเขากันต่อ เมืองแต่ละเมืองส่วนใหญ่จะอยู่ท่ีลุ่มพอออกจากเมืองปุ๊บก็ขึ้นเขาแทบจะทันที

ช่วง 2-3 วันนี้เราอยู่ท่ีระดับความสูง 3000-3800 เมตรจากระดับน้ำทะเล ปั่นขึ้นลงอยู่บนนั้นเป็นเวลา 2 วันได้ เป็นภูท่ีกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเลย เห็นเขาเลี้ยงแพะ แกะและยอร์คกันมากมาย ระหว่างทางนี่เห็นโดมท่ีเขาสร้างขึ้นมาเหมือนเป็นรีสอร์ต ท่าทางน่าสนุกถ้ามากันเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ เพราะเขาสร้างกระโจมเป็นวงกลมและมีท่ีย่าง ๆ อยู่ตรงกลางนั่งกินล้อมวง หมู่บ้านตามทางเริ่มให้ความรู้สึกว่าอยู่เมืองจีนล่ะแต่ก็ยังคงมีบรรยากาศของทิเบตอยู่

นี่คือทางเข้าอุโมงค์ อย่างกับประตูเข้าเมือง อุโมงค์นี้มืดมาก ไฟเวชไม่สว่างพอปั่นเข้าไปในความมืด มันโหวงเหวงน่าดู

นี่คือทางเข้าอุโมงค์ อย่างกับประตูเข้าเมือง อุโมงค์นี้มืดมาก ไฟเวชไม่สว่างพอปั่นเข้าไปในความมืด มันโหวงเหวงน่าดู

บนภูนี้มีวนอุทยานอยู่หลายแห่ง ช่วงนี้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ

บนภูนี้มีวนอุทยานอยู่หลายแห่ง ช่วงนี้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ

ฤดูใบไม้ผลิคงได้ชมนกกระเรียน ท่ีสวีเดนจะมีนกกระเรียนอพยพมาช่วงเมษา

ฤดูใบไม้ผลิคงได้ชมนกกระเรียน ท่ีสวีเดนจะมีนกกระเรียนอพยพมาช่วงเมษา

คิดว่าน่าจะทำเป็นท่ีพัก ถ้าปั่นผ่านตอนท่ีต้องหาท่ีพักอาจจะเข้าไปติดต่อ เสียดาย!!! ระหว่างทางก็เห็นมีทัวร์ขี่ม้าด้วย แต่ธรรมชาติเป็นท่ีโล่ง ๆ ไม่เหมือนกับท่ีเราออกไปท่ีเมืองลังมุซี่

คิดว่าน่าจะทำเป็นท่ีพัก ถ้าปั่นผ่านตอนท่ีต้องหาท่ีพักอาจจะเข้าไปติดต่อ เสียดาย!!! ระหว่างทางก็เห็นมีทัวร์ขี่ม้าด้วย แต่ธรรมชาติเป็นท่ีโล่ง ๆ ไม่เหมือนกับท่ีเราออกไปท่ีเมืองลังมุซี่

ระดับ 3840 จากตรงนี้ไปก็ลงเรื่อย ๆ

ระดับ 3840 จากตรงนี้ไปก็ลงเรื่อย ๆ

หลังจากผ่านจุดสูงสุดท่ีระดับ 3840 เมตรเราก็เริ่มลงอย่างเดียวสนุกมาก แต่ทางก็มีขึ้น ๆ ลง ๆ นิดหน่อย จนกระทั่งเรามาถึงเมืองสองพัน (Songpan) วันนี้ปั่นกันยาวหน่อยเกือบ 160 กม. มีเมืองหนึ่งที่อยู่ก่อนเมืองสองพัน เป็นแผนสำรองเผื่อว่าเวชปั่นไม่ไหวเพราะท้องยังอืด ๆ อยู่ แต่พอปั่นถึงเมืองนั้นมันดูไม่น่าอยู่เอาเสียเลย อีกอย่างเมืองสองพันน่าอยู่กว่ามีสถานท่่่่ีท่องเท่ียวมากกว่า เลยอดทนอีกนิดปั่นไปอีกประมาณ 20 กม. ดีท่ีทางลาดลง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ไหวแน่

สะพานท่ีเราปล่อยไหลลงจากเขามาเรื่อย ๆ

สะพานท่ีเราปล่อยไหลลงจากเขามาเรื่อย ๆ

ไหลลงเขามาเรื่อย ๆ พอเลี้ยวโค้งมาดันมาเจอทางขึ้น งง

ไหลลงเขามาเรื่อย ๆ พอเลี้ยวโค้งมาดันมาเจอทางขึ้น งง

ทั้ง ๆ ท่ีเช็คระดับความสูงมาก่อนแล้วแต่ก็ยังไม่วายประหลาดใจเวลาท่ีต้องมาเจอความชันเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่หลายโค้งและเกือบทุก ๆ 5-10 กม.

ทั้ง ๆ ท่ีเช็คระดับความสูงมาก่อนแล้วแต่ก็ยังไม่วายประหลาดใจเวลาท่ีต้องมาเจอความชันเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่หลายโค้งและเกือบทุก ๆ 5-10 กม.

เกสต์เฮาส์สตึกไตล์เก่า ๆ ท่ีเมืองสองพัน

เกสต์เฮาส์สตึกไตล์เก่า ๆ ท่ีเมืองสองพัน

ในเมืองเก่าของท่ีเมืองสองพัน

ในเมืองเก่าของท่ีเมืองสองพัน

จุดท่องเท่ียวของเมืองสองพัน

จุดท่องเท่ียวของเมืองสองพัน

จีน => จาก Gannan (กันนัน) – Luqu (ลูคู) – Langmusi (ลังมุซี่)

2-3 วันท่ีผ่านมาโดนฝนเล่นงานจนเปียกปอนจนถึงกันนัน แต่จากกันนันเช้ามาฟ้าใสแถมลมก็ไม่มีอย่างนี้สิค่อยน่าปั่นเท่ียวหน่อย ท่ีกันนันนี่เริ่มเข้าเขตท่ีี่มีคนทิเบตเป็นส่วนมาก บ้านเมืองมีรูปทรงและทาสีตกแต่งไปทางสไตล์ทิเบต เห็นคนแถวนี้ยังแต่งตัวพื้นเมืองของทิเบตเดินกันขวักไขว่ เราปั่นผ่านวัดเห็นพระทิเบต พูดถึงถ้าเราไปทิเบตต้องซื้อทัวร์และไกด์ราคาค่อนข้างแพง ปั่นเท่ียวอยู่แถวนี้ก็ได้บรรยากาศของทิเบตได้เหมือนกัน เคยได้ยินคนเยอรมันคนหนึ่งท่ีเจอท่ีซาร์มาคัน เขาว่าแถวนี้ยังดูเป็นทิเบตมากกว่าในทิเบตเองด้วยซ้ำไป เอาไว้ทริปหน้าเราจะไปพิสูจน์ 😉

ป่ันลงเขามาเห็นวัดแต่ไกลท่ีหมู่บ้านนึงแวะเข้าไปถ่ายรูปวัด มีพระรูปหนึ่งชวนให้เข้าไปดื่มชา คุยกันสักพักเรื่องพระไทยท่านรู้ว่าพระไทยออกไปบิณฑบาตรแต่ท่านต้องทำอาหารเอง เราเข้าใจเช่นนั้นและขึ้นไปดูภายในวัด เราก็ไม่รู้ประเพณีของวัดท่ีนี่เนอะ ตอนแรกว่าจะออกไปเอาเงินมาบริจาคให้พระโดยตรง แต่พอดีมีแต่แบงค์ 50 หยวน เยอะไปหน่อย ยังไม่รวยขนาดจะบริจาคขนาดนั้นอ่ะ แต่พอขึ้นไปชมภายในวัด เห็นเขาบริจาคแบงค์ 1 หยวนกัน ก็เลยเดินลงไปเอามา 2 หยวนและหย่อนไว้ท่ีนั่นด้วย พระท่านก็อยากให้เราอยู่คุยต่อนะ แต่เราต้องไปต่อเลยถ่ายรูปกันเป็นท่ีระลึกแล้วก็ร่ำลากัน ดูท่านน่าศรัทธานะ อยู่แบบง่าย ๆ ท่ีนอนเรียบง่าย

ปั่นผ่านหมู่บ้านเห็นวัดแต่ไกลเลยแวะเข้าไปดู

ปั่นผ่านหมู่บ้านเห็นวัดแต่ไกลเลยแวะเข้าไปดู

เขาจะหมุนเวลาท่ีสวดมนต์

เขาจะหมุนเวลาท่ีสวดมนต์

นั่งดื่มชาท่ีกุฏิเลย ตรงท่ีพระนั่งคือท่ีนอน ท่ีอ่านหนังสือ อยู่ภายในห้องเล็ก ๆ นั่น

นั่งดื่มชาท่ีกุฏิเลย ตรงท่ีพระนั่งคือท่ีนอน ท่ีอ่านหนังสือ อยู่ภายในห้องเล็ก ๆ นั่น

ด้านหน้าวัด

ด้านหน้าวัด

ด้านใน ดูอลังการมากไม่เหมือนท่ีดูจากภายนอก

ด้านใน ดูอลังการมากไม่เหมือนท่ีดูจากภายนอก

วันนี้อากาศดี ส่วนใหญ่เราจะพกขนมปังไว้กินตอนเท่ียง หิวเมื่อไหร่ก็หยุดกินกันเมื่อนั้น หมู่บ้านแถวนี้คนเขามีอัธยาศัยดี ร้องทักทายแม้แต่เด็กเล็ก ๆ ชื่นใจจัง เราเช็คในแผนท่ีและรู้วาวันนี้ต้องปั่นขึ้นเขาแต่ไม่ชันเท่าไหร่

หมู่บ้านระหว่างทาง

หมู่บ้านระหว่างทาง

ป้ายนี้ชอบมาก แต่กว่าจะมาเจอก็ต้องปั่นขึ้นมาก่อนแหละเนอะ

ป้ายนี้ชอบมาก แต่กว่าจะมาเจอก็ต้องปั่นขึ้นมาก่อนแหละเนอะ

อากาศเริ่มดีขึ้น ได้เอากล้องออกมากด ๆ บ้างละ

อากาศเริ่มดีขึ้น ได้เอากล้องออกมากด ๆ บ้างละ

เมื่อวานเราออกมาจากกันนันสายเลยปั่นได้ไม่ไกลนักตั้งใจว่าจะไปพักท่ีเมืองลูคู ปั่น ๆ ไปก่อนจะถึงเมืองนั้นเห็นจุดกางเต้นท์และสายน้ำเลยหยุดเสียตรงนั้นเพราะใกล้มืดเต็มที หาท่ีหาทางจัดเก็บทุกอย่างเรียบร้อย เริ่มลงเม็ดเล็ก ๆ เข้าเต้นท์ดีกว่า แป๊บเดียวเท่านั้นเองฝนเทลงมาเลยทันเวลาพอดี

เช้าออกมาอากาศยังดี ๆ อยู่ แต่พอกางเต้นท์จัดของเรียบร้อย มุดเข้าเต้นท์ปุ๊บฝนตกปั๊บ ทันเวลาพอดี เฮ้อ..

เช้าออกมาอากาศยังดี ๆ อยู่ แต่พอกางเต้นท์จัดของเรียบร้อย มุดเข้าเต้นท์ปุ๊บฝนตกปั๊บ ทันเวลาพอดี เฮ้อ..

เช้ามาฝนก็ยังตกอยู่ ท่ีจริงมันตกทั้งคืนเลยแหละ นอนฟังเสียงฝนตอนกลางคืนโดยท่ีไม่ต้องออกไปข้างนอกมันเพลินกว่าตอนเช้าท่ีจำเป็นต้องเก็บเต้นท์และเดินทางต่อ 🙁 เวลาอยู่ในเต้นท์เสียงอะไรต่อมิอะไรมันดูเกินจากความเป็นจริงไปหน่อย เพราะพอเราออกมาลมท่ีเราได้ยินเหมือนพัดกันสนั่นหวั่นไหวก็เบาลง ฝนท่ีคิดว่ายังตกหนักอยู่ก็แค่ปรอย ๆ นิด ๆ

ร้านอาหารข้างทาง ไม่มีเมนูเพราะเขาขายอยู่อย่างเดียวคือก๋วยเตี๋ยว

ร้านอาหารข้างทาง ไม่มีเมนูเพราะเขาขายอยู่อย่างเดียวคือก๋วยเตี๋ยว

ทางขึ้น ๆ ลง ๆ

ทางขึ้น ๆ ลง ๆ

วิวระหว่างทางท่ีเริ่มงดงามหลังฝน

วิวระหว่างทางท่ีเริ่มงดงามหลังฝน

วิวถัดไปอีก 2-300 เมตร

วิวถัดไปอีก 2-300 เมตร

อีกมุมหนึ่ง

อีกมุมหนึ่ง

เห็นป้ายบอกทางเข้าเมืองลังมุซี่ว่าอีก 3.7 กม. เฮ่อ..ขึ้นลงมาทั้งวันอยากเห็นป้ายแล้วถึงเลยอะไรประมาณนั้น แต่นี่ต้องเลี้ยวไปอีกทางจากถนนใหญ่ ไปก็ไป ท่ีเมืองนี้สูงถึง 3300 เมตรจากระดับน้ำทะเล อากาศเย็นถึงเย็นมาก อ่านใน Lonely Planet เขาว่าเกสต์เฮาส์นี่น่าอยู่ ลองเชื่อดูหาไม่ยากด้วยช่วงนี้น่าจะไม่ใช่ฤดูกาลท่องเท่ียวเขายกห้อง 8 เตียงให้เราเลยราคา 70 หยวน แต่ภายในห้องมีแต่เตียงจริง ๆ เครื่องทำความร้อนหามีไม่ อึ๋ย…เย็นมากนั่งในห้องยังต้องใส่เสื้อกันหนาวกันตั้งหลายชั้น แต่มันถูกดี ท่ีเมืองนี้มีร้านอาหารท่ีมีแต่อาหารฝรั่งด้วย รู้สึกหิวสปาเกตตี้และเฟรนช์ฟรายด์ขึ้นมากระทันหัน เลยเดินไปกินมื้อเย็นกันท่ีนั่น เมืองนี้เห็นนักท่องเท่ียวส่วนใหญ่เป็นคนจีน แต่มีบางส่วนท่ีเป็นชาวต่างชาติอยู่เหมือนกัน เราเจอคนสวิสมั้ง เขาซื้อจักรยานท่ีเฉินตูปั่นมาถึงเมืองนี้แล้วขายจักรยานเดินทางต่อโดยรถทัวร์ เข้าท่าดีเหมือนกันเนอะ

แล้วเราก็ฟันฝ่ามาถึงเมืองลังมุซี่จนได้ ท่ีนี่คือเกสต์เฮาส์ท่ีเขาแนะนำใน Lonely Planet

แล้วเราก็ฟันฝ่ามาถึงเมืองลังมุซี่จนได้ ท่ีนี่คือเกสต์เฮาส์ท่ีเขาแนะนำใน Lonely Planet

หลังจากท่ีกินอาหารจีนและมุสลิมมานาน ขอชิมสปาเก็ตตี้และเฟรนช์ฟรายด์ร้านนี้หน่อยละกัน

หลังจากท่ีกินอาหารจีนและมุสลิมมานาน ขอชิมสปาเก็ตตี้และเฟรนช์ฟรายด์ร้านนี้หน่อยละกัน

เราปั่นกันมาตลอดทั้ง 11 วันเลยอยากหยุดสักวัน ถ้าอย่างนั้นต้องหากิจกรรมทำและท่ีร้านอาหารฝรั่ง เขามีทัวร์ออกไปเทรคกิ้งบนหลังม้าด้วย จริง ๆ ต้องบอกล่วงหน้า 1 วัน ช่วงนี้คงยังไม่ค่อยมีคนเขาเลยขอเวลา 2 ชม. พอได้เวลาเราเดินไปท่ีคอกม้า เขาสอนเราบังคับม้าให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาให้เดิน, หยุด สอนให้จับบังเหียนยังงัย ขึ้นลงม้า ดูเขาทำแล้วง่ายจังเนอะ แต่พอเราจะปีนขึ้นม้า หง่า.. ต้องให้เขาช่วยดันขึ้น พอขึ้นไปบนหลังม้ารู้สึกสูงมาก ม้าพวกนี้น่าจะถูกสอนจนเชื่องบังคับง่ายมาก ดึงบังเหียนไปทางขวานิิดเดียวก็เลี้ยวตามละ แต่มันชอบแอบกินหญ้า เขาบอกว่าไม่ควรให้มันกิน เพราะเดี๋ยวมันปวดท้อง เหมือนคนกินเสร็จก็ต้องพักผ่อน แต่มันต้องเดินต่อเพราะฉนั้นอดกิน ต้องคอยดึงบังเหียนเข้าตัวเพื่อดึงหัวมันขึ้น

ครั้งแรกท่ีออกไปเดินในธรรมชาติบนหลังม้า สนุกดี

ครั้งแรกท่ีออกไปเดินในธรรมชาติบนหลังม้า สนุกดี

ให้ม้าแวะกินน้ำ ถ้ามันอยากกินน้ำ เราต้องผ่อนบังเหียนให้มันได้ก้มลงไปกิน

ให้ม้าแวะกินน้ำ ถ้ามันอยากกินน้ำ เราต้องผ่อนบังเหียนให้มันได้ก้มลงไปกิน

SONY DSC

ออกทริปไปเจอคนจากเมืองปราก แต่เขาทัวร์สองวันเลยแยกกันระหว่างทาง

ออกทริปไปเจอคนจากเมืองปราก แต่เขาทัวร์สองวันเลยแยกกันระหว่างทาง

ไกด์ถ่ายให้

ไกด์ถ่ายให้

อีกใบหนึ่ง

อีกใบหนึ่ง

ครึ่งทางก่อนท่ีเราจะกลับเข้าเมืองไกด์พามาพักแถวนี้ พักก้นมากกว่า เมื่อยเหมือนกันแต่อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่เคยชินก็ได้นะ ทัศนียภาพแถวนั้นสวยมาก นี่ถ้าเราเดินกันเข้ามาเองคงใช้เวลานาน มีบางช่วงม้ามันเดินใกล้ขอบของความชันไปหน่อย กลัวนิด ๆ ว่ามันจะลื่นแล้วข้าพเจ้าจะตกม้าตายจริง ๆ แต่มันฉลาดพอท่ีจะไม่ทำร้ายตัวมันเองและผู้อื่น 🙂 เขาไม่ได้ใส่เกือกม้าให้มันเพราะบางทีเราเดินเข้าไปในทุ่งหญ้าอาจทำให้มันลื่น เดินไปเดินมาเรามาเห็นซากยอร์คกลางทุ่ง ตอนแรกนึกว่าใครมาขโมยฆ่ามัน แต่ไกด์ว่าเป็นฝีมือของหมาป่า

ยอร์คตัวนี้โชคร้ายเจอฝูงหมาป่าไล่ล่า ไกด์เรานับอายุของมันได้ 7 ปีจากเขาของมัน

ยอร์คตัวนี้โชคร้ายเจอฝูงหมาป่าไล่ล่า ไกด์เรานับอายุของมันได้ 7 ปีจากเขาของมัน

เมื่อยกันมาจากหลังม้า เราตั้งใจจะเดินทางต่อวันรุ่งขึ้น แพ๊คกระเป๋า ล้างจักรยาน เต้นท์ตากแห้งแล้ว เตรียมตัวกันพร้อม พอเช้าโจคิมตื่นไปเข้าห้องน้ำ มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นรถคันหนึ่งสีดำแต่เอ..ทำไมหลังคามันสีขาว ไอ่หย๋า..หิมะนี่นา เอาละสิ มองขึ้นไปบนภูเขาก็เห็นขาว ๆ เสร็จเลย ความไม่อยากออกไปไหนทวีขึ้นปรี๊ด แล้วเราก็ตัดสินใจอยู่ต่ออีกคืนแบบพักผ่อนให้เต็มท่ีเสียเลย

วัดท่ีเราขึ้นไปเยี่ยมชมก่อนออกจากลังมุซี่

วัดท่ีเราขึ้นไปเยี่ยมชมก่อนออกจากลังมุซี่

จีน => จาก Minhe (หมินเฮอ) ผ่านหลายหมู่บ้านข้ามแม่น้ำฮวงโหไป Gannan (กันนัน)

ช่วงนี้ปั่นกันหลายวันหน่อยเพราะอยากจะออกจากบริเวณนี้มาก คือบนช่วงเทือกเขาอากาศเริ่มเย็นขึ้นเปลี่ยนเป็นหน้าฤดูใบไม้ร่วงอากาศเหมือนท่ีสวีเดนเลย เลยยิ่งอยากจะหนีจากบริเวณนี้เร็ว ๆ และอีกอย่างคือเรามีเรื่องให้คิดเกี่ยวกับการต่ออายุวีซ่าว่าจะต่อท่ีไหนเมื่อไหร่ซึ่งหวังว่าคงไม่มีปัญหา เมื่อคืนนอนกันดึกไปหน่อย เขียนบล๊อค ตื่นเกือบ 9 โมง เรานั่งเขียนของเรากว่าจะเสร็จก็เกือบบ่าย ตอนเช้ากินมาม่าท่ีห้องตั้งแต่เข้าจีนมานี่กินมาม่าบ่อยมาก เริ่มเบื่อเดี๋ยวต้องคอยมองหาอย่างอื่นบ้างล่ะ เรียบร้อยแล้วเราปั่นออกนอกเมือง ทางเริ่มขรุขระ โจคิมหาทางลัดออกไปถนนใหญ่ เข้าทางเล็ก ๆ เลี้ยวลึกเข้าไปตามหมู่บ้าน ตอนปั่นผ่านร้านขายผลไม้ข้างทาง เห็นนักปั่นน่าจะเป็นคนจีน เราจอดกินผลไม้กันอยู่แต่เขาโบกมือให้แล้วปั่นต่อไป ปั่นมาเรื่อย ๆ เจอนักปั่นอีกคน คนนี้กลับรถแล้วจอดคุยกัน เขาจะไปท่ีทะเลสาปท่ีไปดูนกกัน เริ่มเห็นนักปั่นมากขึ้น ก่อนท่ีจะเลี้ยวซ้ายเข้าทางลัดมีอุบัติเหตุรถชนกัน โชคดีเราไม่ได้อยู่ตรงท่ีเกิดเหตุนั้นด้วย รถติด คนเยอะมาก จีนบริเวณนี้มีมุสลิมอีกกลุ่มหนึ่ง เรียกว่า “หุ๋ย” ท่ีไม่ใช่อูกูรอย่างท่ีเราพบท่ีมณฑลซินเจียง การแต่งกายแตกต่างกันเล็กน้อยโดยเฉพาะหมวกของผู้หญิงท่ีมีทรงสูงกว่าของผู้ชาย เรามาถึงหมู่บ้านหนึ่งท่ีเราจะตัดออกเข้าถนนเล็ก ๆ ตอนนั้นเกือบหกโมงเย็น เราคงปั่นได้อีกแค่ชั่วโมงหนึ่ง เพราะพระอาทิตย์ตกเร็วขึ้น

วิวระหว่างทางออกจากหมินเฮอ

วิวระหว่างทางออกจากหมินเฮอ

ปั่นข้ามสะพานท่ีใหญ่มากข้ามแม่น้ำ มันน่าจะชื่อ Brown river นะ เพราะน้ำเป็นสีน้ำตาล แต่มันเป็นช่วงหนึ่งของ Yellow River = แม่น้ำฮวงโห หมู่บ้านท่ีเราปั่นผ่านมาดูเหมือนจะไม่มีท่ีพัก เพราะเทียบจากกระดาษท่ีให้ฟิชเชอร์เขียนตัวอักษรจีนท่ีแปลว่าโรงเตี้ยมหรือท่ีพักท่ีดีกว่าโรงเตี้ยมหน่อยไว้ให้ ไม่มีท่ีไหนตรงกันเลย และขี้เกียจเดินไปถามด้วย เพราะดูจากในแผนท่ีเราจะปั่นใกล้ ๆ เลียบ ๆ เคียง ๆ กับแม่น้ำ เลยแสวงหาท่ีกางเต้นท์เอาข้างหน้า แต่พอออกจากหมู่บ้านดันขึ้นเขา อ้าว…แล้วจะมีน้ำมั้ยเนี่ย ปั่น ๆ ไป เอ๊ะ…ได้ยินเสียงน้ำไหลนะเลยเดินไปเช็คดู มีบ้านหลังหนึ่งแต่เขาล๊อคจากด้านนอก เราเลยไปทางข้าง ๆ ขึ้นไปหาทำเลบนเนินเขาเล็ก ๆ ดูดีมาก ไม่มีใครสนใจมองขึ้นมา เต้นท์กางสุดท้ายก่อนท่ีพระอาทิตย์จะตกดิน วันนี้เราตั้งเตาเองด้วยนะ รู้สึกภูมิใจท่ีติดเตาได้ ไม่ได้ทำอะไรมากมาย แค่ต้มม่ามา 🙂 กินเสร็จก็เดินลงไปชำระล้างท่ีทางน้ำไหล มืดพอดี แต่ก็ดีรถผ่านไปมาจะได้ไม่ตกใจ คืนนี้นอนเร็วหน่อย เพราะตอนนี้เราอยู่ท่ีความสูงประมาณ 1600 เมตร พรุ่งนี้ต้องปั่นขึ้นเขาสูงประมาณ 2300 เมตรภายใน 10 กม. แต่หลังจากนั้นอีก 20 กม.ก็ไหลลงอย่างเดียว แฮ่ ๆๆ แล้วก็ขึ้นอีก ช่วงบ่ายเราคงอยู่บนเขาสูงประมาณ 2300 – 2500 เมตร คงได้ใส่เสื้อกันหนาวท่ีอุตส่าห์ซื้อมา 🙂 🙂

สะพานข้ามแม่น้ำฮวงโหนี่เป็นสะพานใหม่ท่ีเพิ่งสร้างเสร็จ

สะพานข้ามแม่น้ำฮวงโหนี่เป็นสะพานใหม่ท่ีเพิ่งสร้างเสร็จ

ตรงนี้น้ำใสเชียวน่าลงเล่น แต่ก็น่าจะเย็นทั้งปี เป็นแม่น้ำใหญ่เป็นท่ีสองของจีนรองจากแม่น้ำแยงซี

ตรงนี้น้ำใสเชียวน่าลงเล่น แต่ก็น่าจะเย็นทั้งปี เป็นแม่น้ำใหญ่เป็นท่ีสองของจีนรองจากแม่น้ำแยงซี

ปั่นมาได้ยินเสียงน้ำไหลเลยเข้าไปสำรวจหาท่ีกางเต้นท์

ปั่นมาได้ยินเสียงน้ำไหลเลยเข้าไปสำรวจหาท่ีกางเต้นท์

เมื่อคืนก่อนจะหลับได้ยินเสียงฝนตกนิด ๆ เลยออกไปเอาถุงพลาสติคปิดท่ีเบาะหนัง เช้านาฬิกาปลุกตอน 7 โมงเช้า แต่ฝนตกเลยนอนฟังเสียงฝนได้สักครึ่งชม.ถ้านอนรอให้ฝนหยุดคงไม่ได้ไปไหนแน่ เลยมุดออกมา อืม..ฟังอยู่ในเต้นท์เหมือนมันยังตกหนักนิด ๆ แต่พอออกมาแล้วก็แค่หยด ๆ ไม่มาก ช่วงท่ีเรานั่งกินขนมปังกะกาแฟ ฝนหยุด พอเราเริ่มปั่นออกไปได้ไม่นานก็เริ่มลงเม็ดแล้วก็ตกทั้งช่วงเช้านั้นเลย เปียกกันไปหมด ทางขึ้น ๆ นิด ๆ เรื่อย ๆ จนมาถึงอุโมงค์ ปั่นทะลุไปเราเข้าไปซื้อขนมปังและขอน้ำร้อนเขาชงกาแฟ ยืนกินกันตรงนั้นอยู่สักครึ่งชม.ได้ เปลี่ยนเสื้อผ้าท่ีแห้ง ๆ แล้วก็ไหลลงเกือบ 20 กม.พร้อมลมและฝน หนาวมากหนาวจนปากเขียวตัวสั่น แต่แถวนั้นดูไม่น่าอยู่ เปลี่ยนถุงเท้าและใส่ถุงพลาสติคครอบอีกทีและใส่กางเกงยางยืดเพิ่มอีกตัวหนึ่ง เพราะเริ่มเย็นท่ีเข่า จากตรงนั้นดูแผนท่ีแล้ว น่าจะมีหมู่บ้านท่ีใหญ่หน่อยถัดไปอีก 60 กม. เมื่อเช้าดูกระเป๋ามันสะอาดมากหลังจากถูกฝน แต่พอลงจากเขา ปั่นผ่านตรงท่ีเขาเริ่มก่อสร้าง ฝุ่นท่ีถูกฝนกลายเป็นโคลนสีแดงกระเป๋าเราเลยเขรอะอีกเหมือเดิม

นั่นคือทางออกจากอุโมงค์มา มีอุโมงค์ก็ดีอย่างคือไม่ต้องปั่นขึ้นเขาสูงนัก แต่บางอู่ไม่มีไฟต้องเดินจูงจักรยานกันออกมา

นั่นคือทางออกจากอุโมงค์มา มีอุโมงค์ก็ดีอย่างคือไม่ต้องปั่นขึ้นเขาสูงนัก แต่บางอู่ไม่มีไฟต้องเดินจูงจักรยานกันออกมา

กินขนมปังกาแฟ ตัวแห้งหน่อยแล้วก็ปั่นลงอย่างเดียว เห็นทางแล้วหนาวเลยทั้งลมทั้งฝน

กินขนมปังกาแฟ ตัวแห้งหน่อยแล้วก็ปั่นลงอย่างเดียว เห็นทางแล้วหนาวเลยทั้งลมทั้งฝน

ลงมาถึงทางราบปั่นเข้าเมือง Jongqing กินกลางวันอร่อยจานใหญ่แพงด้วย ปั่นข้ามสะพานข้ามแม่น้ำฮวงโห ปั่นขึ้น ๆ ลง ๆ จนหงุดหงิดเพราะมันไม่หมดเสียที กางเต้นท์นอนใกล้ ๆ ก่อนถึง Dongxing มีคนแวะมาดูเราคร้ังหนึ่งและอีกครั้งหนึ่งมาชวนเราไปนอนบ้านเขา ขี้เกียจเพราะกางเต้นท์และจัดท่ีนอนเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าฝนตกก็ไม่แน่ 555

จานใหญ่มากขนาดปั่นกันมาทั้งวันยังกินไม่หมด แต่อร่อยเนื้อนุ่มเชียว

จานใหญ่มากขนาดปั่นกันมาทั้งวันยังกินไม่หมด แต่อร่อยเนื้อนุ่มเชียว

มีชาวบ้านมานั่งยอง ๆ มองเราจากกองดินท่ีอยู่ทางด้านขวามือของภาพ พอเราเดินไปหาดันจะเดินหนี เอ่อ...

มีชาวบ้านมานั่งยอง ๆ มองเราจากกองดินท่ีอยู่ทางด้านขวามือของภาพ พอเราเดินไปหาดันจะเดินหนี เอ่อ…

เช้ากำลังเก็บเต้นท์มีเด็กผู้ชายเดินเข้ามาสังเกตุการณ์ว่าเราทำอะไร จ้องมองอย่างเดียว เราไม่เริ่มคุยภาษาจีนเพราะกลัวว่าจะยาว แบ่งผลไม้ให้เขาหนึ่งลูก เก็บทุกอย่างเรียบร้อยก็ออกปั่นต่อขึ้นลงนิดหน่อยแล้วหลังจากนั้นลงอย่างเดียวเกือบ 10 กม. ถนนทางลงชันกว่าและขรุขระกว่าทางท่ีเราขึ้นมา ใช้เวลาลงแค่ชม.ครึ่ง แต่ตอนปั่นขึ้นนี่ใช้เวลาทั้งวันเลย ระหว่างทางท่ีปั่นลงมาเห็นเขากำลังก่อสร้างตึกสูง ๆ อยู่ในหุบเขา จีนเขารื้อบ้านเรือนเก่า ๆ แล้วสร้างตึกคอนโดสูงเพิ่มมาตรฐานความเป็นอยู่แล้วท่ีเขามีมาตรการท่ีว่าให้มีลูกแค่คนเดียวแล้วสร้างตึกมากมายอย่างนี้จะมีคนมาอยู่มั้ยเนี่ยอยากรู้จัง

ก่อสร้างตึกสูง ๆ เห็นอยู่ทั่วไปไม่ว่าจะปั่นอยู่ในเมืองใหญ่หรือเมืองในหุบเขา

ก่อสร้างตึกสูง ๆ เห็นอยู่ทั่วไปไม่ว่าจะปั่นอยู่ในเมืองใหญ่หรือเมืองในหุบเขา

เมืองนี้อยู่ในหุบเขาถึงสองชั้นเลยนะเนี่ย

เมืองนี้อยู่ในหุบเขาถึงสองชั้นเลยนะเนี่ย

เราปั่นเข้ามาท่ีเมืองลินเชีย (Linxia) เห็นร้านขายของและชุดคลุมกันฝนราคาถูก ๆ เลยซื้อมา 2 ตัว 40 หยวน ตอนนั้นคนขายหล่อนโมโหลูกตีด้วยเข็มขัดไปตั้งหลายที หันมาคุยกับเราต่อพอเราลองใส่และคุยกัน เธอเดินกลับเข้าไปตีลูกอีกอ่ะ ไม่กล้าต่อราคาเลย จ่ายตังค์แล้วรีบปั่นออกมาเลยปั่นไปอีกหน่อยก็มีอีกหลายร้านท่ีขายร่มและชุดกันฝน อืม…ท่าทางเมืองนี้ฝนตกบ่อย หลังจากนั้นไปหาข้าวเท่ียงกิน เจอร้านนึงมีอาหารตามสั่ง นั่งกันยาวหน่อยเพราะอยากชาร์ตคอมฯ และจีพีเอส ซื้อไข่ต้มจากท่ีร้านไปกินตอนกลางวันน่าจะดี เลยสั่งไข่ต้มผ่านกูเกิ้ล นั่งรอสักพัก เขาเดินมาส่งเป็นกล่องโฟม เอ… สงสัยได้ไข่อะไรอื่นพอเปิดดู เหอะ ๆ ไข่ดาว โอเค! พอเราพร้อมท่ีจะออกเดินทางต่อฝนดันตก แต่มิเป็นไรเรามีชุดกันฝนแล้วได้ใช้ทันที แวะชื้อเป็บซี่เพราะอยากได้ถุงพลาสติคาใส่ครอบถุงเท้า พอเตรียมตัวทุกอย่างเสร็จปั่นออกไป เอ…ล้อหลังมันแปลก ๆ ตอนแรกคิดว่าถนนมันขรุขระ ใช่ขรุขระด้วยยางแบนด้วยเลยต้องเดินหาท่ีเปลี่ยน ฝนตกถนนเฉอะแฉะเลอะเทอะไปหมด เรามานั่งท่ีหน้าร้านท่ียังไม่เปิด ข้าง ๆ นั้นเป็นร้านขายยา คิดว่านั่งตรงนี้คงไม่มีคนเยอะ แต่จอดปุ๊บคนก็เดินมาดูปั๊บ ทำใจเพราะแค่เห็นเราปั่นผ่านเขาก็จ้องตาแทบถลน นี่มาจอดนิ่ง ๆ ปะยางอยู่ตรงหน้า ไม่มามุงให้มันรู้ไป 🙂 🙂 🙂 (พอของเราแบนลืมถ่ายรูป 🙂 คิดค่ามุงละกันนะค่ะ ขอน้ำล้างมือเสียเลย แล้วหาเร่ืองคุยนิดหน่อยเรื่องเส้นทาง ตามแผนท่ีเราจะไปทางขวามือ คนท่ีมามุงเราบอกว่าถนนเส้นนั้นยังซ่อมแซมไม่เสร็จ ควรจะไปใช้ทางเส้นขนาน ดีท่ีถามไม่อย่างนันวันนี้คงไปไม่ถึงไหนแน่ ดูจากปากทางเป็นโคลนแดง ๆ เละ ๆ แต่ถนนท่ีเราปั่นไปก็ไม่ใช่ว่าดีมาก ถนนดีแต่รถหลายคันมาใช้เส้นทางเดียวกัน จราจรเลยคับคั่งไปหน่อย เราพยายามปั่นให้เข้ามาใกล้เมืองกันนัน (Gannan) ให้มากท่ีสุดเพราะทางชันขึ้นเรื่อย ๆเราปั่นผ่านสำนักงานท่ีให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานท่ีท่องเท่ียวของมณฑลกันซูนี้ เราเข้าไปถามดูว่าอีก 10-20 กม.จะมีท่ีพักมีโรงแรมมั้ย ไม่มี แต่มีถ้าปั่นไปอีก 30 กม. อึ๋ย… เวลามันเริ่มเย็นแล้วเน้อ เขาว่ามีเราก็จะปั่นไป เราบอกให้เขาจดชื่อโรงแรมบนกระดาษ แต่มาสังเกตุเห็นทีหลังว้าเขาเขียนชื่อเมืองและระยะทาง เฮ่อ..เศษกระดาษนั่นไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย พอมาถึงทางเข้าเมืองก็เริ่มถามคนแถวนั้น ชี้กันไป พอถามเจอเขาโทรศัพท์ไปคุยกับใครไม่รู้และหันมาบอกเราว่าโรงแรมปิด อุ่ย.. อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงพระอาทิตย์จะตกดินจะเริ่มมืด ช่วงนี้เวลาปั่นของเราหดสั้นลงเรื่อย ๆ จากท่ีเคยปั่นได้ถึงสามทุ่ม ตอนนี้แค่ทุ่มครึ่งก็มืดแล้ว เรารีบปั่นออกไปหาท่ีกางเต้นท์ ไม่ไกลจากตรงนั้นเท่าไหร่ แถว ๆ หมู่บ้าน Wanggeertangxiang นั่นแหละ ออกเสียงไม่ถูกเช่นกันค่ะ

ผ่านประตูนี้ถึงจะเห็นสำนักงานท่องเท่ียว

ผ่านประตูนี้ถึงจะเห็นสำนักงานท่องเท่ียว

ตื่นเช้ามานอนฟังเสียงอีกแล้ว กำลังเก็บเต้นท์อยู่เห็นว่ามีมอเตอร์ไซค์มาจอดห่าง ๆ แล้วจ้องมาทางเรา กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วท่ีถูกจ้อง เราโบกมือทักทายเขาแต่ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมา นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาอีกเรื่องหนึ่ง โบกยังพี่ท่านก็ยังยืนจ้องเหมือนเดิม เชิญ ๆ จ้องได้จ้องไป เฮ้อ..จะบ้าตาย เช้านี้ขี้เกียจตั้งเตาเลยปั่นข้ามไปอีกฝั่งสั่งอาหารเช้ามากิน เรามีขนมปังและกาแฟเอามาเอง เกรงใจเขาเลยสั่งไข่ต้ม 4 ฟอง คราวนี้เขียนในกูเกิ้ลว่า hard boiled eggs นั่งรอสักพัก พอเขาเสริฟมาเป็นชาม เหอะ ๆๆ มันกลายเป็นไข่น้ำ แถมได้คนละ 4 ฟอง โด๊บกันสุด ๆ

ช่วงนี้ก็ยังคงบนเขาขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ปั่นกันสบาย ๆ ทั้ง ๆ ท่ีฝนตก เรายังโชคดีท่ีไม่มีลมมาผสมโรงด้วย ไม่อย่างนั้นคงน่าเบื่อน่าดู ปั่นไปปั่นมา เฮ้ย..ทำไมมันเหนื่อยอย่างนี้เนี่ยะ เสื้อคลุมฝนมันคลุมครอบแฮนด์และบนกระเป๋าหน้ารถทำให้มองไม่เห็นว่าตอนนั้นเป็นเกียร์อะไร นึกว่าเราคงใช้เกียร์หนักแต่เปล่าค่ะ “ยางแบน” ล้อหลังอีกแล้ว วันละหนึ่งแบน ดีท่ีตรงนั้นมีสะพานเราไปปะยางท่ีใต้สะพานให้สะพานบังฝนให้ สักประมาณบ่ายโมงเรามาถึงเมืองกันนัน แวะโรงแรมแรกไม่รับแขกชาวต่างชาติ โรงแรมท่ีสองเต็มเพราะมีเอเย่นซี่มาขอจองทั้งโรงแรม พนักงานให้ชื่อโรงแรมมาสองแห่ง เราเลยถามให้เขาช่วยดูและโทรศัพท์ไปถามท่ีโรงแรมนั้นให้หน่อยว่าเขามีห้องและเราสามารถเข้าพักได้ ท่ีแรกไม่สามารถรับเรา ท่ี่สองบอกว่ามี แต่ไม่สามารถอธิบายเส้นทางให้เราได้ พนักงานต้อนรับโทรศัพท์ไปหาใครไม่รู้แล้วก็ยื่นหูโทรศัพท์มาให้เวช ปรากฎว่าเป็นตำรวจหญิงท่ีสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ เขาก็พยายามบอกเส้นทางให้เราทางโทรศัพท์ แต่ไม่เป็นผล เลยบอกให้เรารออยู่ท่ีนั่นเดี๋ยวเขาจะมาพาเราไปโรงแรมด้วยตัวเอง รออยู่ได้พักใหญ่ ๆ ชักเย็น ตอนแรกเริ่มเย็นท่ีเท้าเพราะชื้นจากฝน ต่อมาเริ่มเย็นทั้งตัวเลยเพราะลมเริ่มแรงขึ้น เรากะว่าเข้าเมืองเร็วหน่อยจะได้พักผ่อนยาว ๆ แต่ต้องมาเสียเวลาหาโรงแรม รอตำรวจ กว่าจะเข้าท่ีพักได้ ปาเข้าไปเกือบเย็น ธรรมดาโรงแรมท่ีมีใบอนุญาติรับแขกต่างชาติท่ีเราพัก ๆ กันมาเขาจะแค่ขอหนังสือเดินทางของเราไปถ่ายเอกสาร แต่ท่ีนี่เรามีตำรวพามา เราเลยต้องกรอกแบบฟอร์มทั้ง ๆ ท่ีไม่เคยกรอกและไม่เคยเห็นแบบฟอร์มนั้นมาก่อนเลย

ตำรวจหญิงท่ีสละเวลาพักเท่ียงมาช่วยนำทางเราไปโรงแรม ในมือเขาคือแบบฟอร์มท่ีเรากรอกเป็นครั้งแรก :-)

ตำรวจหญิงท่ีสละเวลาพักเท่ียงมาช่วยนำทางเราไปโรงแรม ในมือเขาคือแบบฟอร์มท่ีเรากรอกเป็นครั้งแรก 🙂

วิวระหว่างทาง

วิวระหว่างทาง

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC