จอร์เจีย => Borjomi (โบรโจมิ) ไป Gori (โกริ) นั่งรถไฟต่อไป Tbilisi (ทบิลิซิ)
“ชัค” คนแคนาดามาเคาะประตูห้องแต่เช้า เขาคิดว่าเรากำลังแพ๊คกระเป๋าเพื่อออกเดินทาง เขาอยากจะถ่ายรูปเราพร้อมจักรยานที่โหลดกระเป๋าเต็มอัตรา แต่ขอโทษ…พวกเรายังไม่ได้กินอาหารเช้าอันเลิศรสจากแม่ของลีโอเลย จะไปได้อย่างไรกัน 😉 แต่ชัคเขาจะไปพิพิธภัณฑ์และไปเดินเทรคกิ้งบนเขาต่อ เราเลยบ๊ายบายกันตอนนั้น
เกือบเที่ยงกว่าพวกเราจะออกจากที่พัก ปั่นตามทางมาสบาย ๆ เรียบน้ำได้สักพัก ก็เห็นจักรยานแบกสัมภาระเหมือนเราจอดอยู่ข้างทาง ดีใจ ต้องจอดทักทายกันเสียหน่อย เขาเป็นนักปั่นจากสโลเวเนียชื่อ มาโก้ะ (Marko) เขาพักที่โบรโจมิเหมือนกัน เมื่อคืนเขามีไข้และเพิ่งดีขึ้นแต่ยังไม่ค่อยเต็มที่เท่าไหร่ เราเลยปั่นล่วงหน้าไปก่อน แต่แลกอีเมลย์กัน เพราะยังงัยก็คงไปเจอกันที่เมืองหลวงทบิลิซิ เพราะเขาต้องมาขอวีซ่าเข้าคาซัคสถานและอัซเซอร์ไบจานที่นั่น ปั้มน้ำมันที่จอร์เจียส่วนใหญ่ไม่ค่อยใหญ่โตเหมือนที่ตุรกี มีปั้มหนึ่งเราเข้าไปถามหาห้องน้ำ เขาบอกว่าไม่มี เป็นไปได้อย่างไร!! โจคิมเลยไปใช้บริการข้างทาง ขออนุญาติต้นหญ้าต้นไม้ข้างหน้าก็แล้วกัน เราเคยได้พบกับหมอคนหนึ่งที่บาทุมิ เขาแนะนำว่าถ้าจะขอกางเต้นท์หรือบริการที่ดีหน่อยให้เข้าปั้ม SOCAR (โซก้า) เพราะดีที่สุดในจอร์เจีย เพิ่งมารู้เมื่อวานนี้ว่ายี่ห้อนี้เป็นของอัซเซอร์ไบจาน และร้านขายของ Goodwill (กู้ดวิล) ก็เป็นของเขาด้วย
สักบ่ายแก่ ๆ เราพักเอาแพนเค้กสอดไส้ชีสที่แพ๊คมาด้วยออกมากินกัน อืม..เข่าเริ่มปวด ๆ นิด ๆ แต่ก็ยังพอไหว เอายาหม่องออกมาทา ๆ ถู ๆ สักหน่อย เราเริ่มเข้าสู่ถนนใหญ่คือจะเข้าเส้นหลักล่ะ ไหล่ทางเริ่มแคบลง ๆ จนกระทั่่งไม่มี แทบจะตลอดทางต้องตะโกนและเป่านกหวีดให้สัญญาณกัน แต่บางทีเวชเป่าบอกไม่ทันหรือไม่ก็เบาเกิน และหลายครั้งโจคิมต้องหันกลับมามองเอง 🙁 เวชอยู่ข้างหลังเพราะมีกระจกส่องหลัง โจคิมก็อยากมี แต่ที่แฮนด์ไม่มีที่ติด เฮ้อ..และอีกหลายครั้งที่ถูกเบียดลงไปปั่นข้างทางที่มีแต่หินลอย แย่!! แต่ก็ดีกว่าไปเบียดกับสิบล้อ ปั่นบนทางที่ไม่เรียบมันกระเทือนเลยยิ่งรู้สึกแปลบ ๆ ที่เข่า ท่าจะไม่ดี เพราะทุกครั้งที่กดขาลงไปจะรู้สึกเจ็บ และจากตรงนั้นกว่าจะเข้าถึงเมืองโกริ (Gori สตาลินเกิดที่เมืองนี้ด้วยนะ) เกือบ 10 กม. พอดีเห็นป้ายอันใหญ่โตบอกว่าอีก 5 กม.จะถึงปั้มน้ำมันโซก้าและร้านกู้ดวิลแถมมีอินเตอร์เนตด้วย อืม…น่าสน กัดฟันปั่นต่อไป
พอมาถึงเราเช๊คสถานที่ เข้าไปซื้อขนมและสำรวจดู คิดว่าคืนนี้คงได้ฝากท้องอันหิวโหยของเราที่นี่แหละ เราลองปั่นไปที่ปั้ม คุยเล่นกับพวกเด็กปั้มและเจ้าหน้าที่นิดหน่อยแล้วค่อยถามเขาถึงเรื่องกางเต้นท์ อันนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโจคิม เขาให้กางเต้นท์นะแถมยังพาเดินไปตรงที่ที่เราสามารถกางได้ด้วย เกือบจะหน้าปั้มเลย เราจอดจักรยานฝากเขาแถว ๆ ปั้ม แล้วเดินไปหาอะไรกิน เช็คอินเตอร์เนตที่ร้านกู้ดวิล โจคิมรู้สึกเป็นห่วงจักรยานเลยลองเดินไปดู ปรากฎว่าเขาย้ายจักรยานเราไปจอดข้าง ๆ ตึก ขาตั้งของโจคิมหักไปเขาเลยตั้งไม่ได้ เลยเอาไปขี่เล่นเสียเลย แต่มันไม่สมดุลย์เพราะมีกระเป๋าใบหนึ่งเราเอาติดตัวไปที่ร้านเพราะเป็นกระเป๋าคอมฯ พอโจคิมเดินไป ก็เลยดึงกระเป๋าใบหนึ่งออกจากตะแกรงหน้ารถ เหลือสองใบที่ตะแกรงท้ายรถ พนักงานกะกลางวันได้ปั่นคนละรอบ ที่นี้จะล๊อครถก็ดูไม่ดีละ พอเริ่มจะมืด เราก็เลยรีบ ๆ ไปกางเต้นท์และย้ายจักรยานไปแอบ ๆ ข้างตึกและ ”ล๊อค” จักรยานทั้งสองคัน กะกลางคืนมาเข้างาน ซึ่งมีคนหนึ่งที่รู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เขาชอบพูดเรื่องเงิน และคนนี้แหละที่อยากลองปั่นจักรยานของโจคิม อยากมาก ๆ ด้วย ขอตั้งแต่เมื่อคืน แต่โจคิมทำเป็นไม่รู้เรื่องและเข้าไปนอนอ่านหนังสือในเต้นท์ ตรงนี้ชอบที่ตุรกีมากกว่า เพราะคนที่ปั้มให้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า เขาไม่มายุ่งวุ่นวายหรือมาใกล้เต้นท์เราสักนิดเลย แต่ตรงนี้อาจจะเป็นเพราะเรากางเต้นท์ใกล้เขาก็ได้ มีคนหนึ่งเดินร้องเพลง ร้องอย่างเดียวไม่ว่าแต่พี่ท่านเล่นเดินไปทั่วแถมเดินเสียใกล้เต้นท์เรามากเลย ความอยากรู้อยากเห็นเขามีมาก กว่าจะนอนหลับได้
พอเช้ามาเราเริ่มเก็บของ เจ้าคนที่ชอบพูดเรื่องเงินก็เดินตรงรี่เข้ามาเลย และขอปั่นจักรยานทันที เฮ้อ..ปฏิเสธเขามาแล้วครั้งหนึ่ง เช้านี้ก็เลยให้เขาลองปั่นดู เราก็รักของ ๆ เรานี่นา ดูท่าเขาปั่นแล้วเหมือนไม่ทะนุถนอมของเราเลย ดีนะที่ล๊อคไว้เมื่อคืน ไม่อย่างนั้นสภาพคงแย่แน่ สงสารจักรยาน ลูกของเรานะ อืม..จะท้าวถึงความหลังว่าทำไม — ตอนที่ออกไปปั่นซ้อมที่สวีเดนแต่เผอิญมีปัญหาอะไรสักอย่างต้องนั่งรถไฟกลับบ้าน คนขายตั๋วเขาแนะนำให้เราซื้อตั๋วแบบครอบครัว (พ่อ, แม่ ลูก 2 “คัน”:-) ซึ่งจะถูกกว่า ตั้งแต่นั้นมามันก็เลยกลายเป็นลูกเราไปโดยปริยาย 🙂
เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเข่าที่ระบมอย่างที่คิดว่าไม่น่าจะปั่นเข้าทบิลิซิได้ เพราะตั้งแต่ล้มและรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ ไม่เคยมีวันไหนที่รู้สึกปวด ๆ เวลาเดิน เอ..ชักไม่ดี โจคิมเลยเขียนเมลย์ไปเช๊คกับเพื่อนคนหนึ่งเป็นหมอ อีกคนเป็นหมอกายภาพบำบัด เขาให้ความเห็นตรงกันว่าควรจะหยุดพักสัก 2-3 วัน เป็นไปได้ว่าตอนที่โดนกระแทกอาจมีเลือดออกซิบ ๆ ทำให้เจ็บที่จุดนั้น แต่เราก็ได้พักผ่อนหยุดพักตั้ง 3 วันแล้วที่โบรโจมิ แต่อาจจะเป็นเพราะเลือดคั่งนิด ๆ ในเข่าเลยทำให้ต้องใช้เวลามากขึ้น ระหว่างที่นั่งค้นหาข้อมูลว่าควรจะทำอย่างไรกับอาการและรอคำตอบจากเพื่อนหมอทั้งสองคนที่ส่งคำถามคุยกันไปมา เราเห็นจักรยานทัวร์ริ่งคันหนึ่งเข้ามาจอด ตามธรรมเนียมก็ต้องทักทายกันหน่อย ได้ความว่าเขาชื่อ ไซมอน เป็นคนนิวซีแลนด์ ไปพักที่กโลบุส โฮสต์เทล และพบกับหนุ่มโปแลนด์ ”บาเทค” ซึ่งเล่าให้ไซมอนฟังเกี่ยวกับเรา เขาบอกว่าเขาดีใจที่ได้เจอกับเรา เราก็รู้สึกว่าเรากับเขามีอะไรที่คล้าย ๆ กัน หนึ่งเรื่องอายุ น่าจะพอ ๆ กัน ไม่บ้าจี้เหมือนเจ้าทอมกับนิค (แต่ทอมกับนิคก็สามารถเรียกเสียงเฮและเสียงหัวเราะได้ตลอดทางเช่นกัน) สองเรื่องงบ เขาคงเตรียมตัวและเก็บออมเพื่อทริปนี้ คือ เขาก็มีงบพอสำหรับถ้าอยากนอนหรืออยากทำอะไรหรู ๆ สักครั้งสองครั้ง ซึ่งเราก็พอจะทำได้แต่ไม่ได้สุรุ่ยสุร่ายนะ
คุยกันจนกระทั่งเขาจัดการอาหารข้างหน้าเรียบร้อยและพร้อมที่จะเดินทางต่อ เลยบ๊ายบายกันและเช่นเดิมแลกเปลี่ยนอีเมลย์กัน เราไปซื้ออาหารกลางวันมากินและเช๊คหาข้อมูลต่อ ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร เดินอุ่นเครื่องแล้วทั้งช้าและเร็วก็ยังรู้สึกแปลบ ๆ เลยคิดว่าปั่นเข้าเมืองโกริ แล้วนั่งรถไฟเข้าทบิลิซิเมืองหลวงเลยดีกว่า เพราะทอมและนิค เพื่อนชาวอังกฤษที่ปั่นมาล่วงหน้าอยู่ที่นั่นแล้ว ได้เจอกับพวกเขาอีกทีน่าจะสนุกกว่าที่จะอยู่พักดูอาการเข่าที่โกริ นี่เป็นครั้งแรกที่เราใช้พาหนะอื่นโดยนั่งรถไฟระยะทางช่วงนี้ประมาณ 80 กม. อืม..แต่เราก็ยังเดินทางบนบกอยู่นะ
เรามาถึงสถานีรถไฟประมาณบ่ายสามโมง รถไฟออกห้าโมงเย็น เรานั่งรอที่สถานีได้สักชม.นึง ฝนตก ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง อึ๋ย..น่ากลัวมาก นึกถึงตอนที่ไปกางเต้นท์นอนที่โรมาเนียในหุบเขาที่นอนพร้อมเสื้อผ้าเตรียมพร้อมที่จะออกไปสู้กับฝนได้ทุกเมื่อแบบแทบไม่ได้นอนทั้งคืน
เวลาหกโมงเย็นเราก็มาถึงทบิลิซิ เมืองหลวงของจอร์เจีย รถราคับคั่ง เสียงแตรดังทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ไม่รู้ว่าใครกดใส่ใคร ก่อนที่จะมาเราติดต่อกับทอมและรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เราเลยตามมาอยู่กับเขาสองคืน นั่งคุยกันสักถามอัพเดทเรื่องราวของแต่ละคน เย็นหน่อยเราเดินออกไปซื้ออาหารมาทำที่โฮสต์เทลแบบง่าย ๆ และนั่งคุยกันต่อจนดึก
จอร์เจีย => Tbilisi (ทบิลิซิ) ไป Kakheti (คัคเฮติ) ผ่านชายแดนเข้าประเทศอัซเซอร์ไบจาน
หลังจากปั่นออกมาจากทบิลิซิได้ไม่เท่าไหร่ ฝนก็ทำท่าจะตก เราปั่นมาหยุดที่ปั้มแห่งหนึ่ง จอดได้สักพักฝนก็เทลงมาทั้งสองครั้ง ตกหนักจนรู้สึกเย็น ๆ ต้องเอาเสื้อออกมาใส่ ตกค่อนข้างนานเหมือนกัน นั่งรอนอนรอเลย ก็มีคนเข้ามาคุยด้วย เขาพอจะเข้าใจภาษารัสเซียเวชได้บางคำ โจคิมจะรู้มากกว่าเพราะเขาเคยไปเรียนเพิ่มเติมมา พอคุยกันรู้เรื่องเมื่อใช้ภาษามือผสมเข้าไปด้วย
พอฝนหยุดเราปั่นออกไป แต่เผอิญเห็นป้ายโรงแรม เข่าเริ่มเจ็บอีกแล้วเลยเดินเข้าไปถามราคา เขาบอก 50 ลารี่ เราลองต่อเหลือ 40 เขาก็โอเค ต้องลองต่อหน่อยเพราะเงินลารี่เหลือน้อยเต็มที ขนกระเป๋ากันขึ้นไป ดูเผิน ๆ ห้องก็ดูดี แต่พอจะอาบน้ำ น้ำไหลช้าและใช้เวลานานกว่าจะร้อน แต่น้ำในก๊อกที่อ่างล้างหน้าแทบจะไม่ไหล ยังไม่พอ ผ้าปูเตียงก็เหมือนกับว่าไม่ได้เปลี่ยนผ้าใหม่ให้เรา กลิ่นมันฟ้อง เราเลยต้องเอาถุงนอนของเราออกมาใช้ รู้สึกไม่คุ้มกับเงิน 40 ลารี่ที่จ่ายไปเลย เฮ่อ…คราวหน้าคงต้องขอดูห้องก่อน
เช้าวันต่อมาเราปั่นกันมาเรื่อย ๆ ตามทางหลวง โจคิมเอาของหนัก ๆ จากกระเป๋าเวชไปไว้ที่เขา ทำให้เวชแบกสัมภาระเบาขึ้น ช่วยได้เยอะทีเดียว เราพยายามหยุดทุก 10 กม.หรือเท่าที่เวชรู้สึกอยากพัก เพื่อยืดกล้ามเนื้อ เพราะคิดว่านั่นอาจจะเป็นการช่วยให้ไม่เจ็บเข่า ที่ข้างทางขณะที่เราจอดเพื่อยืดกล้ามเนื้อ โจคิมสังเกตุเห็นว่าเบาะเวชดูเบี้ยว ๆ ของเวชเป็นเบาะหนังยี่ห้อ Gilles-Berthoud ของฝรั่งเศส ซึ่งมีน๊อตรอบด้านและเวชเห็นว่ามีน๊อตตัวหนึ่งมันกำลังจะหลุด ก็เลยไขให้แน่นขึ้น และก็เห็นอีกว่ารางของเบาะมันหลุดออกจากรูที่ใส่ ซึ่งทำให้เบาะเบี้ยว เราเลยแกะออกมาและใส่กลับเข้าไป และพอขึ้นไปปั่นอีกที ไม่รู้สึกอีกเลยว่าเคยเจ็บเข่า มันหายเป็นปลิดทิ้งเลย เรามัวแต่ไปแก้แค่ที่ต้นอาการ แต่ไม่ได้ดูว่าจักรยานมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร วันนั้นเราเลยปั่นได้ไกลกว่าที่ตั้งใจไว้ แต่ปั่นสบาย ๆ แค่ช่วงแรก หลัง ๆ ก็เริ่มหนืด ๆ อาจจะเป็นเพราะการปรับเบาะช่วยให้มันดีขึ้น อาการก็ยังมีอยู่แต่ดีขึ้นเรื่อย ๆ
เราปั่นไปตามทางหลวง ซึ่งรถเยอะแต่ก็พอจะปั่นกันไปโดยที่ไม่ต้องเครียดมากนักกับจราจร แล้วจู่ ๆ ก็เห็นนักปั่นมาปั่นอยู่ข้างหลังเรา อ้าว..เป็นคนเดียวกันกับที่โจคิมเคยคุยด้วยทีี่โฮสต์เทลที่ทบิลิซิ เขาชื่อ ”ยูฮันเนส” เป็นคนเยอรมัน คนนี้ก็ลาออกจากงานเพื่อปั่นท่องโลก เราร่วมทางกันช่วงบ่าย พอใกล้ ๆ ค่ำเราก็เริ่มมองหาซื้อเสบียง ต่างคนต่างมีเงินเหลือไม่มาก แต่…;-) โชคดีของเราเพราะจากที่เคยนับแล้วนับอีกคิดว่ามีเหลือแค่ 16 ลารี่ แต่กลายเป็น 26 แทน ดีใจเลยเลี้ยงเบียร์เขาเสียเลย แล้วก็เร่ิมมองหาที่พักจุดกางเต้นท์ ปั่นอยู่นานเหมือนกันกว่าจะหาได้ที่เหมาะ ๆ
ก่อนที่จะเช๊คอินเข้าโรงแรมที่น้ำไม่ไหล ผ้าปูไม่เปลี่ยนให้ เราปั่นมาเจอคุณลุงปั่นจักรยานเก็บขวดขาย แกพูดภาษาเยอรมันได้เลยคุยกันกับโจคิม พอวันนี้ที่เราออกจากจุดกางเต้นท์กับยูฮันเนส ก็มาเจอคุณลุงคนเดิมอีก แต่วันนี้ดูจักรยานแกจะมีขวดพลาสติคเพิ่มมากขึ้น เราเลยให้ยูฮันเนสคุยแทน ได้รู้ว่าแกพูดได้หลายภาษา น่าจะเป็นคนที่เลือกที่จะอยู่อย่างพอเพียง คุยกันได้สักพักแกชวนให้ปั่นไปด้วยกัน ไปที่ต้นเชอร์รี่ซึ่งน่าจะเป็นแหล่งเสบียง จัดการจอดรถจักรยานข้ามถนนอย่างคล่องแคล่ว เรายังไม่ทันหาที่จอดแกอยู่บนต้นไม้แล้วอ่ะ ส่วนโจคิมกับยูฮันเนสปีนขึ้นไปแค่ขอบซีเมนต์ แค่นั้นก็กินกันจนอิ่มแล้ว คุณลุงยังปีนต่อขึ้นไปแถมโยนลงมาให้เป็นก้าน ๆ ก้านหนึ่ง ๆ มีเชอร์รี่มากมาย อร่อยหวาน
เช้าวันรุ่งขึ้นเราต้องให้ยูฮันเนสปั่นไปก่อน เพราะโจคิมยางแบนอีกแล้ว ครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้แล้ว เลิกนับเพราะเราชนะขาดลอย ชนะยังงัยถ้าเดี๋ยวยางเวชแบนก็ต้องให้โจคิมซ่อมให้ ทำเองก็ได้นะแต่ช้า 😉 ช่วงเช้าทางลาดลงเลยพยายามปั่นกันเยอะหน่อย ช่วงนี้เองที่เราปั่นโดยที่ไม่มีแผนที่ ดูจากป้ายบอกทางเอา แล้วก็เลยหลงเข้าไปทางเขาและเนินเล็กเนินชันมากมาย ทำให้นึกถึงตอนที่ปั่นเรียบทะเลดำที่ตุรกี คือขึ้นลงทั้งวัน ดีนะที่เข่าดีขึ้นแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงแน่ แต่ก็มีบางช่วงเวลายืนปั่นหรือผิดท่าไปหน่อยก็จะเจ็บจี๊ด พยายามผ่อนก็หายไป เฮ่อ…แปลกเนอะถ้าปั่นแบบผ่อนคลายจะไม่รู้สึกเจ็บหรือบางทีไม่รู้สึกเหนื่อย
อย่างว่าทางเขาไม่ใช่ทางเราก็ตามเขาไป ขึ้นลงทั้งวัน อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เราเลยคุยกันว่าจะพยายามออกกันเช้าขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงอากาศร้อนช่วงบ่าย ทางนี้ดีหน่อยตรงที่ยังมีต้นไม้มีร่มเงาให้พักได้ เราได้ยินจากเพื่อนชาวอังกฤษสองคนที่ปั่นล่วงหน้ามาก่อน เขาใช้เส้นทางทางตอนใต้ ซึ่งน่าเบื่อร้อนมันดูเหมือนทะเลทรายนิด ๆ แต่เขาต้องการไปให้ถึงเมืองหลวงของอัซเซอร์ไบจานเลยใช้เส้นนี้เพราะเรียบและตรงกว่าเส้นทางด้านเหนือ
ความที่ร้อนและอยากทำเวลาให้ได้ระยะทางเรา เลยได้แต่เก็บภาพในความทรงจำ พอมาถึงเมืองที่ติดชายแดนระหว่างจอร์เจียและอัซเซอร์ไบจาน เราจัดการเข้าไปซื้ออาหารแห้งด้วยเศษเงินที่เหลือ หนุ่มน้อยในร้านเขาเข้าใจภาษามือและความหมายจากประโยคสั้น ๆ ที่เราสื่อไป เขาก็พยายามหาของเท่าที่เงินเรามี น่ารักมาก ได้ของและแพ๊คเข้ากระเป๋าเรียบร้อยแล้วเราปั่นไปที่ชายแดนให้เขาตรวจหนังสือเดินทาง โจคิมยื่นให้เขาดูก่อน เจ้าหน้าที่จ้องอยู่นานแล้วหันมาถามว่ามีหนังสือเดินทางอีกเล่มหรือเปล่า ที่จริงมีแต่ไม่บอก เขาบอกว่าโจคิมไม่มีตราประทับขาเข้าจอร์เจีย เฮ้ย..เป็นไปได้ยังงัย สรุปว่ากงศุลอัซเซอร์ไบจานที่จอร์เจียปิดวีซ่าทับตราประทับขาเข้าประเทศจอร์เจีย เจ้าหน้าที่เลยมองไม่เห็น แต่เขาบอกว่าเราว่า “โอเค นี่ไม่ใช่ปัญหาของเรา” เช๊ค ๆ ๆ รอได้สักพักใหญ่ ๆ แล้วก็ผ่านออกมาได้ พอมาถึงฝั่งอัซเซอร์ไบจาน เรารู้สึกไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้กลับเข้าประเทศอิสลามอีกครั้งหนึ่ง แต่ที่นี่ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนที่ตุรกีเลย