Monthly Archives: August 2013

จีน => จาก Yanqi (หยางจี๊) ผ่าน Hoxud (ฮ๊อคซุด) – Toksun (ทุคชุน) – Tulufan (ทูลูฟาน)

เรายังปั่นอยู่บนทางด่วนเช่นเคย การจะหยุดพักหาของกินและน้ำดื่มก็ต้องพึ่งจุดจอดพักรถหรือที่เขาเรียกกันว่า “Service Center” ส่วนใหญ่เราจะเช็คในแผนท่ีในกูเกิ้ลว่าอีกกี่กิโลจะถึงจุดนั้น ๆ บางครั้งก็ไม่ตรงเสียทีเดียว แต่ส่วนใหญ่จะมีมากกว่าอาจจะเป็นเพราะกูเกิ้ลอัพเดทไม่ทันเพราะจีนสร้างทุกอย่างเร็วทันใจ ในกูเกิ้ลว่าจากเมืองหยางจี๊ออกไปอีก 50 กม.จะมีจุดจอดพักรถ แต่ปั่นไปได้แค่ 44 กม.ก็เห็นล่ะที่เมืองฮ๊อคซุดนี่เอง บางครั้งมีจุดจอดแต่ยังไม่มีเซอร์วิส ช่วงนี้เรายังปั่นบนทางด่วนได้ แต่เมื่อไหร่ที่เราเข้าเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่นมากขึ้น เราต้องลงไปใช้ทางสายธรรมดา ออกจากหยางจี๊เกือบเที่ยง อากาศเริ่มดีขึ้นตามลมปั่นสบาย ๆ บรรยากาศข้างทางก็เริ่มเขียวมีการทำสวน เห็นว่าแถวนั้นมีทะเลสาปที่ค่อนข้างใหญ่ คิดว่าชื่อ “ทะเลสาปบอสตัน” วันนี้ทางขึ้น ๆ ลง ๆ จนถึงจุดสูงสุดท่ี 1500 เมตรจากระดับน้ำทะเล และ 30 กม.สุดท้ายก็ลงอย่างเดียว สนุกมาก แซงรถบรรทุกตั้งหลายคันที่ต้องลงมาอย่างช้า ๆ

วิวจากทางด่วน หลังจากออกจากเมืองหยางจี๊

วิวจากทางด่วน หลังจากออกจากเมืองหยางจี๊

วิวระหว่างทาง

วิวระหว่างทาง

30 กม.สุดท้ายลงอย่างเดียวลงมาที่เมืองทุคชุน มันส์มาก

30 กม.สุดท้ายลงอย่างเดียวลงมาที่เมืองทุคชุน มันส์มาก

ไหลลงมาถึงเมืองทุคชุน จากระดับความสูง 1500 ม.ลงมาที่ 0 เมตร ไอ่หย๋า..ร้อนอย่าบอกใคร เหมือนเตาอบ เมืองนี้อยู่ในเขตทูลูฟานซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใต้ระดับน้ำทะเลถึง 150 เมตร ใจจริงอยากจะปั่นต่อไปข้างหน้าเพราะไต่ขึ้นไปที่ความสูง 400 เมตรน่าจะเย็นขึ้นมาหน่อย แต่ต้องเติมพลังก่อนอีกอย่างคือยางแบนอีกแล้ว คราวนี้ล้อหลังทั้ง ๆ ที่เปลี่ยนยางในแบบหนากันหนามได้แต่กันเจ้าเส้นลวดนี่ไม่ได้มั้ง โดนไป 3 รู กิน “ลัคมาน” เสร็จก็จัดการปะยางต่อ หลัง ๆ มานี่ขี้เกียจนับแล้วว่าแบนไปกี่ครั้ง วันนี้ก็ต้องเปลี่ยนยางในไปสองรอบ วิวระหว่างทางไปเมืองทูลูฟานสวยมาก มีช่วงหนึ่งกำลังปั่น ๆ อยู่เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทางเปิดไฟฉุกเฉินทิ้งไว้แล้วออกมาโบกไม้โบกมือ เราคิดว่ารถเขาคงมีปัญหา คงไม่ได้โบกให้เรา เราเลยปั่นผ่านไปสักพักเขาขับผ่านเราก็ยกนิ้วให้ เราเลยเข้าใจว่าเขาพยายามโบกให้เราจอด เขาขับไปสัก 2-300 เมตรและจอดข้างหน้าเรา เราเลยต้องหยุด เมินเขามาทีละเลยจอด เขาอยากถ่ายรูปเรา เอา ๆ … มายืนมา แช๊ะ ๆ ไปสัก 4-5 ใบ คุยกับเขาหน่อยก็ประโยคเดิม ๆ นั่นแหละค่ะ หนึ่งในนั้นเปิดท้ายรถหยิบขวดน้ำมาให้ 5-6 ขวดได้มั้ง อืม..กำลังจะปั่นเข้าปั้มไปซื้ออยู่พอดี ดีเลยไม่ต้องเสียตังค์ซื้อน้ำ ขอบคุณค่ะ

คนมือบอนมีอยู่ทั่วไป ขนาดในทะเลทรายยังไม่วายเลยนิ

คนมือบอนมีอยู่ทั่วไป ขนาดในทะเลทรายยังไม่วายเลยนิ

เห็นเขาปีนขึ้นไปเขียนบนเขา เลยอยากสัมผัสดูมั่ง เปล่านะไม่ได้ไปทิ้งอะไรไว้ ;-)

เห็นเขาปีนขึ้นไปเขียนบนเขา เลยอยากสัมผัสดูมั่ง เปล่านะไม่ได้ไปทิ้งอะไรไว้ 😉

คืนนั้นเราขอเขากางเต้นท์ท่ีปั้ม แต่พอดูอีกที เดี๋ยวเราต้องต้มมาม่ากินเลยไปกางตรงที่เป็นเนินทรายถัดออกไปอีกหน่อยคิดว่าดีกว่าด้วยเพราะเป็นส่วนตัวมากกว่า แต่ตอนท่ีเรากำลังกางเต้นท์จัดโน่นจัดนี่ มีคนเดินมาด้านหลังเราทั้ง ๆ ที่ดูแล้วไม่น่าจะมีบ้านคน เขาอาจจะได้ยินเสียงเราเลยเดินมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นมากกว่า คุยกันไม่รู้เรื่อง สักพักเขาก็เดินกลับไป ตอนนอนก็รู้สึกร้อน ๆ แต่สักพักเท่านั้นเองอากาศเริ่มเย็นลง ถึงขนาดต้องเอาถุงนอนออกมาห่มและอีกสักพักต้องปิดประตูเต้นท์ด้วย แต่นอนตอนอากาศเย็นดีกว่าร้อน ๆ นะสบายกว่ากันเยอะเลย เช้าวันต่อมาเราเดินไปนั่งกินอาหารเช้าที่หน้าปั้มเพราะจะไปขอน้ำร้อนเขาชงกาแฟดื่มกัน พอเดินเข้าไปเขาก็ชวนกินกับเขาด้วย เกรงใจเลยขอแต่น้ำร้อนมาจะซื้อน้ำส้มขวดหนึ่ง เดินไปจ่ายตังค์แต่เขาพยักหน้าบอกเราให้เอาไปดื่มเถอะ น่ารักจังแต่พวกเขาเป็นชาวอูกูร ไม่รู้ว่าถ้าเป็นชาวจีนจะน่ารักเหมือนกันมั้ย???

จุดกางเต้นท์เมื่อคืน ไม่ใกล้ไม่ไกลจากปั้มน้ำมัน

จุดกางเต้นท์เมื่อคืน ไม่ใกล้ไม่ไกลจากปั้มน้ำมัน

กลับเข้าสู่ถนนปุ๊บทางลาดขึ้นทันที ค่อย ๆ ขึ้น แต่เอาการเหมือนกันเล่นเอาเหนื่อยพอดู ช่วงนี้เราปั่นข้ามเขาวิวสวยมาก หยุดถ่ายวีดีโอและรูปบ่อยมากเลือกรูปไม่ถูกเลยว่าจะลงภาพไหนดี ช่วงนี้มีจุดจอดพักรถเยอะ แต่ไม่มีจุดไหนท่ีขายอาหารหรือน้ำเลย ปั่นมาถึงท่ีหนึ่งเห็นมีป้ายและมีตัวอักษรตัวหนึ่งที่รู้ความหมายนั่นคือ “น้ำ” พอเข้าไปถามว่ามีเป็ปซี่มั้ย คำตอบคือไม่มี มีแต่น้ำที่เติมให้รถยนต์รถบรรทุก เฮ่อ..โอเค งั้นก็ไปต่อ แต่เขาเรียกเรากลับไปแล้วหยิบแตงโมออกมาจากตู้เย็นให้เรากินกัน น่ารัก คนอูกูรอีกแล้ว เส้นทางนี้ตอนที่เช็คจากแผนท่ีภาพผ่านดาวเทียม เห็นแล้วหมดอารมณ์จะปั่นเพราะไม่มีอะไรเลย มีแต่สีน้ำตาลอ่อนซึ่งน่าจะแปลว่าทะเลทราย แต่ในภาพดาวเทียมเราไม่เห็นความแตกต่าง ไม่เห็นว่ามีเขาหลากหลายรูปแบบ อย่างไรเราก็ต้องปั่นพอปั่นเข้าไปแล้ว โอเค..ไม่มีอะไรก็จริง แต่วิวที่ได้เห็นกับตามันทำให้เราทึ่งกับสภาพภูมิประเทศช่วงนั้นมาก ตะลึงกับความงามจนไม่อยากไหลลงมาเร็วเกินไปนัก มาถึงตรงนี้ไม่นึกเสียดายที่พลาดโอกาสซื้อทัวร์ที่คัชก้า เพื่อออกไปสัมผัสกับทะเลทราย มาอยู่ ณ จุดนี้คิดว่าคุ้มเหมือนกัน ชมภาพและบรรยากาศกันนะค่ะ

ตอนขึ้นก็เหนื่อยแต่คุ้มท่ีอุตส่าห์ปั่นขึ้นไป

ตอนขึ้นก็เหนื่อยแต่คุ้มท่ีอุตส่าห์ปั่นขึ้นไป

หยุดพักและถ่ายรูปกันบ้างบ่อย ๆ

หยุดพักและถ่ายรูปกันบ้างบ่อย ๆ

วิวระหว่างทางไปทูลูฟาน

วิวระหว่างทางไปทูลูฟาน

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

จีน => พัก 1 วันท่ี Korla (โคร์ลา) ต่อไป Yanqi (หยางจี๊)

ตื่นเช้าปั่นไปได้นิดหน่อยแค่ 400 เมตรมั้ง ยางโจคิมแบน ฉลองวันใหม่ด้วยการปะยางเลย โจคิมอารมณ์เสียแต่เช้า 🙁 ป่ันกันมากำลังเหนื่อย ๆ กำลังจะหมดแรงและหมดกำลังใจว่าจะมีท่ีพักหรือเปล่า ก็มาเจอที่จอดรถมีร้านอาหารพอดี เหมือนเคย!! ทุกร้านมีแต่รัคมาน (อาหาร “ประจำชาติ” ของคนอูกูร) ดีกว่าไม่มีอะไรกินเนาะ เส้นเขาอร่อยนะ ทำเองสด ๆ ไม่เคยเห็นมีขายที่ไหน ว่าจะลองขอซื้อเขามาสักหน่อยชักเบื่อกินเส้นมาม่าละ เราหาซื้อเส้นสปาเก็ตตี้ไม่ได้เลยทุกร้านมีแต่มาม่า แต่ท่ีนี่มาม่าห่อใหญ่กว่าบ้านเราเยอะนะ พอกินกันเสร็จจะจ่ายตังค์ โจคิมหันไปจะหยอดน้ำมันท่ีโซ่ ปรากฎว่ายางแบนอีกแล้ว สงสัยแบนตอนท่ีเลี้ยวเข้าร้าน เพราะแถวนั้นมีร้านซ่อมเปลี่ยนยางให้รถใหญ่ อย่างท่ีเคยบอกไว้เมื่อคราวท่ีแล้วว่าบนถนนไฮเวย์มักจะมีเศษเส้นลวดท่ีกระจายออกมาจากล้อของรถใหญ่ท่ีระเบิด ไว้เอารูปมาแปะให้ดูกันค่ะ ดีท่ีมาแบนตรงท่ีเรานั่งอยู่แล้ว ร่ม ๆ ปะ ๆ อยู่มีเด็กมานั่งมองนั่งเล่นหมุนล้อจักรยานเล่น

ปั่นมาได้ 21 กม. เวชสังเกตุว่าทำไมล้อหลังดูเหมือนไม่มีลม เลยหยุดเพื่อจะสูบลม แต่สูบยังงัยก็ไม่เห็นเต็มสักที อ้าว…แบนเหมือนกัน เอ้า…หยุด ปะ เสร็จแล้วก็ปั่น ปั่นไปได้ 99 กม. ล้อเวชแบนอีก เจอ 3 รู ไปซ่อมท่ีอุโมงค์ใต้ถนน เลยถือโอกาสเอาแคนตาลูปของลุงท่ีให้มาเมื่อวานมากินกันให้หายโมโห หลังจากนั้นเราเริ่มระวังมากขึ้น เพราะไม่อย่างนั้นไปไม่ถึงไหนแน่วันนี้ มัวแต่หยุด ๆ ปะ ๆ อยู่นี่ แต่อีกสักพักยางโจคิมดูแบน ๆ จนได้ เลยสูบลมเข้าไปก่อน แล้วรีบปั่นเข้าเมืองโคร์ลา

ปะกันเป็นว่าเล่น ไม่สนุกเลย

ปะกันเป็นว่าเล่น ไม่สนุกเลย

ทางเข้าเมืองโคร์ลาดูไม่ออกเลยว่าจะเป็นเมืองใหญ่ขนาดนี้ เพราะมันใหญ่พอ ๆ กับเมืองโกเธนเบิร์กที่เป็นเมืองที่สองของสวีเดน ก่อนจะถึงโรงแรมเราคอยมองหาร้านจักรยาน เห็นร้านไจแอนท์อยู่ฝั่งตรงกันข้าม จอดทันทีเพราะต้องการให้เขาจัดสมดุลย์ล้อให้ใหม่และซื้ออุปกรณ์ปะยาง เราข้ามไปคุย แต่คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เด็กท่ีร้านเลยโทรไปหาลูกค้าคนหนึ่งท่ีพูดภาษาอังกฤษได้ เราไปเช็คอินที่โรงแรมก่อนแล้วปั่นกลับไปท่ีร้าน พอกลับมาอีกทีได้คุยกับเขา แต่ท่ีร้านไม่มีอะไหล่ท่ีต้องการ เลยต้องไปอีกสาขาหนึ่ง ซึ่งเพื่อนคนนั้นนำไป เด็กคนนั้นก็ปั่นมาด้วย แต่เผอิญยางแบนตอนที่เพิ่งออกจากร้านมาเลยแยกกันตรงนั้น ตอนปั่นไปอีกร้านหนึ่ง เราผ่านห้างเล็กใหญ่สารพัด ผ่านสวนสาธารณะที่เขามาออกกำลังกายกัน นึกถึงสวนลุมบ้านเรา 🙂 มีทางจักรยานที่กว้างมาก แต่จราจรที่นี่แย่มาก ขับขี่กันสวนกันแบบไม่ค่อยมีระเบียบ คืนนั้นเราทิ้งจักรยานไว้ที่ร้านให้เขาเปลี่ยนโซ่และเกียร์ทั้งสองคัน เพราะเริ่มขี้เกียจถอดโซ่ออกมาล้างที่สำคัญคือไม่ต้องแบกโซ่ด้วย เราพยายามลดน้ำหนักกระเป๋า รู้สึกดีที่มาถึงจีนที่ที่มีทุกอย่าง ไม่เหมือนตอนที่อยู่ที่ประเทศสถาน ๆ ทั้งหลายที่เราต้องพกทุกอย่างทั้งท่ีจำเป็นและที่ควรจะมี แต่ท่ีจีนเมื่อไหร่ท่ีเราเข้ามาในเมืองท่ีใหญ่หน่อยท่ีนั่นจะมีทุกอย่างแถมมียี่ห้อด้วย คนนำทางบอกว่าปั่นไปแค่ 2 กม. แต่คิดว่าไกลกว่านั้นนะ เราต้องเรียกแท๊กซี่กับโรงแรม ให้เขาเขียนชื่อโรงแรมให้ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะบอกคนขับอย่างไร แท๊กซี่ท่ีนี่ไม่แพงนะ ราคาเริ่มต้นท่ี 5 หยวน ขับจะถึงท่ีอยู่ล่ะยังขึ้นไม่ถึง 6 หยวนเลย คงได้ใช้บริการอีกแน่ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นท่ี 5 หยวนเหมือนกันทั้งประเทศหรือเปล่านะสิ

ภาพที่ร้านไจแอนท์ร้านแรกร้านเล็กกว่าร้านที่เราไปทิ้งจักรยานไว้ แต่ไม่ได่ถ่ายรูปมา

ภาพที่ร้านไจแอนท์ร้านแรกร้านเล็กกว่าร้านที่เราไปทิ้งจักรยานไว้ แต่ไม่ได่ถ่ายรูปมา

ภาพในเมืองโคร์ลา

ภาพในเมืองโคร์ลา

ภาพในเมืองโคร์ลา

ภาพในเมืองโคร์ลา

ท่าทางเราต้องหาวิธีศึกษาภาษาจีนเสียแล้ว เพราะพอเขาเห็นหน้าเราเขาก็พ่นภาษาจีนใส่ ก็หน้าหมวยขนาดนั้น เวชต้องออกตัวก่อนทุกครั้งว่า “ฉันเป็นคนไทย = ไทกั๋วเหยิน และ รุยเดี่ยนเหยิน = คนสวีเดน” อืม… ก่อนหน้านี้มักจะบอกว่า “ฉันเกิดที่ไทย แต่จริง ๆ ฉันเป็นคนจีน” พร้อมกับเอานิ้วดึงหางตาชี้ขึ้น แต่ที่นี่ ท่ีเมืองจีนเคยทำครั้งหนึ่งแล้วรู้สึกเสียมารยาทยังงัยไม่รู้ มีครั้งหนึ่งไปท่ีร้านขายยา คนขายเขาวาดมือทั้งสองข้างจากหน้าผากลงมาท่ีคาง (อ๋อ…เขาทำอย่างนี้กันท่ีนี่ละมั้ง) และพูดทำนองว่าหน้าตาเราเหมือนคนจีน เราเลยต้องอธิบายไปว่าเราเป็นจีนท่ีเกิดท่ีเมืองไทย เฮ้อ…คงต้องหัดพูดประโยคนี้เป็นภาษาจีน หรือไม่อย่างนั้นก็เขียนใส่แผ่นกระดาษเสียเลย 🙂 ตามเส้นทางจากชายแดนระหว่างคีร์ซกิสถานและจีนถึงตรงนี้ ยังไม่ค่อยเจอใครท่ีพูดภาษาอังกฤษได้ จนมาถึงโรงแรมท่ีนี่ มีผู้จัดการสาวคนหนึ่งพูดได้คล่องและช่วยเหลือดีมาก แถมยังให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ด้วยเผื่อมีอะไรให้ช่วย

ผู้จัดการสาวท่ีโรงแรม

ผู้จัดการสาวท่ีโรงแรม

วันต่อมาเราเดินชมเมืองและไปรับจักรยาน เผอิญเดินผ่านร้านจักรยานอีกร้านหนึ่งชื่อ UCC มีขายทั้งเสือภูเขา เสือหมอบ ทัวร์ริ่ง คิดว่าน่าจะขายอย่างเดียว ไม่เหมือนร้านไจแอนท์ท่ีมีรับซ่อมและขายอะไหล่ด้วย เราลองเดินเข้าไปดู ๆ เขาเข้ามาทัก แน่นอนเป็นภาษาจีนและก็แน่นอนท่ีเราบอกเขาอย่างท่ีเขียนไว้ข้างบนนี่ เฮ่อ…แค่คิดนี่ก็เหนื่อยแล้ว ว่านี่ฉันต้องพูดอธิบายทุกอย่างไปอีกสามเดือนข้างหน้าหรือเนี่ย :-O แต่ผู้หญิงคนนี้เขาน่ารัก ชวนให้นั่งก่อน เอากาแฟมาเสริฟและยังถามอีกด้วยว่าใส่น้ำตาลมั้ย? ครีมมั้ย? ธรรมดาโจคิมสั่งกาแฟดำยังได้น้ำตาลใส่มาด้วยทั้ง ๆ ท่ีบอกว่าเอาแต่กาแฟ เธอพยายามตั้งใจฟังและพยายามที่จะเข้าใจและบอกเล่าให้เพื่อนร่วมงานฟังด้วย ท่ีนี่ดีอย่างคือเวลาเราบอกคนหนึ่งไปแล้ว เขาก็จะเล่าต่อให้คนอื่น ๆ ฟัง แต่สงสัยว่าทำไมฟังดูประโยคยาวกว่าท่ีเราบอกไปหว่า 🙂 เขาคงแต่งเติมบ้างละมั้ง พวกเขาคงเริ่มสนใจว่าเราไปมาอย่างไรถึงมาถึงเมืองนี้ได้ เราเลยให้นามบัตรกับเขาและเปิดดูบล๊อคด้วยกัน

ที่ร้าน UCC กับพนักงานและลูกค้า

ที่ร้าน UCC กับพนักงานและลูกค้า

เราเดินต่อไปท่ีร้านไจแอนท์ ซื้อของเพิ่มเติมเช่นน้ำมันหยอดโซ่ ที่สูบลม และที่สำคัญคือแผ่นปะยางคราวนี้ซื้อยก 4 โหลเลย 48 อัน แบนบ่อยเหลือเกิน แถมเหลือบไปเห็นยางในที่หนาหน่อยกันหนามทิ่มได้ดีขึ้น เอาค่ะ สองเส้นเลยค่ะ ไหน ๆ อยู่ท่ีร้านละก็ขอยืมเครื่องมือเขาเปลี่ยนยางเสียเลย หมดเรื่องหมดราว พอปั่นกลับมาท่ีโรงแรมก็เริ่มทำการปะยางมาราธอนกันเลย มียางในทั้งหมด 6 เส้นรั่วหมดเลย บางเส้นมีรอยปะหลายอันละ ถ้าปะอีกสัก 4-5 ครั้งคงจะรอบยางพอดี ทีนี้คงไม่แบนเพราะมีเกราะคุ้มกันเกือบรอบยาง 🙂

นั่งปะยางท่ีโรงแรมสี่ดาว ก่อนจะไปหาซื้อท่ีปะยางเรามีเหลืออยู่แค่ 1 อันเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ เพียบ!!!

นั่งปะยางท่ีโรงแรมสี่ดาว ก่อนจะไปหาซื้อท่ีปะยางเรามีเหลืออยู่แค่ 1 อันเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ เพียบ!!!

วันรุ่งขึ้นได้เวลาออกเดินทางต่อ เป้าหมายจริง ๆ คือเมืองฮ้อคซุด (Hoxud) แต่ตอนเช้าได้ยินเสียงลมแล้วหดหู่มาก เราอยู่ชั้น 9 ลมกระแทกตึกเสียงดังน่ากลัวมาก เห็นต้นไม้ข้างล่างไหวเอียงแล้วขอรอก่อนอีกหน่อย ออกไปผจญกับลมแรง ๆ เสียพลังงานเปล่า ๆ ดีท่ีโรงแรมเขาให้เช็คเอาท์บ่ายสอง แต่กว่าเราจะออกนอกเมืองได้ก็เย็นละ ตอนนั้นลมยังแรงอยู่ เราเลือกท่ีจะปั่นบนเส้นทางสายเก่าก่อนแล้วค่อยขึ้นทางด่วนข้างหน้า ทางเริ่มชันและขรุขระแถมลมยังพัดแรงอยู่ ชักใจเสีย เอางัยดีหนทางยังอีกยาวไกล ปั่น ๆ กันไปละกัน เอ..ทำไมไม่เห็นมีรถเลยหว่า มีแต่มอเตอร์ไซค์และรถบรรทุกบ้างเท่านั้นเอง ทางชันขึ้นอย่างเดียว แต่เอ… ในแผนที่มันว่าเราจะปั่นบนทางสายเก่าด้านขวามือ แต่ทำไมเรามาอยู่ทางซ้าย ขึ้นมาถึงยอดละ ไหลลงไปก่อนละกัน จนมาเจอบันไดทางขึ้นไปทางด่วนท่ีมีคนมาแอบเปิดไว้แล้ว คือถ้าเรายังคงอยู่ท่ีเส้นทางเก่าคงจะใช้เวลานานน่าดูกว่าจะถึงเมืองถัดไปคือหยางจี๊ (Yanqi) เปลี่ยนเป้าหมายเพราะไปไม่ถึงฮ้อคซุดแน่นอนวันนี้ เอ้า…แบกกันขึ้นบันไดไป โจคิมเอาจักรยานขึ้น ส่วนเวชแบกกระเป๋าขึ้นกันไปทีละคัน และนั่นเป็นการตัดสินใจท่ีดีเพราะการไหลลงบนทางด่วนย่อมเร็วกว่าบนทางขรุขระ วันนั้นเลยปั่นได้แค่ 60 กว่าโล

Riding behind Wej

Riding behind Wej

ถึงเมืองหยางจี๊ก็เย็น ๆ ละ ตั้งใจว่าจะพักท่ีโรแรมใกล้ ๆ ทางด่วนจะได้รีบพักและออกเช้าหน่อย แต่…. ครั้งนี้เป็นครั้งแรกท่ีมีปัญหาเรื่องท่ีพักท่ีเขาไม่สามารถรับแขกชาวต่างชาติ ท่ีนี่เป็นโรงแรมใหญ่หน่อยเขาถึงทำตามกฎ ไม่เหมือนโรงเตี้ยมท่ีเคยไปนอนท่ีอูฐาน อืม…พูดถึงโรงเตี้ยมนั่น ตอนนอน อยู่ดี ๆ ดันไปนึกถึงหนังผีสะงั้น บ้าจริงแต่บรรยากาศมันให้นะ 😉 เข้าเรื่องต่อ โรงแรมสองท่ีแรกบอกให้ไปอีกโรงแรมหนึ่ง เราเกือบจะปั่นออกไปหาท่ีกางเต้นท์แล้ว พอดีมีคนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์ตอนท่ีเราถามหาโรงแรมท่ีโรงแรมท่ีสอง เขาบอกเราประมาณว่าปั่นไปเรื่อย ๆ อยู่ข้างหน้านี่ละ เดาเก่งมากเลย 🙂 เราเห็นตึกหนึ่งอยู่ตรงหัวมุม พอเข้าไปถาม เขาก็อ้าแขนต้อนรับเรา อิอิ

SONY DSC

Day 109-112 (Korla – Turpan)

Day 109 Korla – Yanqi 59 km
Day 110 Yanqi – Service station 155 km
Day 111 Service station – Toksun 119 km
Day 112 Toksun – Turpan 68 km

We got lost when we left Korla and didn’t find the way back to the motorway. Instead of riding on the smooth tarmac we ended up leaving the town on a small dirtroad that took us through the industrial areas at the outskirts of town. There was an intense traffic of trucks and we felt much more unsafe on this little side road than on the big motorway and our intention was to get back to it as quickly as possible.

Shops in the outskirts of Korla

Shops in the outskirts of Korla

Although Korla is a oasis city with lots of greenery, parks and tree lined avenues, the desert is not far away. Right after having left the industrial areas of the town we got this view which clearly shows how close the desert and the city are to each other.

Korla is an oasis city and one doesn't have to go far from town to be in the desert

Korla is an oasis city and one doesn’t have to go far from town to be in the desert

Leaving town on a backroad took us through some very beuatiful mountain areas. The road was steep and the surface was just gravel but there was very little traffic and we could enjoy the scenery undisturbed by cars and trucks.

Riding behind Wej

Riding behind Wej

We followed this little backroad as it twisted itself through a valley, but all of a sudden it was going to pass under the motorway. There was a staircase down from the motorway and we wouldn’t allow ourselves to miss an opportunity like this and quickly carried our bikes and luggage up to the big and nice road where we could continue at a much higher speed.

The desert is dry – that is actually the definition of a desert – but there are exceptions. When we approached the city of Yanqi we went across a bridge over a river leading from the Tian Shan mountains to Lake Bosten. This lake is half the size of lake Vättern in Sweden and we saw a number of signs for seaside (lakeside?) resorts with pictures of kids playing on banana boats…..

When we passed this stream we could see herons and other seabirds in or around the water. Seeing a heron in a desert is something I never would have expected.

the heron has just left...

The heron has just left….

When we got closer to the city of Yanqi it turned out that even this city would have been a big city by Swedish standards. It has a lot of high rise buildings in the centre and in the surrounding areas we could see numerous construction sites where large apartment blocks were being built.

Yanqi behind the river

Yanqi behind the river

Korla and Yanqi are not far apart, only some 60 km. Our intention was to have a half day of rest and start late which meant we couldn’t expect to get any further than Yanqi. We didn’t want to camp and went into the city to find a hotel to stay at. For the first time we ran into the trouble all foreigners traveling to cities off the beaten track in China sooner or later have to face – finding a hotel. Hotels in China needs a special license to be able to host foreigners.

The first hotel we asked wouldn’t host us but told us try at another further down the street. On the way there we found another one that labelled itself as a business hotel. Wej went in to ask but was denied and told to go to another hotel. The front desk staff helped her by drawing a map how to get there.

From our hotel next to the "people's square" in Yanqi

From our hotel next to the “people’s square” in Yanqi

We find it very interesting how a hotel in an country so reliant on export as China is, can call itself ”business hotel” while not being able to host a foreigner.

When we later arrived at the only hotel being able to host us Wej went inside to check in while I waited outside. A young boy at the age of around 5 walked past me holding his parents hands. He was so surprised to see me and stared so intensly that his eyes almost popped out. When he had passed he almost walked backwards staring at me while his poor parents seemed to be embarrased for his behaviour.

As we made eye contact the parents lost their embarrasment. I told the boy to come and shake my hand and his parents encouraged him. He walked slowly as if he was approaching a kid eating monster…. 🙂

All the way we have got used to be the odd ones, but here in China it is only me. Wej blends in and everyone seems to think that she is chinese, which is not completely wrong. Nobody expects me to be able to speak chinese so every time Wej is approached by curious people I can take a step back and pretend to be a kid eating monster.

The ride from Yanqi towards the town of Hoxhud was not very interesting. It was the same old motorway and the same old mountains. After a stop at a gas station just after a tollstation we continued towards the next service area some 110 km away where we intended to camp.

Heading to the mountains

Heading to the mountains

Before reaching that service area the road crosses the mountain ridge that we having been cycling along for almost two weeks and that we have got bored starting at. When going across those mountains we got some very nice views. The landscape changed from rather boring to very fascinating within only a few kilometers.

New type of grafitti - white stones on the red mountain side

New type of grafitti – white stones on the red mountain side

On the way down we got some very nice downhill sections where we overtook many trucks that descended from the mountains at very low speed using their lowest gears. At one of the turns we saw something we didn’t know what it was. It looked like a ramp beside one of the sharp bends of the road. When we got closer we saw that the ramp was signposted many times and covered by a thick layer of gravel which made us believe that this was a ramp where runaway trucks that have lost their capactiy to brake can get their vehicles to a stop.

Ramp for runaway trucks to stop at

Ramp for runaway trucks to stop at

If two empty trucks are going the same way, then it's smarter if one carries the other... :-)

If two empty trucks are going the same way, then it’s smarter if one carries the other… 🙂

I have never seen such ramps before but I have now learnt that they are common in mountainous regions throughout the world.

On the day we cycled to Toksun we started at around 1000 meters altitude and climbed up to 1750 meters. It was a smooth climb on the shoulder of the motorway. We stopped many times to take photos of the very beautiful landscape. When it then was time to descend we would loose very much altitude. Toksun is located in the Turpan depression which is the lowest lying area in China. The deepest part of the depression is around 150 meters below the sea level.

Beautiful shapes in the desert

Beautiful shapes in the desert

When we descended we felt it got warmer and warmer and when we reached the outskirts of Toksun the heat was almost unbearable. Just as we rolled into the first eatery at the entry to the town I got today’s first flat tyre. I only had to walk the bicycle 5 meters and could fix it in the shade at the restaurant. It wouldn’t have been fun to change innertubes in the heat outside that restaurant so I didn’t complain. If to get a puncture in extreme heat it is good to get it 5 meters from where you would have stopped anyway…. 🙂

Sand.....

Sand…..

SONY DSC

We stayed quite a long time at the restaurant to both eat and wait for the cooler evening hours. We planned to cycled through the city and camp outside, but in an intersection I got today’s second flat tyre. Since the sun was just about to set we changed to a new innertube in less than 10 minutes – we are improving our team work when it comes to fixing flat tyres….

Here we go again...

Here we go again…

After some 5-6 km I felt that the wheel we jsut repaired got softer and softer and I suspected we had been too quick when repairing it. Too tired to fix it we turned into the first camp spot we could find which turned out to be next to an onion field.

The ride from Toksun to Turpan took us over a vast plain of stony desert. On the way down a hill I saw wind turbines. Not one, not 10, not 1000 but thousands. They were placed in the desert and they all faced to direction where we were going 🙁

We arrived to Turpan early in the afternoon. Our plan was to take a rest in the afternoon and start early tomorrow.

จีน => จาก Wu Than (อูฐาน) ไป Luntai (ลุนไท)

เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลย เพราะมียุง ไม่รู้มันบินเข้ามาได้ยังงัย นอนเกานอนตบยุงทั้งคืน จนในที่สุด เราต้องเอาเสื้อแจ๊คเก๊ตมาใส่นอน โรงแรม อืม..ที่นี่น่าจะเรียกโรงเตี้ยมเสียมากกว่า บางแห่งในจีนไม่สามารถให้ชาวต่างชาติเข้าพัก และที่นี่น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะเขาไม่ลงทะเบียนชื่อเรา พอเห็นพาสปอร์ตสวีดิชก็คุยกันฉ้งเฉ้งและหันมาบอกเราว่าไม่เป็นไร ดีเหมือนกันค่ะเพราะไม่อยากแบกกระเป๋าลงมาจากชั้น 4 อีก ตอนเย็นเราคิดว่าจะกินอาหารของเขา แต่เขาชี้ให้ไปอีกฝั่งหนึ่ง ก็ดีนะ เพราะดูจากทางหน้าร้านเห็นเขาขายแต่เครื่องในและตีนไก่ ฝั่งโน้นก็ฝั่งโน้นข้ามถนนไปกัน ถนนที่นี่แปลกนะ มีเลนส์อยู่ 4 เลนส์ สองเลนส์ตรงกลางให้รถขับสวนไปสวนมา สวนสองเลนส์ข้าง่ ๆ สำหรับจักรยาน มอเตอร์ไขค์และรถม้า สองเลนส์ข้าง ๆ นี่แหละที่ต้องระวังเพราะรถมากันทั้งสองทาง ต้องหันซ้ายหันขวาอยู่หลายรอบก่อนจะก้าวเท้าออกไป

นี่เป็นร้านอาหารจีนร้านแรกตั้งแต่ปั่นเข้าเมืองจีน เพราะตลอดทางมีแต่ร้านของชาวอูกูร เข้าไปก็จะได้ลัคมานทุกครั้ง

นี่เป็นร้านอาหารจีนร้านแรกตั้งแต่ปั่นเข้าเมืองจีน เพราะตลอดทางมีแต่ร้านของชาวอูกูร เข้าไปก็จะได้ลัคมานทุกครั้ง

เจอคนแก่หน้ารร. เขาถามเราพยายามคุยกะเขา มีคนแก่ที่ปั่นจักรยานดูหน้าตาแกก็ช่วยพยายามด้วยเหมือนกัน แกทำปากห่อ ๆ น่าจะทำตามเรา 🙂 อีกคนนึงมายกจักรยานดูว่าหนักแค่ไหน อีกคนบอกว่าให้ปิดไฟท้าย ช่วยเหลือจริง ๆ แล้วคุณตาทั้งหลายก็ยืนคุยกันจนส่งเราออกจากโรงเตี้ยมนั้นเลย

ตอนแรกคิดว่าจะหาโรงแรมยาก แต่ลืมไปว่าเราปั่นเข้าเมืองเล็ก ๆ โรงเตี้้ยมนี้อยู่หน้าถนน ได้คุยกับคนแก่สามคนนี้ น่ารักนะพยายามจะฟังเรา

ตอนแรกคิดว่าจะหาโรงแรมยาก แต่ลืมไปว่าเราปั่นเข้าเมืองเล็ก ๆ โรงเตี้้ยมนี้อยู่หน้าถนน ได้คุยกับคนแก่สามคนนี้ น่ารักนะพยายามจะฟังเรา

หมาพันธุ์ปักกิ่งวิ่งกันเกลื่อนตามท้องถนนเลย เหมือนหมาข้างถนนบ้านเรา แปลกดี เพราะที่สวีเดนพันธุ์นี้จะแพงมาก เพื่อนที่ทำงานเคยเลี้ยงอยู่ตั้ง 4-5 ตัว

หมาพันธุ์ปักกิ่งวิ่งกันเกลื่อนตามท้องถนนเลย เหมือนหมาข้างถนนบ้านเรา แปลกดี เพราะที่สวีเดนพันธุ์นี้จะแพงมาก เพื่อนที่ทำงานเคยเลี้ยงอยู่ตั้ง 4-5 ตัว

ออกจากโรงเตี้ยมมาก็หาทางขึ้นไฮเวย์และปั่นบนไฮเวย์ทั้งวันตามลมสบาย ตั้งใจว่าจะปั่นกันสัก 190 ม. แต่โจคิมยางแบนเสียก่อน ตอนนั้นก็เริ่มจะค่ำ เลยลองเช็คดูว่ามีรร.แถวนั้นมั้ย มีห้องพักนะแต่ไม่มีน้ำแต่เขาก็ยังจะเก็บราคาเท่าเดิม เลยปั่นไปหาที่กางเต้นท์กัน เพราะที่อยากเช็คอินเข้าโรงแรมก็เพื่อต้องการอาบน้ำ แต่ถ้าไม่มีน้ำก็นอนเต้นท์ดีกว่า ถ้างั้นเราไปที่ปั้ม ไปเอาน้ำจากก๊อกน้ำเขาแล้วไปอาบที่จุดกางเต้นท์ก็ได้ พอไปถึงปั้มถึงได้เข้าใจว่าที่เขาพยายามบอกเรานั้นคือ “วันนี้น้ำไม่ไหล” เพราะที่ปั้มไหลช้ามากแต่ก็ยังมีให้ได้ลองสัก 6 ลิตร เราซื้อซิมของจีนใส่ในไอโฟนของโจคิม ทำให้เราได้กูเกิ้ลมาช่วยแปล แต่เป็นการแปลทางเดียวคือจากเรา เพราะฉนั้นเวลาเขาพูดอะไร เราจะไม่เข้าใจ ต้องใช้จินตนาการเอาละค่ะ หาที่ได้แล้วพอตั้งเต้นท์เสร็จฝนเริ่มตก

จุดกางเต้นท์เลยออกมาจากจุดจอดพักรถประมาณกม.กว่า ๆ ใกล้ ๆ เมืองลุนไท

จุดกางเต้นท์เลยออกมาจากจุดจอดพักรถประมาณกม.กว่า ๆ ใกล้ ๆ เมืองลุนไท

ออกจากที่กางเต้นท์ก็หันหน้าเข้าหาถนนใหญ่ทันทีเพราะต้องการทำเวลาอีกอย่างแถวนี้ก็ไม่มีอะไรน่าดู ภูมิประเทศไม่ค่อยปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ อากาศสลัว ๆ แดดไม่ร้อน ช่วงนี้เลยไม่ค่อยถ่ายรูป เพราะไม่มีอะไรจริง ๆ ตามถนนไฮเวย์นี้มักจะมีจุดพักเป็นระยะ ๆ เราเลยปั่นไปหาน้ำเอาข้างหน้า แต่เกิดอาการกระหายน้ำเสียก่อนเลยพยายามสอดส่องหาช่องทางที่มีคนมาเปิดไว้ เพราะตามถนนไฮเวย์จะมีรั้วลวดหนามยาวตลอดทั้งสาย พอเห็นช่องหนึ่งที่ถูกเปิดโดยมีทรายมากองไว้เป็นภูเขา รถไม่สามารถขึ้นได้ แต่เราเดินลงไปได้ เวชเลยเดินข้ามไปซื้อน้ำที่ปั้ม พอถามเด็กที่ร้านว่ามีน้ำมั้ยเขาชี้เข้าไปในร้านแต่ไม่เห็นว่าจะมีตู้เย็นเหมือนร้านค้าทั่ว ๆ ไปแล้วเขาก็เดินตามหลังมา บอกว่ากดน้ำจากเครื่องได้เลย เอาอย่างนั้นเลยรึ? เรามีถุงน้ำติดตัวมาด้วยจุ 4 ลิตร เขาหยิบมาให้อีก 2 ขวดเล็ก ๆ จากในตู้เย็น เกรงใจเลยขอซื้อน้ำอัดลมเขามา พอจะเอาของใส่ถุง นั่น…ยังหยิบผลไม้มาให้อีก น่ารักจริง ๆ

ปั่นบนไฮเวย์ดีตรงที่เราไม่ต้องเช็คเส้นทางบ่อยและได้ระยะทาง แต่ที่ไม่ดีก็ตรงที่ห่างไกลร้านค้าเพราะฉนั้นเราต้องตุนเสบียงเล็กน้อย ช่วงนี้เราปั่นอยู่บนถนนไฮเวย์ทั้งวัน ไม่ค่อยเจอผู้คนสักเท่าไหร่ จะได้เจอและพูดคุยบ้างก็ตอนที่เรามาถึงจุดจอดพักรถ เพราะส่วนใหญ่คนแถวนั้นจะเอาอาหาร ผลไม้ ของแห้งมาขาย และน้ำด้วย เรามาแวะร้านคุณลุงคนหนึ่งซื้อน้ำและผลไม้แห้งไว้กินระหว่างทาง พอจ่ายเงินเรียบร้อย คุณลุงทำท่าว่าให้รอก่อนและเดินไปเลือกแคนตาลูปลูกขนาดย่อม ๆ มาให้เรา ขอบคุณค่ะ! แบกกันมาอีก 20 กม.กว่าจะถึงจุดจอดพักรถ ที่นั่นเขาจะมีบริการห้องน้ำ ร้านค้า ร้านอาหาร แต่พอเรามาถึง เปล่า… ยังสร้างไม่เสร็จ มีร้านอาหารง่าย ๆ และน่าจะเป็นแค่ชั่วคราวอยู่ 2 ร้าน ห้องน้ำไม่มี น้ำก็ไม่มี เราปั่นกันมาทั้งวันก็อยากอาบน้ำเลยต้องซื้อน้ำดื่มมาอาบกัน

ปั่นกำลังเหนื่อย ๆ อยากหาที่พักพอดี มาเจอจุดจอดรถข้างทางท่่ีไม่มีป้ายบอก เลยจอด รู้สึกว่าลัคมานที่นี่จะเริ่มมีรสชาติขึ้นบ้าง

ปั่นกำลังเหนื่อย ๆ อยากหาที่พักพอดี มาเจอจุดจอดรถข้างทางท่่ีไม่มีป้ายบอก เลยจอด รู้สึกว่าลัคมานที่นี่จะเริ่มมีรสชาติขึ้นบ้าง

เจ้าสองตัวน้อยนี้สนใจมาคอยมองดูโจคิมปะยาง

เราพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าสองตัวน้อยนี้จากภารกิจปะยาง

ช่วงที่ปั่นอยู่บนไฮเวย์โจคิมยางแบนไปหลายรอบ ส่วนเวชสองครั้งและทุกครั้งจะเป็นยางหลัง ตอนแรกที่แบนคิดว่าโดนหินหรือแก้ว แต่พอสำรวจอย่างละเอียดเราพลาดไป มองไม่เห็นเจ้าเส้นลวดแข็ง ๆ จากล้อของรถใหญ่เวลาที่มันระเบิด ตัวยางนอกมันประกอบด้วยเส้นลวดแข็ง ๆ นี่และพอมันแตก เส้นลวดพวกนี้ก็กระจายเต็มพื้นถนน รถใหญ่ ๆ ก็ไม่มีปัญหา แต่เราสิ ปัญหาใหญ่เลย ปั่นได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องมานั่งปะยางอีกแล้ว ครั้งล่าสุดของโจคิมเราเจอเส้นลวดเส้นเล็ก ๆ นี่ 4 ชิ้นจิ้มอยู่

วันนี้มีเมฆมาบดบังแสงอาทิตย์ให้ ทำให้ไม่ร้อน แต่ถ่ายรูปออกมาไม่สวยเท่านั้นเอง

วันนี้มีเมฆมาบดบังแสงอาทิตย์ให้ ทำให้ไม่ร้อน แต่ถ่ายรูปออกมาไม่สวยเท่านั้นเอง

Day 105-108 (Aksu – Korla)

Day 105 Aksu – Wutan 67 km
Day 106 Wutan – Service station Xinhe 168 km
Day 107 Service station Xinhe – Yangxia Service station 178 km
Day 108 Yangxia Service station – Korla 139 km

It seems that it is impossible for us to make an early start every time we stay at a nice hotel. The breakfast buffet is something we don’t want to miss and then it takes time to pack and carry down our luggage, get our bikes and then find our way out of the city.

The last part takes more time than one would imagine. When we camp, we can just load our bikes and continue in the same direction without having to navigate out of a large city with many roads leading in different directions.

There are two main roads that go in an east-west direction along the northern end of the Taklamakan desert. One of them is the old road and the other is a big and very nice motorway (we cycled on un-finished parts of it from Kashgar).

The old road allows much less space for us and trucks and cars pass a lot closer

The old road allows much less space for us and trucks and cars pass a lot closer

We have heard stories from other cyclists that it is OK to cycle on Chinese motorways, at least in the western part of the country where there are not any really good alternatives. Outside Aksu there is a large intersection where the old road and the motorway cross each other. Clear signs showed that pedestrians, motorcycles, horse carriages and bicycles are not allowed on the motorway. What to do, follow the law and go on the smaller and longer old road or break the law and go on the smooth, shorter and bigger motorway?

China is a big country and it accounts for about 1/3 of our entire trip. Our visa is valid for 60 days and can only be extended once with 30 more days so we will need to move on quickly. The landscape in this part of China is not very exiting so we have decided to try to put in as many kilometers as possible in this region so we chose going on the motorway.

Another plate of "Lagman" which is a central asian noodle dish that we are getting tired of. The noodles are handmade at the time of order, which takes some time. They taste wonderfully, but we could do with some other meat than mutton for a change. The roadside restaurants seem to only sell lagman or at least that is the only think we manage to order ;-)

Another plate of "Lagman" which is a central asian noodle dish that we are getting tired of. The noodles are handmade at the time of order, which takes some time. They taste wonderfully, but we could do with some other meat than mutton for a change. The roadside restaurants seem to only sell lagman or at least that is the only think we manage to order 😉

This motorway is a tollway and after 3 kilometers we came to a toll station. We were afraid that they might tell us to turn back and go on the old road but instead the lady in the ticket booth waved us through and indicated by pointing that we should ride on the shoulder.

We have passed many tollstations since we first got on the motorway. They have all waved us through but one day there was a police checkpoint immediately after the toll station. The police officer pointed in our direction but we thought he pointed at the truck behind us. When we continued cycling he made it clear that he wanted us to stop by pointing directly at us and where we should stop. Having been to many police checkpoints before we gave the officer our passport even before he asked for them. He then flipped among the pages and carefully inspected us, the photos and our expired visa for Uzbekistan before he allowed us to go. It is good that the police keep a high level of security. How would it look if foreigners were running around in China with the wrong type of Uzbekistan visas in their passports….. 😉

The motorway is very modern. It has two lanes and a very wide shoulder – actually that shoulder is just as wide as each lane, and nobody travels on that shoulder. Nobody but two cyclists on their way from Göteborg to Bangkok.

There are advantages and disadvantages by cycling on a motorway. The main advantage is that we can travel at high speed and do many kilometers per day. The disadvantages is that it is far between gas stations or shops (up to 100 km) and that the motorway is fenced off by a barbed wire fence along its route.

Empty motorway but far between the service stations. Note that the international symbol of a knife and fork indicates a restaurant. We would have preferred a symbol with shopsticks and some latin letter instead

Empty motorway but far between the service stations. Note that the international symbol of a knife and fork indicating a restaurant but no latin letters – only chinese charachters and uygur using arabic alphabet

Although the road was very good to ride on our late start meant that we didn’t get very far and since we hadn’t learnt how to deal with the motorway yet, we decided to leave it and ride to a small town on the old road. In the middle of that town Wej spotted something she thought was a hotel. She stopped, went in and came out and told me that there was a room for 80 Yuan (10 €). The room had definately seen better days but we didn’t mind.

Wej trying to have a conversation with curious bypassers as we prepare to leave

Wej trying to have a conversation with curious bypassers as we prepare to leave

Having eaten mainly central asian food even since we entered China we were happy to find a chinese restaurant in front of our ”hotel”.

The following morning was cool and I decided to wear my long pants and jacket. I have sometimes considered to send them home, but I needed them in Kyrgyzstan and now I needed them in the chinese desert too.

We parked the bikes in a separate room at the cheap local hotel. When we came to pick them up early in the morning we understood that we had parked in the local gambling den where men played mahjong even early in the morning. The few minutes when loading the bike in that room while seeing the men concentrated on the game and hearing their shouts made me feel that

We parked the bikes in a separate room at the cheap local hotel. When we came to pick them up early in the morning we understood that we had parked in the local gambling den where men played mahjong even early in the morning. The few minutes when loading the bike in that room while seeing the men concentrated on the game and hearing their shouts made me feel that “now I am really in China”

After 30 km on the old road we once again entered the new motorway that goes along the mountain ridge. The landscape is rather boring and it wouldn’t have been better if we had cycled on the old road which sometimes is next to where we cycle or sometimes very far away. The traffic on the motorway was not intense at all and we could do many kilometers without putting in too much effort.

Camping in the outskirts of the Taklamakan dessert

Camping in the outskirts of the Taklamakan dessert

So why do we cycle along a road that isn’t very beautiful, has few cities and tourist attractions? Why simply not take the train?

The answer to this takes us back to the topic about bikers vs. travelers that is often dicussed among cycling enthusiasts.

A biker is someone who wants to cycle from A to B just to have done it and who is mainly not interested in exploring what is in between A and B. The biker may want to prove that it is possible or want to do it under a certain time etc.

A traveler is the opposite. For the traveler it is not the cycling that is important. The traveler have for one reason or another found out that a bicycle is a very suitable means of transportation when exploring the world. A traveler wouldn’t mind taking a train to skip some uninteresting parts.

During our journey we have met many cycling tourists, some can easily be labeled as bikers, some as pure cycle travelers and some have been something in between.

I have written about this before but I think it is now time to come back to the question of what we are, bikers or travelers?

We think that we are a bit of both. While we hadn’t yet crossed the Caspian Sean we saw ourselves as mainly travelers. We enjoyed meeting people, doing sidetrips, having nice food in restaurants and going to museums and so on.

The endeavors in the Kazak and Uzbek deserts put us more into the biker category. We could have gone by train this part, but we wanted to try to cycle in a dessert and having come all the way here on our own wheels we wanted to continue to go by our own muscle power. I think it is fair to say that we have now moved into the biker category – if we move back to the traveler category, we will soon be on a train through this region….

Riding on the motorway along the Taklamakan desert is nothing exiting at all. When it can’t be an exiting journey through a interesting landscape it may still be a journey into the landscapes of one’s own mind. Cycling kilometer after kilometer and the views stay the same, the same kind of trucks pass every few minutes and sometimes the road does a little bend – that’s what happens during our days now. Sometimes we play games such as guessing who can make the best guess of the distance to a bridge that we can see far ahead of us.

It would be great to listen to music or audio books but we don’t dare to not be able to hear the oncoming traffic. If there is no traffic we ride beside each other and talk.

So what else to do to kill the time?

I personally have allowed myself to start thinking of the end of this journey. Before, when we were still in Turkey or Caucasus, I would immediately force myself to think about something else everytime my brain painted the picture of me arriving to Banglen or riding across the Chao Phraya river in Bangkok. Now I have started to allow myself to think about how it will be to get there, what kind of reactions I think I will have, what I would like to do when I arrive and so on.

We arrived China on August 12 so we have to leave the country no later than November 10 and then to Laos which is a neighbour to Thailand, so it is as fair to start thinking about getting there as it was to think about riding into Istanbul when we boarded the ferry that took us to Poland.

If entertaining oneself by fantasies about the end of the trip isn’t enough, one could always resort to some practical jobs such as fixing flat tyres…..

The service areas with gas stations and shops are far apart but there are a few signs indicating the distance to the next one. Towards the end of the second day after leaving Aksu we spotted the service area from far away. 500 meter before arriving there I got a flat tyre on my rear wheel. First I thought about walking the bike to the service area, but then I re-considered and decided to change the innertube beside the road.

Repairing flat tyres at the service station

Repairing flat tyres at the service station

20 minutes later we rolled into the service area. It was late in the afternoon and time to find a place to camp. Our intention was to cook our own food so we only needed to buy some water and wash ourselves at the restrooms. Unfortunately the water was turned off so we couldn’t wash away the dust on our faces. When we left the service area I got a second flat tyre when I was still on the entry ramp to the motorway.

Two flat tyres within a kilometer is one too much. We walked back to the service station and I changed to yet another innertube and repaired the two ones that had got a puncture.
Being delayed by the flat tyre we had to quickly find a camp site and only 2 km from the service station we found a hole in the barbed wire fence where we could get off the motorway.

When I moved our bikes away after having had our dinner beside the tent I discovered that my rear tyre was flat again. Three punctures in one day….. 🙂

Wej urged me to throw away my old tyre and use the spare one we bought in Baku. I am not so convinced that it is as strong as the old one I have so I decided to only swap places. Front tyre was moved to the rear wheel and vice versa.

Although we started a bit late due to our work with changing tyres and patching holes in our innertubes we managed to make almost 180 km the third day after leaving Aksu.

Google maps had indicated that there was a service station far away and these places usually has shops that sell food and water so we pressed hard to get there only to discover that this place was under construction. There was only a small food stall there and no restrooms. We bought two dozens of 0.5 liter water and used these to shower before going to bed in front of one of the buildings that were under construction.

The next morning all hell broke loose….

After 471 meter I got my first flat tyre… Of course on the rear wheel (more difficult to change). I hadn’t even left the service area yet and I was disappointed to say the least.

After 471 meters. The service area where we slept can be seen in the background

After 471 meters. The service area where we slept can be seen in the background

Wej usually gets 1 flat tyre when I get 10, but after 21 km Wej got her 5th flat tyre on this trip (rear wheel). We changed it and continued and after 54 kilometers we arrived at a service area and decided to have lunch. We parked our bikes beside the table and when it was time to leave I saw that there was no air in my rear tyre….. 🙁

There was nothing to do but to change the innertube while all the kids around and the ladies working at the restaurant were watching.

36 kilometers later (at 90 km that day) Wej shouts the all too familiar words ”My tyre is flat”.

I got completely mad….. The sunshine was strong and we brought her bike and all tools to a culvert under the road and repaired it there. Once again it was a very thin and sharp little steel wire that had penetrated the wheel – this time at three different positions.

Fixing puncture number 4 in a culvert

Fixing puncture number 4 in a culvert

We were now starting to run out of patches to repair the punctures and our pump show signs of wearing out so the situation was not good.

Those steel wires were the culprits behind all our punctures the last few days but where do they come from? They are so small that is impossible to see them when cycling and we felt we didn’t have a fair chance to avoid them.

Later when we were back on the road I stopped and took a look at a black string that lay on the roadside. It was a piece of a burst car or truck tyre that contained a metal cord. Now we knew where the little steel wires penetrating our tyres came from and we started to point at them to warn each other.

This is really disturbing and when we talked to our polish friend who rides 4 days ahead of us he confirmed that he had also got a couple of flat tyres when cycling on the highway.

Getting my wheel trued at one of the 30 (!) bicycle shops in Korla

Getting my wheel trued at one of the 30 (!) bicycle shops in Korla

When we made it to the top of a little hill we suddenly saw the city of Korla. We thought it would be a small town, but instead we saw a city with a skyline. It has 700.000 inhabitants and is a small provincial town by chinese measures….

Checking in at a 4 star hotel... :-)

Checking in at a 4 star hotel… 🙂

When we cycled into the city we spotted a proper bicycle shop. We stopped and wanted to patches and a new pump. I also needed to true my rear wheel and what happened was that we stopped for a day to settle all our bike matters. Both bikes now have new cassettes, chains and we have bought extra thick innertubes, 3 tubes of glue and 50 patches. We hope that will be enough to take us to our next target – Turpan which is almost 400 km from here.

Downtown Korla

Downtown Korla

Short update

China is a big country and the distance to cycle in this country is around 5500 km. We only have a 60 day visa and we estimate it will take us around 80 days to get through so we will need to extend the validity of the visa somewhere. This puts some time pressure on us. Since the landscape in this area isn’t very exiting and that the towns and villages are far apart we feel we can as well press on and get some kilometers done.

This and the coming weeks we will be chewing kilometers for breakfast, lunch and dinner and although we only cycle and do no sightseeing there are stories to be told but after having done almost 180 km today and 170 yesterday we both feel we should prioritize sleep instead of writing. The forecast for tomorrow is headwind and we hope we will be able to make it to the city of Korla where we would like to stay at a hotel and update this blog with some stories from the road along the Taklamakan desert.

This service area along the highway is unfinished so there are no restrooms and no running water. After 180 km in the sunshine we needed a shower and bought two dozens of 0,5 liter bottles of drinking water. We showered on the stairs next to were we sleep and this is the only photo of Wej showering that will ever be published on this blog.

Wej showering by using a a number of 0,5 liter bottles

Wej showering by using a a number of 0,5 liter bottles

Right now we are sleeping under the sky at an un-finished service along the main highway. The photo below is the latest photo taken with our camera and shows me as I write this very blogpost 🙂

Writing this blogpost under the stars

Writing this blogpost under the stars

จีน => Aksu (อัคสุ) ไป Wu Than (อูฐาน)

เราพักที่โรงแรมสี่ดาว ตอนแรกไม่เห็นเพิ่งมาเห็นตอนที่ข้ามไปกินข้าวอีกฝั่งหนึ่ง แต่พอเช็คราคาแล้วก็โอเค พอตื่นเช้าขึ้นมารู้สึกเจ็บคอมากขึ้น เลยคิดว่าน่าจะอยู่ต่อให้อย่างน้อยคอหายเจ็บก็ยังดี สรุปอยู่ที่อัคสุกัน 4 วัน 3 คืน เข้าจีนมาตั้งแต่วันแม่เพิ่งมีเมื่อวันที่ปั่น 200 โลเข้าเมืองอัคสุ (Aksu) และวันนี้มาที่เมืองนี้อูฐาน (Wu Than) ที่ลมเป็นใจ

วิวจากหน้าต่างห้องพัก เห็นทิวเขาเทียนชัน

วิวจากหน้าต่างห้องพัก เห็นทิวเขาเทียนชัน

เราเช๊คเอาท์ออกจากโรงแรมบ่ายกว่า ๆ เริ่มปั่นก็ปาเข้าไปสองโมง ไม่รู้เป็นอย่างไรเราทั้งสองคนรู้สึกเหนื่อย ๆ เนือย ๆ ไม่ค่อยอยากปั่น อยากพัก หรือเป็นเพราะเราพักมาเยอะ แบตฯเลยหมด หรือว่าใช้ไปจนหมดเกลี้ยงเลยต้องชาร์ตนานขึ้นอีกหน่อย เฮ้อ… แต่ด้วยความว่าวีซ่าเรามีอายุแค่ 2 เดือน คิดว่าต้องต่ออายุครั้งหนึ่งจะได้เพิ่มอีก 1 เดือน และความท่ีจีนเป็นประเทศที่ใหญ่และมีเขาสูงตามเส้นทางที่เราตั้งใจจะปั่นผ่าน เลยรู้สึกว่าไม่ควรจะโอ้เอ้

วันนี้เราได้ข่าวดีจากลูกพี่ลูกน้องของโจคิมว่าเขาจะมาปั่นด้วยกันกับเราเส้นทางหนึ่งในจีนน่าจะประมาณคุนหมิง เราจะพยายามนัดกัน ไม่ใช่ เราจะพยายามไปให้ถึงคุนหมิงก่อนที่เขาจะมาถึงมากกว่า เพราะเส้นทางอีกยาวไกล คงต้องหาแรงกระตุ้นจากทางใดทางหน่ึง เฮ้อ.. ต้องควานหากันต่อไป

ไฮเวย์ทางด้านนี้รถรายังไม่เยอะเท่าไหร่ แต่สังเกตุที่ป้ายที่บอกจุดเติมน้ำมันและร้านอาหาร ถ้าเป็นภาพตะเกียบเราก็จะรู้ทันทีเช่นกัน แต่เวลาจะอ่านป้ายบอกทางไม่มีตัวอะไรให้อ่านออกได้เลย ต้องจำและเปรียบเทียบตัวอักษรจีนเอา ;-)

ไฮเวย์ทางด้านนี้รถรายังไม่เยอะเท่าไหร่ แต่สังเกตุที่ป้ายที่บอกจุดเติมน้ำมันและร้านอาหาร ถ้าเป็นภาพตะเกียบเราก็จะรู้ทันทีเช่นกัน แต่เวลาจะอ่านป้ายบอกทางไม่มีตัวอะไรให้อ่านออกได้เลย ต้องจำและเปรียบเทียบตัวอักษรจีนเอา 😉

ตอนเช้าเราดูแผนที่กันมีสองเส้นทางให้เลือกคือเส้นทางเก่าและไฮเวย์ ซึ่งจริง ๆ ไม่อนุญาติให้จักรยานและมอเตอร์ไซค์ขึ้น แต่เราเห็นมอเตอร์ไซค์ขึ้นไปตั้งหลายคันและเพื่อนชาวสโลเวเนียเคยบอกไว้ว่าปั่นได้ไม่มีปัญหา คาดว่าทางด้านตะวันตกนี่ยังไม่ค่อยมีจราจรคับคั่งเท่าภาคอื่น ๆ ของจีน เราปั่นผ่านจุดชำระค่าผ่าน คนเก็บเงินแค่พยักหน้าหรือทำสัญญาณให้เราปั่นชิดขวาเข้าไว้ จริง ๆ เราไม่ค่อยอยากปั่นทางไฮเวย์เพราะทางจะตรง ตรง มาก ๆ และจะไม่ได้เจอผู้คนหรือผ่านหมู่บ้านเมืองไหนเลย แต่ด้วยว่าเวลามันเดินไปเร็วเหลือเกิน ทำให้เราต้องรีบไปโดยปริยาย ไฮเวย์ตรงนี้เปิดใช้มานานเพราะฉนั้น มันไม่ใช่ของเราเท่านั้น ไม่เหมือน 2-3 วันที่แล้วที่ปั่นจากคัชก้ามาอัคสุ ปั่นเสียกลางถนนเลย

ปั่น ๆ อยู่ เอ๊ะ..เสียงอะไรนะโจคิม อีกแล้ว แบนอีกแล้ว โธ่..อีกแค่กม.เดียวจะถึงปั้มแล้ว เพราะเราตั้งใจจะไปที่นั่นเพื่อเติมน้ำมันไว้ใช้ทำครัว เลยต้องหยุดเพื่อปะยางกันก่อนที่ข้างทาง พอดีที่ตรงนั้นเปิดรั้วเลยได้เดินลงไปปะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน คนยางแบนก็โมโห เพราะแบนได้เรื่อย ๆ แบนจนเลิกนับเลยแหละ ปะกันเสร็จเราก็ปั่นไปที่ปั้ม ถามเขาว่าจะเติมน้ำมัน ตอนแรกเขาบอกว่าเติมไม่ได้หรอก ขวดน้ำมันเราเล็กนิดเดียว แต่มีเด็กปั้มคนหนึ่งคิดออกว่าจะทำอย่างไร เขามาถามเราว่าจะเติมเท่าไหร่ เราไม่เคยเติมนี่นาไม่รู้ว่าเท่าไหร่ อ่ะ..งั้นเติม 10 หยวน อึ๋ย..เห็นเขากดน้ำมันลงไปในกระบวยอันใหญ่ ๆ ของเขาแล้วกว่าจะถึงเลข 10 มันเริ่มเยอะเกิน แล้วมันก็เยอะเกินจริง ๆ ใส่ในขวด Primus ของเราเต็มแล้วยังเหลืออีกเยอะเลย เลยเอาขวดน้ำให้เขาใส่เพิ่มลงไป เผื่อเราเอาไว้ล้างโซ่ก็ยังดี ไม่รู้จะแบกไปได้นานแค่ไหนเท่านั้นเอง เบนซินนี่นาของอันตราย

ได้เวลาออกตัว บ๊ายบายกันไป แต่ปั่นไปได้ไม่กี่เมตร รู้สึกว่ายางหลังมันยังแบน ๆ อยู่นา แบนจริง ๆ ด้วย สองครั้งภายในไม่กี่ร้อยเมตร ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ เราเลยต้องปั่นย้อนกลับเข้ามาที่ปั้มอีกที พอเปลี่ยนยางในเสร็จ อ้าว..เห็นซี่ล้ออันหนึ่งหย่อน ๆ ชอบกล เลยเช็คดูปรากฎหย่อนตั้งหลายอัน ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ หนึ่งให้ช่างที่ชำนาญในการทำล้อตั้งล้อให้ สองปัญหานี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก โจคิมช่างโชคดีอะไรอย่างนี้น้อ กว่าจะปะยางเสร็จกว่าจะแก้ไขซี่ล้อเสร็จ เวลา 19:15 เรามีเวลาปั่นถึง 21:30 ซึ่งพระอาทิตย์จะตกดิน เห็นตึกอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยเดินไปถามเด็กปั้มว่าที่นั่นเป็นโรงแรมหรือเปล่า ดีที่เรามีเน็ตใช้ เลยสามารถเอากูเกิ้ลมาช่วยแปลได้ เขาบอกว่าที่นั่นไม่ใช่โรงแรม แต่บอกให้เราปั่นลงไฮเวย์ไปทางขวามือแล้วเลี้ยวซ้ายไปเมืองอูฐาน ที่นั่นจะมีโรงแรม ตอนแรกคิดว่าจะได้กางเต้นท์เสียแล้ว มีโรงแรมก็นอนโรงแรม แต่พอเห็นทางเข้าของโรงแรมก็รู้สึกว่ากางเต้นท์ดีกว่าหรือเปล่าเนี่ย??? พักก็พัก ลดเกรดลงมาเยอะเลยจากสี่ดาวจนมาถึงหาดาวไม่เจอ ยังดีที่มีน้ำร้อนให้อาบ

ดูในรูปบอกไม่ได้เลยนะว่าเป็นห้องเดียวกัน เพราะดูจากสายตาตัวเองแล้ว มันแย่กว่าที่เห็นในภาพ แต่ก็โอเค ต่อราคาได้ 80 หยวน

ดูในรูปบอกไม่ได้เลยนะว่าเป็นห้องเดียวกัน เพราะดูจากสายตาตัวเองแล้ว มันแย่กว่าที่เห็นในภาพ แต่ก็โอเค ต่อราคาได้ 80 หยวน

ตอนแรกคิดว่าคงมีใครฉี่ไม่ตรงกระโถนหรืองัย แต่เขาบอกว่าเอาไว้เขี่ยขี้บุหรี่ หรือน่าเชื่อจริง ๆ

ตอนแรกคิดว่าคงมีใครฉี่ไม่ตรงกระโถนหรืองัย แต่เขาบอกว่าเอาไว้เขี่ยขี้บุหรี่ หรือน่าเชื่อจริง ๆ

Sore throat

Wej woke up with a common cold and a sore throat yesterday morning. Instead of continuing cycling we decided to stay two days to let her get better. This means we are slightly behind the schedule which doesn’t really matter at all. The only thing we need to worry about timewise is the validity of our chinese visas and where and when to extend them.

It feels very much like end of summer here in Aksu. The sky is grey, it is windy (tailwind…) and not more than maybe 20-22 degrees which feels rather cold in the strong wind.

Our next stop will be in the city of Kuqa which is 250 km from here. We hope to be able to ride there in two days.

Meanwhile, enjoy these pictures from the very nice hotel we have been staying at.

View from our window over the city and the Tian Shan mountains

View from our window over the city and the Tian Shan mountains

And this is the night time view from our room

And this is the night time view from our room

And this is the room. Two double beds and a desk to work at. We couldn't have asked for more.... :-)

And this is the room. Two double beds and a desk to work at. We couldn’t have asked for more…. 🙂

Day 101-104 (Kashgar – Aksu)

Day 101 Kashgar – Artux 46 km
Day 102 Artux – Xikekurelzhen
Day 103 Xikekurelzhen – Sanchakouzhen 112 km
Day 104 Sanchakouzhen – Aksu 205 km

Kashgar is not a big city be Chinese measures, but definately by Swedish. We loved being in a proper city again. It was wonderful to walk on busy pavements, drop into shops and just look at the city life. Our shopping tour got us two out of three things we needed.

Hard drive
We take a lot of photos and make many videoclips. The hard drive on our computer is soon full and we needed to do something about that. The solution was to go to a shop and buy a new external hard drive which has now enabled us to make some free space in the computer’s hard drive. The shop in the department store where we bought the new hard drive looked very much like one of those in good old Panthip Plaza in Bangkok.

SIM-card
The day before leaving Kashgar we also bought a chinese SIM-card to use in our iphone. It ”only” took two hours to explain what we wanted but still we haven’t got any answer to the very important question of how to re-load it with more money… We hope our new SIM-card will enable us to communicate more frequently with e-mail and blog updates even from our cosy tent.

Pump
Our pump shows signs of wearing out so I cycled to the only good bike shop in Kashgar only to find that they had no pumps for tubes with car valves… Maybe I should have tried at the local bazar instead – at least the bazar in Osh had the kind of pumps I was looking for.

Time to go
We liked our cosy hotel room in Kashgar and didn’t really want to leave. However, the visa clock has started to tick and China is a big country so there was only one thing to do and that was to get up on our bikes and start cycling.

Our nice hotel room in Kashgar. We thought it was nice be we would soon find better ones

Our nice hotel room in Kashgar. We thought it was nice be we would soon find better ones

Our strategy for China is to push a little bit harder than usual in the beginning in order to crack the backbone of the distance through China within a month. The first part doesn’t have so many sights and we think it is the landscape that is the attraction and this we can enjoy from our saddles.

Reading road signs is a major challenge.

Reading road signs is a major challenge.

Day 101
We had spoiled ourselves at the hotel in Kashgar and when we looked out of the window the morning we were leaving we saw a cloudy sky and it looked like it was cold. Once outside it turned out to be not only cool but also windy.

Our last minute shopping adventures resulted in a very late start from Kashgar. It looked more like a bush landscape and we only managed to get the 45 km to city of Artux.

When looking at the map we thought that Artux would be a smaller community, like a small town on the countryside that would perhaps not even have a hotel. Maybe it is small when measured by chinese standards, but when measured by Swedish it was a big city. It was already late and rather than riding past the city we decided to go in and try to find a hotel. The one we found was very nice – it was even better than the one in Kashgar 🙂

Day 102
This was another cloudy morning and the temperature was cool (20-24 degrees) and if it hadn’t been for the headwind it would have been a perfect day for cycling.

The eastern bound road north of the Taklamakn desert was more boring than we had hoped. The mountains on our left side was nothing special and on our right side the desert didn’t look like a proper desert. There were also almost no gas stations and restaurants along the way where we could buy supplies or eat. When we finally arrived to a village after about 100 km we stopped to have dinner and buy lots of water before continuing to find a place to pitch our tent, which turned out to be 15 km outside the town.

A stealthy camp site behind some bushes

A stealthy camp site behind some bushes

Eventhough the wind got less strong in the late afternoon we wanted to anchor the tent thoroughly. This turned out to be a difficult task since the ground was a loose mix of sand and soil and we had to move the tent a few times to find a spot where the tent pegs would get some grip.

When we went to bed the wind was completely gone – a very ironic situation after having struggled in the headwind and then worked hard to anchor the tent…..

Day 103
We woke up to the sound of rain and a strong wind on the wrong side of the tent. It wasn’t difficult to decide to stay in the warm sleeping bag for another hour. When we finally crawled out of the tent we discovered it was cold and windy from the wrong direction and still a bit rainy.

This kind of weather is completely different from what we had expected. We are riding along the Taklamakan dessert and it is supposed to be hot and dry, not cold and rainy…. 🙁  We do wonder if it is the end of summer that we are experiencing or if it is just temporary bad weather.

The road had an intense traffic but it also had a wide shoulder to ride on. The problem was that there were so many sharp small stones on it and in the late afternoon the inevitable happened – I hit a sharp stone and my front tyre got flat.

Fixing a flat front tyre.

Fixing a flat front tyre.

We didn’t see much of the scenery during the day. The cloud base was low and the clouds obscured the mountains. Looking at the mountains is our only form of entertainment and now they were hidden behind the clouds.

Resting beside a construction machine during the windy Day 103

Resting beside a construction machine during the windy Day 103

The road leading to Kashgar on the northern side of the Taklamakan dessert is being rebuilt. It is actually more correct to say that they are building a completely new motorway beside the old road. The new motorway is sometimes very close to the old road and sometimes up to a kilometer apart. When we saw a local motorcyclist turning onto that un-finished motorway we decided to follow and found an almost ready motorway that was completely emtpy. Pity that we found out about this road too late in the day.

Just like yesterday we didn’t pass any gas stations or villages at all until the end of the day when we arrived to a village which seemed to live on being a food stop for truckers and long haul buses. After having ”lagman” (noodles and meat) for the second day in a row we left the town with our water bottles filled.

After having gone through the evening routines the wind ceased. We started to seriously ask ourselves if we should start to ride on the half finished motorway during night time instead.

Our camp at dawn of a promising day

Our camp at dawn of a promising day

When we sat and had a cup of tea before going to bed the truck traffic increased quickly over just half an hour. There are always a lot of trucks on the road, but now there was an endless caravan. It would be a nightmare to drive a car and try to overtake those trucks. Maybe there is some kind of regulation banning them from using the road during daytime.

Day 104
This morning was very different to the two previous mornings. Sunshine and best of all – no wind. The bad mood and low motivation of yesterday was gone and replaced of enthusiasm and happiness.

It was a warm day and we got sweaty and dusty and when we for the first time since leaving Kashgar saw open water we stopped to rinse some clothes

It was a warm day and we got sweaty and dusty and when we for the first time since leaving Kashgar saw open water we stopped to rinse some clothes

This day we decided to ride on the un-finished motorway from start. There was no traffic apart from some vehicles being used by the road workers so we had to road all to ourselves. We could ride at high speed (around 27 km/h) and after our lunch break we decided to try to push a little harder in order to reach Aksu which would make a total distance of about 200 km.

Wej passing under the old road in order to get the un-finished motorway

Wej passing under the old road in order to get the un-finished motorway

Knowing it is important to eat and rest before getting hungry and exhausted we stopped and had a break every 25-30 km. We still had the motorway to ourselves but late in the afternoon we understood that it would be a race to get to town before sunset and we almost made it. At least we managed to get past the industrial suburbs and into the city center before it got dark.

To have an un-finished new motorway all to yourself is every cyclists' wet dream

To have an un-finished new motorway all to yourself is every cyclists’ wet dream

We wanted to stay at a hotel and had made notes of the addresses to a couple of hotels. When we checked in at Pudong Holiday Inn, we found the best hotel room so far during the entire trip and the price was only 30 € for both of us including a huge chinese buffet breakfast. Our plan is to camp 2-4 nights and then stay at a hotel and the hotels we have stayed at in China have been better and better so let’s hope that this trend continues.

จีน => Kashgar (คัชก้า) ไป Artux (อาร์ทุค) และ Aksu (อัคสุ)

คัชก้าเป็นเมืองใหญ่พอสมควร เราลงจากรถบรรทุกคันที่สอง ก็ยังต้องปั่นกันเกือบสิบกม.กว่าจะถึงใจกลางเมือง ตอนแรกติดว่าจะเช็คอินที่เกสต์เฮาส์แต่เริ่มมืดแล้ว เลยลองถามโรงแรมแถวนั้น ราคากำลังดี เลยจอดตรงนั้นเลย ทุกครั้งที่เราเข้าพักตามเกสเฮาส์หรือโรงแรมที่เราสามารถซักผ้าได้ ก็จะต้องรีบจัดการทันที และครั้งนี้ก็เหมือนกัน เราหมักหมมกันมาหลายวันตั้งแต่ก่อนเข้าหมู่บ้านซารีทัชที่อยู่ไม่ไกลจากชายแดนจีน 2 วัน ติดอยู่ที่ซารีทัชอีก 4 วัน ตอนที่อยู่ที่ซารีทัช จริง ๆ ควรจะซักผ้าแต่เราเหนื่อยจากปั่นข้ามเขามา และอีกอย่างความที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจอย่างไรไม่รู้ เลยหมักหมมต่อมาถึงคัชก้า ที่คัชก้านี่เอง เหมือนตอนที่เช็คอินเข้าโรงแรมที่ตุรกี เด็กพาไปดูห้อง และบอกว่าห้องนี้ดีนะมีอ่างอาบน้ำจากุสซี่ด้วย เราก็ดีใจแต่ไม่ใช่แค่อยากอาบน้ำในนั้นแต่อยากแช่ผ้าในอ่างนั้นมากกว่า และที่นี่ก็เหมือนกัน แถมมีที่ปิดรูให้ด้วย สุดยอด

น้ำที่แช่ผ้าไว้ทั้งคืน ขยี้จากน้ำนี่แล้วยังต้องซักอีกรอบนึงด้วย ได้ซักแล้วก็สบายใจ

น้ำที่แช่ผ้าไว้ทั้งคืน ขยี้จากน้ำนี่แล้วยังต้องซักอีกรอบนึงด้วย ได้ซักแล้วก็สบายใจ

หลังจากนั้นเราออกเดินสำรวจเมืองเริ่มต้นด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้า เด็กที่โรงแรมทำเครื่องหมายที่แผนที่ไว้ให้ เราจะปั่นจักรยานก็ได้ แต่คิดว่าลองเดินดูก็ดีเหมือนกัน จะแวะร้านไหนก็สะดวก ไม่ต้องพกพาสายยูไว้ล๊อครถหรือเป็นกังวลว่ามันจะหาย แต่ด้วยความหิวเราลองเดินต่อไปอีกนิดก็เห็นตลาดสดขายอาหารก่อน เขาวางเป็นแผงเหมือนบ้านเราเลย เซริฟในถาดหลุม ถาดหนึ่ง 12 หยวน ประหยัดดี อิ่มด้วย เป็นครั้งแรกที่ได้กินอาหารท่ีมีรสชาติขึ้นมาหน่อย หลังจากที่ปั่นอยู่ในประเทศสถานทั้งหลาย แต่จากที่กินแต่เนื้อแกะก็กลายมาเป็นผักเสียส่วนใหญ่ ซึ่งก็ดีแต่หามีพลังงานให้เราไม่ เราจึงต้องเสริมด้วยขนมปังแทน หลังจากนั้นเราเดินไปดูของใช้ไฟฟ้า รูปที่ถ่ายในกล้อง GoPro และกล้องถ่ายรูปธรรมดามันเต็มไปหมด โดยเฉพาะในคอมฯ แทบจะเซฟอะไรไม่ได้เลย เราไปซื้อฮาร์ดิสค์ที่ใหญ่หน่อย ในจีนถนนดีแล้ว ไม่ต้องห่วงว่ามันจะสั่นคลอนจนเสียเหมือนเมื่อคราวที่เราปั่นไปเที่ยวในกลุ่มประเทศบอลติค กระเด้งกระดอนจนคอมฯ เจ๊งไปเลย นี่ทำให้เราตัดสินใจซื้อแมคบุ๊คแอร์ เพราะมีหน่วยความจำเป็นการ์ด SD ให้เขย่ายังงัยก็ไม่เสีย และอีกอย่างที่ซื้อมาคือตัวชาร์ตเจอร์ที่สามารถชาร์ตจีพีเอสและมือถือได้ อืม…พอเดินเข้าตัวตึกนี้ เรานึกถึงพันธ์ทิพย์พลาซ่าขึ้นมาทันใด เหมือนมาก ไม่รู้ใครลอกเลียนแบบใคร แต่พันธ์ทิพย์บ้านเราใหญ่กว่า แต่อาจจะเป็นเพราะกรุงเทพฯก็ใหญ่กว่าตัชก้าด้วยมั้ง 🙂

ถาดหลุมที่เราส่วนใหญ่จะได้กินที่โรงแรียน แต่เขาขายกันที่นี่ด้วย อร่อยดีแต่เย็นไปหน่อย ข้าวแกงบ้านเราคิดว่ายังร้อนกว่านี้นะ

ถาดหลุมที่เราส่วนใหญ่จะได้กินที่โรงแรียน แต่เขาขายกันที่นี่ด้วย อร่อยดีแต่เย็นไปหน่อย ข้าวแกงบ้านเราคิดว่ายังร้อนกว่านี้นะ

บรรยากาศภายในตลาด ทุกอย่างมันดูน่ากินน่าชิมไปหมด

บรรยากาศภายในตลาด ทุกอย่างมันดูน่ากินน่าชิมไปหมด

ตัวเมืองคัชก้า มีมอเตอร์ไซค์แบบใช้ไฟฟ้า ไม่มีเสียงไม่มีมลพิษ ไม่มีกลิ่นก็ดี แต่ไม่มีเสียงนี่สิ บางทีตกใจเพราะมันเงียบมากเลย

ตัวเมืองคัชก้า มีมอเตอร์ไซค์แบบใช้ไฟฟ้า ไม่มีเสียงไม่มีมลพิษ ไม่มีกลิ่นก็ดี แต่ไม่มีเสียงนี่สิ บางทีตกใจเพราะมันมาเงียบมากเลย

เราพักอยู่ที่คัชก้า 3 คืน 4 วัน ทำธุระกันเสียส่วนใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่เราไม่ได้ไปร้านจักรยานก่อนเป็นอันดับแรก เลยคิดว่าจะปั่นไปที่ร้านก่อนออกจากโรงแรม ร้านจักรยานนั่นเป็นร้านไจแอนท์แต่ขอโทษค่ะ ไม่มีสูบให้ซื้อ งงมาก สูบเราเป็นอะไรไม่รู้ คือสูบได้แต่ต้องสูบกันนานหน่อย เลยอยากมีสำรองไว้อีกอัน ไม่มีก็ไม่มี วันต่อมาเราเดินไปอีกทางหนึ่งไปหาซื้อซิม เพื่อนชาวสโลเวเนียว่า ที่จีนมีคลื่นสัญญาณเพียบแม้แต่ในทะเลทราย (จริงของเขา) ควรจะซื้อซิมของที่นี่ เราลองหาซื้อดู แต่มันใช้เวลานานมาก เพราะปัญหาเรื่องภาษา และข้อตกลงของเขามันช่างยุ่งยาก ขนาดใช้อากู๋มาช่วยแปลแล้วยังไม่เกิดผลเลย เลยซื้อมาทั้งอย่างนั้น เดี๋ยวเดือนหน้าค่อยว่ากันใหม่ เขียนคุยกันจนมึนหัว เราปั่นไปกินข้าวร้านเดิม พวกเขาตกใจเพราะไม่เคยเห็นเราใส่เต็มยศขนาดนั้น คือชุดปั่นและจักรยานพร้อมสัมภาระมากมาย กินเสร็จก็บ๊ายบายกันไป กว่าจะออกจากคัชก้าได้เกือบเย็น ปั่นได้ประมาณ 50 กม. มาถึงเมือง ๆ หนึ่งชื่ออาร์ทุค Artux ความเหนื่อยยังคงคุกคามอยู่ เพราะเวลาที่จีนแตกต่างจากคีร์ซกิสถาน 2 ชม. อยู่คัชก้านอนตีสองตีสามแทบทุกคืน เหมือนร่างกายยังปรับเวลาไม่ได้ เราตัดสินใจพักที่เมืองนี้ เพราะกว่าจะถึงที่เป็นเมืองขึ้นมาหน่อยก็ถัดไปอีกประมาณ 3 วัน

วิวระหว่างทางคัชก้าและอาร์ทุค

วิวระหว่างทางคัชก้าและอาร์ทุค

SONY DSC

พยายามหาทางขึ้นไฮเวย์ใหม่ โชคดีที่ตัวเตี้ย ไม่อย่างนั้นคงได้คลานเข่ากับจักรยานลอดมา ;-)

พยายามหาทางขึ้นไฮเวย์ใหม่ โชคดีที่ตัวเตี้ย ไม่อย่างนั้นคงได้คลานเข่ากับจักรยานลอดมา 😉

นั่งพักกันที่ข้างถนนนั่นแหละ ไม่มีทั้งรถและคน จะทำธุระอะไรก็แถวนั้นเช่นกัน :-) :-)

นั่งพักกันที่ข้างถนนนั่นแหละ ไม่มีทั้งรถและคน จะทำธุระอะไรก็แถวนั้นเช่นกัน 🙂 🙂

หรือที่นี่ รถบดถนนมีฟังก์ชั่นอีกอย่างสำหรับเราคือที่บังลมด้วย

หรือที่นี่ รถบดถนนมีฟังก์ชั่นอีกอย่างสำหรับเราคือที่บังลมด้วย

ถึงเมืองอาร์ทุคไม่ดึกมากนัก เราพอมีเวลาเดินไปหาของกิน และเลยเดินหลงเข้ามาที่ร้านขายของท้องถิ่นเขา ไม่น่าคิดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาที่นี่กัน สังเกตุว่าที่จีนเราจะเรียกว่าเมือง เพราะแต่ละที่มีคนอยู่กันเยอะมาก ไม่เหมือนหมู่บ้านที่ประเทศสถาน ๆ ทั้งหลาย แต่ในเขตมณฑลซินเจียงนี้ จะมีแขกมุสิมเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่ก่อน ก่อนที่จีนจะเข้ามายึดเป็นของตัวเองเมื่อน้านนานมาแล้ว หลังจากนั้นก็สั่งให้คนจีนย้ายเข้ามาอยู่ในแถบนี้ เขียนมากไม่ได้เดี๋ยวถูกบล๊อคด้วย ลองเข้าไปหาข้อมูลต่อทางอินเตอร์เนตนะค่ะ เพราะฉนั้นร้านค้าส่วนใหญ่จะเป็นมุสลิม หาร้านอาหารจีนทางแถบนี้ไม่ค่อยได้ เราเลยได้กินแต่รัคมาน (Lagman) ที่กิน ๆ ประจำที่ประเทศสถานทั้งหลาย แต่ก็ดีอย่างหนึ่งคือเรายังสามารถใช้ภาษารัสเซียต่ออีกนิดนึง ชาวมุสลิมที่นี่เรียกว่ากลุ่ม “อูกูร” เขาถูกบังคับให้เรียนภาษาจีน แต่คนจีนไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ของเขา แต่เวชยังไม่เห็นความแตกแยกระห่างชนชาตินะ แต่เห็นตำรวจทหารเยอะในแถบนี้ แต่ที่แน่ ๆ คือคนอูกูรจะทักทายหรือทักทายตอบเราแต่คนจีนเอาแต่จ้อง ขนาดโบกไม้โบกมือให้ยังไม่มีอะไรตอบสนองมาเลย มีครั้งหนึ่งแวะกินข้าว ไม่ใช่ รัคมานนั่นแหละ กินกันมาหลายวัยหลายมื้อล่ะ พอเราจอดจักรยานปุ๊บทุกคนหันมามอง ไม่ใช่ หันมาจ้องเสียมากกว่า อืม..มีคนมาจ้องเรา เราก็ผงกหัวทักทาย โน..ไม่มีใครพูดอะไรและยังคงจ้องอยู่อย่างนั้น นี่เขาไม่มีมารยาทตามมาตรฐานของเราหรือเขาช่างไร้ความรู้สึก งง…

มีครั้งหนึ่งโจคิมยางแตก เผอิญมีสามล้อวิ่งมา เขาจอดและถามและพยายามบอกเราว่าจะขับรถไปส่งในเมืองถ้าซ่อมไม่ได้ นึกเปรียบเทียบว่าถ้าเป็นคนจีนเขาคงขับเลยไป :)

มีครั้งหนึ่งโจคิมยางแตก เผอิญมีสามล้อของคนท้องถิ่นวิ่งมา เขาจอดและถามและพยายามบอกเราว่าจะขับรถไปส่งในเมืองถ้าซ่อมไม่ได้ นึกเปรียบเทียบว่าถ้าเป็นคนจีนเขาคงขับเลยไป 🙂

ส่วนหนึ่งของตลาดในเมืองอาร์ทุค ดูร่มรื่นดี

ส่วนหนึ่งของตลาดในเมืองอาร์ทุค ดูร่มรื่นดี

2-3 วันที่ปั่นในจีนมีแค่ไม่กี่คนที่โบกมือให้ มีรถยนต์คันนึงส่งเสียงวู้ ๆ มา ส่วนใหญ่บีบแตรแต่ไม่รู้ความหมายว่าไร เราไปเกะกะเขาหรือเขาทักทายเรา. อืม.. หาทราบไม่ ถ้าเป็นที่ประเทศสถานทั้งหลายเรายกและโบกมือทักทายกันจนเมื่อย ที่จีนแรก ๆ เราก็ทักทาย หลัง ๆ เริ่มเบื่อเหมือนกันนะ ทักแล้วไม่ทักตอบอ่ะ แต่เริ่มสังเกตุว่าบางครั้งเขาแค่ยิ้มให้ เคยลองตะโกน “หนีห่าว” แต่ยังไม่ได้ผล เฮ้อ.. ไม่ทักก็ไม่ทัก ร้านขายของส่วนใหญ่เป็นของชาวอูกูร เราเดินเข้าไป แล้วทักเขา “ซาลัม” เขาดูจะชอบใจนะ เห็นหน้าเราจีนแต่ดันทักแบบนั้นมั้ง 🙂

วันที่สองที่ปั่นออกจากอาร์ทุคมันช่างน่าเบื่อ ลมมาเฉียง ๆ ด้านหน้า ทำความเร็วได้บ้าง แต่ไม่ได้อย่างที่คิด ยิ่งปั่นบนทางไฮเวย์เก่ายิ่งน่าเบื่อ รถบรรทุกรถยนต์ขับกันแบบเอาเป็นเอาตายมาก แซงได้เป็นแซง มีครั้งหนึ่งแซงซ้อนกันมาเลย สามคันเรียงหน้ากระดาน เราต้องปั่นออกไปชิดเกือบตกถนน เฮ่อ… คืนนี้เป็นคืนแรกที่กางเต้นท์ที่จีน เมื่อคืนฝนตกลมแรง เรานึกว่าฝนตกก็ดีจะได้ล้างเต้นท์ไปในตัว แต่มันยิ่งเลอะเป็นจุด ๆ ทั่วเต้นท์เลย ตื่นเช้ามาไม่อยากออกนอกเต้นท์เลย เพราะฝนตกยังคงตกและลมยังแรงอยู่ ลากจักรยานกันออกมาแล้วออกเดินทางต่อ เส้นทางไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แค่อากาศที่แย่ลมแรงและฝนตก แต่ก็ยังปั่นกันได้ตั้ง 120 กม. คิดดูถ้าตามลมคงไปได้อีกหลายสิบโล 😉

แคมป์ที่หนึ่ง ในทะเลทรายทาคลามาคันของจีน ทั้งลมทั้งฝนเลย ตอนแรกร้อนมาก คิดว่าคืนนี้ไม่ได้นอนแน่ แต่พอตกดึก ฝนเริ่มตกอากาศเริ่มดีขึ้น

แคมป์ที่หนึ่ง ในทะเลทรายทาคลามาคันของจีน ทั้งลมทั้งฝนเลย ตอนแรกร้อนมาก คิดว่าคืนนี้ไม่ได้นอนแน่ แต่พอตกดึก ฝนเริ่มตกอากาศเริ่มดีขึ้น

แคมป์ที่สองใกล้มืดเลยรีบไปหน่อย ที่จีนตอนนี้ทางตะวันตก พระอาทิตย์ตกเวลาสี่ทุ่ม เราแวะกินอาหารเย็นกันก่อนและปั่นต่อมาหาที่กางเต้นท์ ที่แรกเป็นทรายไม่สามารถตอกยึดเต้นได้ เลยรีบมองหาที่ใหม่ ขยับเข้าไปด้านในอีกหน่อย เป็นทรายเหมือนกันแต่แห้งแพ๊คกันแน่นกว่าที่แรก

แคมป์ที่สองใกล้มืดเลยรีบไปหน่อย ที่จีนตอนนี้ทางตะวันตก พระอาทิตย์ตกเวลาสี่ทุ่ม เราแวะกินอาหารเย็นกันก่อนและปั่นต่อมาหาที่กางเต้นท์ ที่แรกเป็นทรายไม่สามารถตอกยึดเต้นได้ เลยรีบมองหาที่ใหม่ ขยับเข้าไปด้านในอีกหน่อย เป็นทรายเหมือนกันแต่แห้งแพ๊คกันแน่นกว่าที่แรก

จากคัชก้าไปเมืองอัคสุ (Aksu) ที่เราจอดอยู่่นี่ระยะทางประมาณ 460 กม. เราวัดระยะทางจากเส้นทางไฮเวย์เก่า หรือเป็นเพราะเราปั่นอยู่บนทางหลวงที่ยังไม่เปิดให้ใช้บริการ มันเลยไกลกว่าหรือปล่าไม่รู้สิ เช้าวันที่สามเราพยายามหาทางขึ้นไปปั่นที่ไฮเวย์ใหม่ เพราะรู้สึกว่าไม่ต้องมากังวลกับจราจรที่คับคั่ง เพราะไฮเวย์ที่เราหาทางขึ้นไปนั้นยังไม่เปิดให้ใช้ จากที่ตั้งแคมป์ที่สองเราปั่นบนนไฮเวย์มาตลอดทางจนเกือบถึงเมืองนี้ “อัคสุ” ถนนดี อากาศเป็นใจ เราปั่นกัน 200 โลนิด ๆ คิดว่าปั่นอีกนิดจะได้พักที่โรงแรมท่ีดีหน่อย ดีกว่านอนเต้นท์คืนแล้วค่อยนอนโรงแรม แต่ก็เหนื่อยเอาการเหมือนกัน เลยพักกันที่นี่ 2 คืน

ระหว่างทางเห็นน้ำใส ๆ อยู่ข้างทางเลยเอากางเกงจักรยานไปขยี้น้ำ ขยี้เอาเหงื่อเค็ม ๆ ออกหน่อยก็ยังดี

ระหว่างทางเห็นน้ำใส ๆ อยู่ข้างทางเลยเอากางเกงจักรยานไปขยี้น้ำ ขยี้เอาเหงื่อเค็ม ๆ ออกหน่อยก็ยังดี

ขอรูปคู่หน่อย ;-)

ขอรูปคู่หน่อย 😉