Kirklareli – Cerkezköy – Istanbul
เข้าประเทศตุรกีทางบกนี่ค่อนข้างใช้เวลาเพราะการที่เราเข้ามาจากประเทศที่ยากจนกว่าทำให้ทางการตุรกีต้องตรวจละเอียด มีทั้งตำรวจและศุลกากรของทั้งสองประเทศ เราได้ตราประทับในพาสปอร์ตด้วย
หลังจากผ่านเข้ามาแล้ว ลมเริ่มพัดแรงเราตั้งหน้าตั้งตาปั่นอย่างเดียว แผนที่ที่เราซื้อนั้นไม่่ค่อยละเอียดเท่าไหร่ ถึงทางแยกเวลาที่ไม่มีป้ายก็ต้องถามกันหน่อย และทุกครั้งที่หยุดถามหรือหยุดดูแผนที่ก็จะมีคนเดินเข้ามาถามหรือมาช่วยและชวนดื่มชา
ถึงบ้านสมาชิกวอร์มเชาเวอร์เราทานมื้อเย็นกัน ได้คุยกับ ”เซลชุ๊ค” สมาชิกที่เราติดต่อไว้เขาแนะนำสถานที่หลายแห่งระหว่างทางก่อนถึงอิสตันบูล ตอนเช้าเขาต้องไปทำงานแต่เช้า เราเลยอยู่คุยกับพ่อแม่เขาที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ดีสำหรับเรา เพราะเราได้เรียนรู้้ภาษาตุรกีจากอาหารและสิ่งของบนโต๊ะ จนกระทั่งตัวเลขและจราจร พ่อแม่ของเซลชุ๊คน่ารักมาก พยายามคุยกับเรา เราใช้กูเกิ้ลช่วยเรื่องภาพ 😉
จริง ๆ เราตั้งใจใช้เส้นทางเล็ก ๆ เข้าเมืองอิสตันบูล แต่ลมไม่เป็นใจเลยเลี้ยวเข้าเส้นทางใหญ่ ซึ่งไหล่ทางกว้างทำให้เราปั่นสบายหน่อย ถนนช่วงนี้รถเริ่มเยอะขึ้น ทั้งรถบัสรถทัวร์และรถใหญ่สิบล้อ เราปั่นมาถึงทางแยกเข้าเมืองที่เราตั้งใจว่าจะพักแรม แต่เห็นปั้มข้างหน้าซึ่งอยู่ทางที่เราจะไป เราเลยลองดิ่งไปถามเขาขอกางเต้นท์ตรงด้านหลังปั้มนั่น เขาอนุญาติเราเลยได้ชำระล้างตัวนิดหน่อย แถมเสริฟชากาแฟฟรีให้เกือบทั้งคืน และที่ปั้มนี่กูเกิ้ลก็กลับมาทำหน้าที่อีก ผลัดกันพิมพ์กับพนักงาน
เช้าวันรุ่งขึ้นเราออกกันสายนิดหนึ่ง ลมยังไม่มา แต่พอสักบ่ายเริ่มแรงขึ้น เราเลยต้องเปลี่ยนแผนเลี้ยวและปั่นเข้าเมืองทางด้านเลียบทะเลแทน ไกลนิดนึงแต่ได้ลมช่วยน่าจะดีกว่า วันนี้เราปั่นกัน 8 ชม.กว่า ๆ คิดว่าแค่ 110 กม.เข้าอิสตันบูลคงไม่น่ายาก แต่การปั่นเข้าเมืองใหญ่และเมืองนี้ก็ไม่ราบเรียบเหมือนกรุงเทพฯ ทำให้เราเหนื่อยและเครียดกับจราจรเอามาก ๆ แต่เราก็ถึงจนได้
อิสตันบูล
เราเช๊คอินที่โรงแรมที่เพื่อนชาวตุรกีช่วยจองให้ อยู่ใจกลางเมืองเดินเที่ยวได้สบาย วันแรกเราเดินเล่นไปที่ Galata bridge แหล่งที่เขายืนตกปลากันเป็นแถว ช่วงเช้าที่เราเดินผ่านเขาจะตกปลาตัวเล็ก ๆ แต่พอตกเย็นจะเป็นปลาตัวเรียว ๆ ยาว ๆ
เราเดินเที่ยวตามถนนซอกซอยตามกระแสคนไป แทบไม่ต้องเดิน เอาว่าลอยตามฝูงชนไปน่าจะดีกว่า บาร์ซาเขาเหมือนสำเพ็งประตูน้ำบ้านเราเลย เข็นกันให้จ้าละหวั่น รถเยอะแยะ ยังดีที่ไม่ค่อยมีมอเตอร์ไซค์มากมายเหมือนบ้านเรา
เดิมเคยเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกส์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสุเหร่า ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์
เราอยู่ฝั่งยุโรป 3 วัน ยังรู้สึกเที่ยวไม่ทั่วเลย แต่ไปหาเพื่อนสนุกกว่า เกอค์ฮัน เพื่อนอีกคนหนึ่งมาปั่นนำเราไปนั่งเรือข้ามฝากไปฝั่งเอเชียไปหาเพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อบูรัค ได้พบพ่อแม่และยายของเขา เป็นครอบครัวที่น่ารักมาก นั่งคุยกันอย่างมีความสุข เห็นแล้วอิจฉา 🙂 ยายของบูรัคทำอาหารแทบจะตลอดเวลา ตอนเรานั่งกินอาหารเช้า ยายก็เริ่มทำอาหารกลางวัน หลังจากกินข้าวกันเสร็จแล้ว เรานั่งคุยกัน ปรากฎว่าวัฒนธรรมของตุรกีก็มีการเรียกพี่ ป้า น้า อา เหมือนบ้านเราเลยแต่ไม่มีคำว่า “น้อง” เขาเรียกแค่ชื่อ เรื่องกิน มีอาหารหลากหลาย ร้านค้าเปิดถึงดึก ถ้าไปเดินตรงที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ ๆ ก็จะออกมาเรียกลูกค้า จราจรคับคั่ง คิดจะถอยจะกลับรถก็ทำกัน ขายอะไรขาย เคยเห็นคนหนึ่งยืนขายน้ำขวดตรงสามแยก สถานการณ์เหล่านี้ทำให้นึกถึงเมืองไทยจริง ๆ
ไปอยู่บ้านบูรัค เราได้เรียนรู้ทั้งภาษาและชื่อของอาหารรวมทั้งความแตกต่างในการปรุงด้วย หวังว่าจะได้กลับมาเยี่ยมพวกเขาอีก ตอนเย็นบูรัคไปมหาลัย เราออกไปเดินเล่นกับแม่ของบูรัคถนนด้านทะเลมาร์มะรา เป็นทะเลที่เชื่อมระหว่างทะเลดำกับทะเลอีเจียน ซึ่งแยกตุรกีเป็นฝั่งยุโรปกับฝั่งเอเชีย
เย็นอีกวันหนึ่งบูรัคขับรถพาเราออกไปนั่งดื่มชาชมวิว จุดขายของเขาส่วนหนึ่งอยู่ท่ีชา แซนวิช และวิวมองข้ามไปฝั่งยุโรป เขาเอาเบาะมาให้รองนั่งและพิงหลังเป็นแถวยาวเลย
แล้วก็มาถึงเวลาที่เราต้องเดินทางต่อ พบกันก็ต้องมีวันลาจาก จะกลับมาเยี่ยมอีกแน่นอน
อืม..สงสัยว่าเราจะไม่สามารถละทิ้งแสงสีและความซิวิไลซ์ไปง่าย ๆ เพราะปั่นออกจากอิสตันบูลได้ประมาณ 10 กม.กว่า ๆ จักรยานเวชก็เริ่มมีเสียงอีก แต่ไม่ใช่เสียงเดิมนะสิ โจคิมลองโยกขาจานดูก็ปรากฎว่ามันหลวม เราสันนิษฐานว่าน่าจะเป็น เฮ้อ..เรียกไม่ถูกเหมือนกัน น่าจะเป็นกะโหลกจานหรืองัยนี่แหละ
ตอนที่เราเจอปัญหานี้ เริ่มเย็นแล้วสักสี่โมงเย็น เราอยู่ที่ปั้มน้ำมันแต่ที่นั่นไม่มีเน๊ต แต่เขาให้เรายืมไอแพดส่วนตัวส่งข้อความติดต่อเพื่อนทั้งสองคนและเจ้าของร้านจักรยานแต่เราไม่สามารถยึดไอแพดเขานาน ถ้าจะโทรศัพท์ไปหาเขาก็แพงมาก เราเลยพยายามปั่นไปหาปั้มที่มีอินเตอร์เนต แล้วก็ได้เจอผู้หญิงคนหนึ่งเขาช่วยเราคุยกับพนักงาน เวชคุยกับเดนิซ ซึ่งเป็นชื่อของเขา เดนิซว่าเขาเคยเห็นร้านจักรยานแถวบ้านเขา เขาแนะนำให้เราปั่นตามเขาไป ตอนแรกเราไม่ค่อยอยากเพราะกลัวว่าร้านที่เขาพูดถึงคงขายจักรยานแม่บ้านหรือจักรยานเฮลโหลคิตตี้ แล้วที่แย่กว่านั้นคือพอเราไปถึงร้านนั้นปิดและย้ายไปแล้วอีกตังหาก เดนิซขอโทษเรายกใหญ่ที่ไม่ได้รู้ว่าร้านปิดไปแล้ว แต่เขาก็เสนอว่าให้เราไปใช้อินเตอร์เนตบ้านเขา ปั่นไปอีกนิดนึง ตอนนั้นหกโมงเย็นแล้ว เดนิซเสนอให้เราพักบ้านเขาแล้วค่อยคิดการณ์ต่อไป ใจดีมากวันนั้นเขาอยู่บ้านคนเดียว เพราะลูกสาวตัวน้อยอยู่กับพ่อซึ่งแยกทางกัน
หกโมงเย็นแล้วนี่เนอะ ท้องไส้เริ่มหิวโหย เราก็เลยเข้าไปทำอาหารกันทำไปคุยไป เดนิซเริ่มสนใจทั้งทริปและผู้คนที่เราไปอยู่ด้วย เราคุยให้เขาฟังเกี่ยวกับ Warmshowers.org กับ Couchsurfing.org ให้เขาฟังว่าสมาชิกติดต่อกันอย่างไร เขาก็สนใจแต่กลับถามว่า ”แล้วไม่น่ากลัวหรือ” เวชก็ไม่กล้าพูดว่า ”แล้วที่เธอชวนพวกฉันมาพักที่บ้านนี่ไม่กลัวรึงัย??? 😉
วันรุ่งขึ้นเดนิซออกไปทำงาน ทิ้งพวกเราไว้ที่บ้านแถมหาของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้อีกด้วย นี่คือความน่ารักชอบช่วยเหลือผู้อื่นของคนตุรกีที่เคยได้ยินได้ฟังได้อ่านมา แสดงว่ามันจริงอย่างที่คนอื่นเคยประสบมาสิเนอะ หลังจากตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ปิดประตูล๊อคบ้านให้เดนิซ เราก็ปั่นกลับเข้าเมืองอีกครั้งหนึ่ง ปั่นตรงไปที่ร้านให้เขาซ่อมอีกที ที่จริงให้เขาล้างและเช๊คละเอียดก่อนหน้านี้แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่เห็นปัญหาตรงนี้ ชักสงสัยว่ามันล้างจักรยานให้เราแค่นั้นหรือเปล่าหว่า ฮึ่มมมม…
เราเกรงใจบูรัคและครอบครัวเขาก็เลยต้องขอเกือบจะต้องขอร้อง ขอเขาไปอยู่โรงแรมแทน และวันนี้เอง ฮ่าๆๆ เป็นวันแรกที่ผมสั้น ๆ ของข้าพเจ้าได้บำรุงด้วยครีมนวดผม 🙂 หลังจากที่ส่วนใหญ่จะได้สระด้วยสบู่เหลวหรือดีหน่อยก็แชมพู แถมมีคอตตอนบัดใช้ด้วย เสียดายที่โรงแรมเต็มคืนนี้ ไม่อย่างนั้นจะขออยู่ต่ออีกวัน ชักติดใจและติดความขี้เกียจ
ตุรกี => มุ่งสู่ Sile ต่อไป Agva เลียบทะเลดำ
เมื่อวานได้ซ่อมจักรยานและพักผ่อนด้วยเพราะเวชเริ่มรู้สึกเจ็บคอ ตอนเช้าที่บ้านเดนิซกินยาเลย ธรรมดาจะปล่อยให้มันหายเอง แต่มาเที่ยวเนอะ ต้องรีบหาย หลังจากเช๊คอินที่โรงแรมแล้ว เอากระเป๋าวางไว้ที่ห้อง เราปั่นไปร้านจักรยาน หาอยู่่ตั้งนาน คนเยอะมากด้วยเพราะเขามีแข่งฟุตบอลกัน
พอหาเจอ เวชเข็นจักรยานเข้าไปในร้าน ส่วนโจคิมจอดอยู่หน้าร้าน เพราะในร้านไม่มีที่จอด เขาก็เลยคิดว่าล๊อคแล้วจอดไว้ข้างนอกก็ได้ แต่พอกดล๊อคดังคลิ๊ก ก็นึกขึ้นได้ว่า เฮ้ย..ไม่ได้เอากุญแจมาด้วย ปวดหมองเลย คิดไปคิดมา จะนั่งรถเมล์กลับไปเอากุญแจหรือจะตัดล๊อคทิ้งแล้วซื้อใหม่ ชักขี้เกียจนั่งรถไป ๆ มา ๆ เลยคิดว่าจะตัดล๊อคทิ้งแต่ก่อนที่จะทำอะไร พอดีเจ้าของร้านซึ่งเราเริ่มสนิทกับเขา โทรมาและให้คำแนะนำว่าเอาจักรยานของที่ร้านเขาปั่นกลับไปโรงแรมแล้วพรุ่งนี้ค่อยปั่นมาเปลี่ยน เฮ้อ..โล่งอกไป ล๊อคที่มีอยู่ก็ดีกว่าที่เขามีขาย
โรงแรมที่เราพักค่อนข้างดี มีเซาว์น่า สระว่ายน้ำ ที่ออกกำลังกาย แต่ก็ไม่มีเวลาลงไปใช้ เพราะกว่าจะกลับจากร้านจักรยานก็เย็นมาก เฮ้อ..เสียดาย
เช้าวันรุ่งขึ้นเราออกปั่นไปบนเส้นทางนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว เลยไม่ค่อยสนใจที่จะถ่ายรูปสักเท่าไหร่ อีกอย่างจราจรก็คับคั่ง อากาศเริ่มร้อนเหมือนเมืองไทย วันนี้ขึ้นเขาชันตั้ง 4 ตั้ง เมื่อยดี ประเทศตุรกีมีแต่เขา หาทางเรียบไม่ค่อยได้ ตอนที่เราปั่นขึ้นเขามาก็เห็นทะเลดำอยู่ไกล ๆ ชิเล่เป็นเมืองแรกที่ติดกับทะเลดำ ห่างจากอิสตันบูลประมาณ 70 กม. แล้วแต่ว่าอยู่ส่วนไหนของอิสตันบูลด้วย เพราะเมืองกว้าง 100 กว่ากม. ชิเล่อาจจะเปรียบเทียบกับชะอำหรือบางแสนบ้านเราที่ใกล้กรุงเทพฯ ก็ได้
เราออกสายมากเกือบบ่ายสามปั่นมาถึงชิเล่ก็มืดพอดี ห้องพักแพงเพราะเป็นเมืองตากอากาศของคนตุรกี และใกล้อิสตันบูลด้วยมั้ง แต่ก็ยังพอหาได้ ราคาแพงพอ ๆ กันกับที่โปแลนด์ เราเคยชินกับท่ีโรมาเนียและบัลแกเรียที่ราคาถูกพอใช้ เกือบได้กางเต้นท์ที่ชายหาดแล้ว ปั่นไปเจอวัยรุ่นสองคนพอดี ถามเขาว่ามีเกสเฮาส์อยู่แถวนี้มั้ย เขาบอกมีแต่ต้องขึ้นเขาไป เอ่อ..มันชันอยู่เหมือนกันเน้อ ถ้าปั่นขึ้นมีหวังยกล้อแน่ เลยเข็นกันขึ้นไป วัยรุ่นสองคนนั้นเขาคงสงสารเรา เลยเดินย้อนลงมาช่วยกันดันและเข็น ต่างคนต่างหอบ แถมยังช่วยถามคนแถวนั้นให้ช่วยติดต่อหาเจ้าของเกสเฮาส์ด้วย ใจดีจริง ๆ ที่แรกเต็มแต่เจ้าของพาเดินไปหาอีกที่หนึ่ง ก็ได้ที่นั่น คนที่นี่เขาพูดภาษาเยอรมันกันด้วยนะ ท่าทางคนเยอรมันจะมาเที่ยวกันเยอะ เพราะเห็นทางออกจากเมืองมีคำว่าลาก่อนเป็นภาษาเยอรมันด้วย ทุกทีไม่เคยเห็น
เราออกไปหาอาหารมื้อเย็นกัน และช้อปสำหรับทำกินตอนเช้า ได้ฝึกภาษา 😉 นิดหน่อย
เช้าวันรุ่งขึ้นเราต้มไข่ในห้องกินกันตอนเช้า เสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อ อากาศตอนเช้าค่อนข้างเย็น แต่พอโดนแดดก็อุ่น ๆ กำลังสบาย เจ้าของห้องพักแนะนำว่าอย่าไปทางเรียบทะเลดำ เพราะทางขึ้นลงเขาเพียบ เวชคิดไปเองว่าอีกทางหนึ่งเรียบละสิ หาใช่ไม่ ก็ขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนกันแต่อาจจะไม่โหดเท่าก็ได้มั้ง เส้นทางนี้สวยมาก ทางขึ้นเขาชัน ชมวิว มีร้านอาหารร้านกาแฟเป็นระยะ ๆ เหมือนเมืองไทยอีกแล้ว นี่ถ้ามีเวลาและงบประมาณแบบไม่อั้นละก็อยากจะแวะไปเสียทุกร้านเลย เพราะทุกที่มีเอกลักษณ์ของเขาเอง
วันนี้เราคุยกันว่าจะปั่นไม่ไกล กะว่าจะหยุดที่เมืองถัดไปคือ อัควา พอมาถึงอีก 500 เมตรก่อนจะเข้าเมืองเราแวะปั้ม ลองถามหาแผนที่ ที่เราถามทุกปั้มมาตลอดทาง แต่ก็ไม่มีขายและก็ยังไม่มีอีกเช่นเคย เวชลองถามเขาเรื่องกางเต้นท์ที่เมืองนี้ แต่คนขายของเขาไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ พอดีมีีชายหนุ่มนักบิดมอเตอร์ไซค์เข้ามาซื้อเครื่องดื่ม เขาเข้ามาคุยด้วยและอธิบายว่าเราควรจะไปทางไหน ปรากฎว่า ไอ่น้องนี้เคยไปทำงานกับบริษัทยาที่เดนมาร์ก เคยไปเรียนที่อังกฤษ น้องชายยังเรียนอยู่ที่นั่น เราคุยกันอยู่นาน เขาแนะนำเราเรื่องอาหารว่าควรจะสั่งอะไรกินถ้าไปถึงเมืองนั้นเมืองนี้
เราคิดว่าน่าจะหาที่พักที่เมืองนี้ได้ (ถูก) ก็เลยชะล่าใจ ปรากฎอยู่ไม่ไหว รู้สึกแพงไปหน่อย เลยปั่นย้อนออกจากเมืองแวะปั้มเดิม เติมน้ำล้างหน้า ซื้ออาหารและเครื่องดื่มและปั่นต่ออีกนิดหน่อยห่างเมืองออกไป หาที่กางเต้นท์แทน เราหาที่ได้ไม่ยาก เพราะเริ่มออกมาชานเมือง ได้กางบนเนินสูง วิวสุดยอด กำลังกางเต้นท์อยู่ เห็นนกกระสาบินกลับรังเป็นฝูงใหญ่ เราอยู่สูงอยู่แล้วเลยรู้สึกว่ามันบินอยู่บนหัวเรานี่เอง