Azerbajdzjan

ประเทศที่ 9 อัซเซอร์ไบจาน

ประเทศที่ 9 อัซเซอร์ไบจาน

เวลาแตกต่างอีกหนึ่งชั่วโมง ทำให้เรามีเวลาปั่นอีกหน่อยก่อนที่ฟ้าจะมืด แต่ตาก็มอง ๆ หาที่พักไปเรื่อย เห็นอยู่หลายที่ แต่ความที่ยังไม่ถึงเวลาจึงปั่นต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งขวดน้ำที่เสียบไว้ท้ายรถมันหล่น พอเราลงไปเก็บก็เห็นถนนเล็ก ๆ เข้าไปในทุ่งหญ้า เลยเดินเข้าไปสำรวจกัน ดูแล้วน่าจะโอเคเพราะมีต้นไม้ล้อมรอบคนที่เดินผ่านไปมาจะมองไม่เห็น สุดยอด ตรงนี้แหละที่พักเราคืนนี้ จัดการชำระร่างกายด้วยน้ำที่เตรียมมา เพราะแมลงและยุงเยอะมากกัดเจ็บด้วย เรารีบเตรียมอาหาร สปาเก็ตตี้เช่นเคย เพราะง่ายที่สุด พอใกล้ค่ำถึงจะตั้งเต้นท์ขึ้น ก่อนนอนได้ยินเสียงหมาหอนด้วย ไม่รู้ว่าเป็นหมาจิ้งจอกหรือเปล่าเพราะตามทางเห็นนอนแบน ๆ มา 3-4 ตัว คืนนี้ฟ้าใสได้นอนดูดาวเต็มท้องฟ้าเลย

ที่กางเต้นท์ที่แรกในประเทศอัซเซอร์ไบจาน เสียดายแมลงเยอะไปหน่อย

ที่กางเต้นท์ที่แรกในประเทศอัซเซอร์ไบจาน เสียดายแมลงเยอะไปหน่อย

อัซเซอร์ไบจาน => จาก Balakan (บาลาคัน) Qabala (คาบาลา) Samaxi (ชามาเคอะ) เข้า Baku (บาคุ)

เมื่อวานเราคุยกันว่าจะออกกันแต่เช้า สุดท้ายก็ไม่เป็นผลเพราะเวลาที่แตกต่าง เช่นเมื่อคืนที่จอร์เจีย 5 ทุ่มแต่ที่อัซเซอร์ไบจานเที่ยงคืน หุหุ .. ยังหาข้ออ้างไปเรื่อย 🙂 🙂 เวชเป็นคนตื่นยาก ขี้เซาต่อให้นอนเร็วแค่ไหนก็ไม่สามารถตื่นเช้าได้ 🙂 เฮ่อ…แต่ต้องพยายามล่ะ เพราะได้ข่าวจากเพื่อนสองคนชาวอังกฤษ “นิคกะทอม” เขาเริ่มปั่นตั้งกะตี 4:30 เอ่อ…ตอนทำงานยังไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้เลยนะเนี่ย คงต้องพยายามทำให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นได้ถูกย่างในทะเลทรายแน่ ความศิวิไลซ์จุดสุดท้ายคงจะเป็นที่บาคุนี่แหละ พอข้ามไปเอเชียกลางเมื่อใด เมื่อนั้นข้าพเจ้าจะแปลงร่างเป็นแบทวู้แม่น ปิดน้าปิดตาปิดคอให้หมดเลย

ยังมีข้ออ้างอีกข้อหนึ่ง 🙂 คือตรงที่เรากางเต้นท์เป็นเหมือนที่ที่เขาเอาวัวมาปล่อยให้เล็มหญ้ากัน วัวเดินกันเป็นแถวยาวเข้ามาเลย และก็เห็นหนุ่มน้อยคนหนึ่งขี่ม้าตามหลังวัวเกือบร้อยตัวเข้ามาแล้วก็ปิดรั้วไม้ง่าย ๆ ของเขา เราก็รีบทักทายเขาก่อน ตอนแรกกลัวว่าเขาจะต่อว่าเราว่ามากางเต้นท์ในที่ของเขาโดยไม่ขออนุญาติ แต่กลายเป็นว่าเขากลัวว่าเราจะถูกงูมาเล่นงานเสียมากกว่า เพราะงูชุม เราก็เห็นด้วย เพราะเห็นงูแผ่นเยอะเหมือนกันตามถนนที่ปั่นผ่านมา ดูเขาสนใจเต้นท์และเครื่องไม้เครื่องมือของเรามาก ขอลองนั่งหน้าเต้นท์ ขอถ่ายรูปกับเรากับจักรยาน จนกระทั่งเราเก็บทุกอย่างและพร้อมที่จะออกเดินทาง เขาก็ควบม้ากลับมาหาเราอีกทีและชวนไปดื่มชาที่บ้านเขาที่อยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 2-300 เมตร

โจคิมกับหนุ่มน้อย ”รัทซุ” เจ้าของวัวเกือบร้อยตัวนั่น

โจคิมกับหนุ่มน้อย ”รัทซุ” เจ้าของวัวเกือบร้อยตัวนั่น

หลานสองคนของรัทซุ

หลานสองคนของรัทซุ

ปั่นออกมาจากร่มเงาปุ๊บก็ร้อนทันทีทันใด นี่แหละโทษฐานไม่ยอมตื่นเช้า ถนนบางช่วงแทบจะไม่มีต้นไม้ เป็นที่โล่ง ๆ ถ้าตรงไหนมีต้นไม้ที่นั่นมีคนจองหรือนอนพักอยู่ก่อนแล้ว เราเลือถนนเส้นนี้เพราะไม่ค่อยมีจราจรมากมายนัก แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะหาปั้มยาก คือถ้ามีก็อยากจะใช้บริการห้องน้ำที่นั่น แต่จริง ๆ แล้วขออนุญาติต้นไม้ใบหญ้าดีกว่าเยอะเลย เพราะห้องน้ำตามปั้มนั้นสกปรกและบางทีเหม็นมาก ดีเหมือนกันนะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนเพราะข้ามไปทางเอเชียกลางคงได้เจอที่แย่กว่านี้แน่นอน นิคและทอมบอกเล่าว่าให้ฟังว่าในหมู่บ้านที่ใหญ่หน่อยที่คาซัคสถานเขาขายน้ำลิตรละ 1 USD แต่ระหว่างทางอาจจะลิตรละ 3 USD เฮ้อ…แล้วในหนึ่งอาทิตย์ที่วางแผนว่าจะปั่นข้ามทะเลทรายช่วงนั้นข้าพเจ้าจะได้อาบน้ำสักกี่ครั้ง คงได้รู้กันต่อไป เพราะตัวเองก็อยากรู้เหมือนกัน 😉 อากาศร้อนมาก ร้อนจนขนลุกวูบ ๆ มองไปข้างหน้าเห็นต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง แต่ก็ไม่มีที่ว่างเสียแล้ว คิดดู แข็งใจปั่นไปอีกหน่อยแต่ไม่ไหวแล้ว ร้อนมาก เห็นข้างหน้ามีติดป้ายร้านกาแฟและเห็นรถบรรทุกจอดอยู่สามคัน ตอนแรกคิดว่าจะเข้าไปที่ร้าน แต่เห็นหนึ่งจำนวนคนขับรถบรรทุกกวักมือเรียก เกรงใจเขาเพราะเขาอุตส่าห์กวักมือเรียก เลยปั่นเข้าไปหาตั้งใจว่าจะขอพักตรงที่ร่ม ๆ เท่านั้นเอง แต่ปรากฎว่าพวกเขาเป็นคนตุรกีขับจากอิสตันบูลและกำลังมุ่งหน้าไปบาคุเลยต้องงัดสมุดโน๊ตเล่มน้อยที่จดคำศัพท์ออกมาใช้อีกครั้งหนึ่ง ตอนนั้นประมาณบ่ายแก่ ๆ แล้ว เขากำลังพักเพื่อกินอาหารกลางวันกัน ชวนเราให้กินด้วยกัน เราปฏิเสธเป็นพิธี ดีนะที่เข้าคะยั้นคะยอให้กินด้วยกันไม่อย่างนั้นคงได้อดกัน 😉 ขนาดได้เจอกันที่ต่างบ้านต่างเมืองคนตุรกีก็ยังเป็นคนตุรกีที่มีน้ำใจล้นเหลือ ประทับใจจริง ๆ

เจ้าภาพชาวตุรกี กำลังจกปลากินกัน ขนมปังจากเมืองทรับซอน รสชาติสลัดที่คุ้นเคย ปิดท้ายด้วยชา โอ..สุดยอด

เจ้าภาพชาวตุรกี กำลังจกปลากินกัน ขนมปังจากเมืองทรับซอน รสชาติสลัดที่คุ้นเคย ปิดท้ายด้วยชา โอ..สุดยอด

ที่พักอีกจุดหนึ่งที่คนขายมะเขือเทศให้กินโดยที่ไม่ยอมรับเงิน ตรงไหนมีที่ร่มตรงนั้นคือที่ชุมนุมเล็ก ๆ ของผู้คนที่สัญจรไปมา

ที่พักอีกจุดหนึ่งที่คนขายมะเขือเทศให้กินโดยที่ไม่ยอมรับเงิน ตรงไหนมีที่ร่มตรงนั้นคือที่ชุมนุมเล็ก ๆ ของผู้คนที่สัญจรไปมา

ที่อัซเซอร์ไบจานนี่เขาตั้งป้ายได้ใกล้ร้านจริง ๆ ไม่เหมือนที่อื่น ๆ ที่ปั่นผ่านมา เราเห็นป้ายบอกว่ามีร้านอาหาร ด้านล่างของป้ายบอกว่าอีก 30 เมตร คือเห็นป้ายปุ๊บก็ได้เวลาเลี้ยวเข้าร้านเลย บางครั้งมีความรู้สึกว่าเขาคิดราคาตามใจชอบ แต่อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เราอยากจะรู้ก่อนด้วยแหละว่าเราต้องจ่ายเท่าไหร่ เลยถามราคาก่อนที่จะสั่งอาหาร ถามไม่พอบางทีมีการต่อด้วย ร้านแรกพอทานเรียบร้อยแล้วเจ้าของร้านยังปัดเศษทิ้งให้อีก เขาคงสงสารเราปั่นมาร้อน ๆ แต่ไม่รู้ว่าในใจเขาจะคิดอะไรอื่นหรือเปล่า แต่เราไม่อยากรู้ 😉 ความที่เราไม่มีแผนที่เลยรู้สึกเหมือนเราปั่นเรื่อยเปื่อย แล้วเราก็เห็นทางรถไฟ จากแผนที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราสามารถดูจากหนังสือท่องเที่ยว Lonely Planet ที่ซื้อและเซฟไว้ในไอแพด ก็เห็นว่าเราปั่นอ้อมอีกแล้ว ขึ้นเขาแบบเนิบ ๆ ยาว ๆ แต่ลงแค่แป๊บเดียว

เนินเล็กเนินน้อยนี่มีมากมายเหลือเกิน ตรงนี้เรากำลังปั่นข้ามไปอีกเมืองหนึ่งตามที่เคยมีคนแนะนำว่าทางสวย สวยจริงแต่ค่อนข้างโหด ดีนะที่เข่าดีขึ้นแล้ว ;-)

เนินเล็กเนินน้อยนี่มีมากมายเหลือเกิน ตรงนี้เรากำลังปั่นข้ามไปอีกเมืองหนึ่งตามที่เคยมีคนแนะนำว่าทางสวย สวยจริงแต่ค่อนข้างโหด ดีนะที่เข่าดีขึ้นแล้ว 😉

พอลงมาถึงทางเรียบเราลองเข้าไปเช๊คกับปั้มน้ำมัน ตอนนั้นหกโมงกว่าแล้ว ลองถามถึงอินเตอร์เนตเขาบอกว่ามี โห..ดีใจแทบตาย หนึ่งจะได้เช๊คแผนที่และเส้นทางต่อไป สองจะได้ส่งข้อความถึงเพื่อน ๆ ที่ปั่นตามมา สามจะได้ติดต่อกับสมาคมจักรยานที่บาคุ เวลาผ่านไป หลังจากที่เช๊คเส้นทางข้างหน้าแล้ว ปรากฎว่าเป็นทางชันนิด ๆ 2 ยอดกว่าจะถึงเมืองที่เราตั้งใจจะไปให้ถึงวันนี้ ทุ่มหนึ่งแล้ว จอดดีกว่า ลองถามที่ปั้มเรื่องกางเต้นท์ เขาว่าถ้าเราปั่นไปอีกนิดนึง จะมีที่กางเต้นท์ริมน้ำ สามารถลงไปเล่นน้ำได้ โห..น่าสน แต่จริง ๆ อยากอยู่ที่ปั้มเพราะเขามีเน๊ต 😉 เขาชี้ทางให้แล้วเลยปั่นไปดู ปรากฎว่าสวยน่านอนอย่างที่เขาว่า แต่วันนั้นเป็นวันศุกร์คนเยอะมาก และคิดว่ากว่าเขาจะกลับบ้านกันคงจะดึก เลยปั่นออกมา ก็มีร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามกวักมือเรียกเรา เลยเข้าไปขอเขากางเต้นท์ที่สนามหญ้าหลังร้านเขาเสียเลย

กางเต้นท์หลังร้านกาแฟ เราพยายามไม่คุยเรื่องเงินกับเขา บางทีเขาชอบถามว่าจักรยานเราราคาเท่าไหร่ เราบอกแค่ว่ามันเก่าสิบปีแล้ว ไม่ได้โกหกนะ จริง ๆ

กางเต้นท์หลังร้านกาแฟ เราพยายามไม่คุยเรื่องเงินกับเขา บางทีเขาชอบถามว่าจักรยานเราราคาเท่าไหร่ เราบอกแค่ว่ามันเก่าสิบปีแล้ว ไม่ได้โกหกนะ จริง ๆ

วิวระหว่างทาง เทือกเขาคอเคซัสที่ยังมีมาให้ชมอยู่แทบตลอดทาง

วิวระหว่างทาง เทือกเขาคอเคซัสที่ยังมีมาให้ชมอยู่แทบตลอดทาง

ไม่ค่อยได้หยุดถ่ายภาพกันสักเท่าไหร่แต่ตรงนี้อดไม่ได้ มองไปทางเทือกเขานี่แหละเสียส่วนใหญ่

ไม่ค่อยได้หยุดถ่ายภาพกันสักเท่าไหร่แต่ตรงนี้อดไม่ได้ มองไปทางเทือกเขานี่แหละเสียส่วนใหญ่

ระหว่างทางที่ปั่นออกจากตรงนี้ไป เราปั่นผ่านป่าไม้ใบที่ดูร่มรื่นและคิดว่าตรงจุดนั้นเป็นเหมือนอุทยานอะไรสักอย่าง มีร้านค้ามากมายโชคดีที่ไม่ค่อยมีรถมากนัก

ระหว่างทางที่ปั่นออกจากตรงนี้ไป เราปั่นผ่านป่าไม้ใบที่ดูร่มรื่นและคิดว่าตรงจุดนั้นเป็นเหมือนอุทยานอะไรสักอย่าง มีร้านค้ามากมายโชคดีที่ไม่ค่อยมีรถมากนัก

ไม่รู้ว่าคนอัซเซอร์ไบจานได้ยินที่เราบ่นว่าเขาหรือเปล่าว่าไม่น่ารักเท่าคนตุรกี ชอบกดแตรใส่ หลายวันมานี้เจอแต่คนน่ารักใจดี ลดราคาค่าอาหาร ซื้อมะเขือเทศแต่ไม่ยอมเอาตังค์ แถมยังให้มาอีกสองลูกก่อนที่จะออกจากที่พักกินอาหารเที่ยงกัน ไปนั่งพักซื้อโค้กมาดื่ม เราเหนื่อยกันมากเลยไม่ค่อยอยากสมาคมกับชาวบ้านมากนัก สักพักคุณลุงเจ้าของร้านเอาผลไม้มาให้กินเป็นถุงเลย ระหว่างทางที่จะปั่นเข้าบาคุร้อนมาก เราเห็นร้านขายแตงโมข้างทาง จอด รอตั้งนานกว่าจะมีโอกาสได้ข้ามไปที่ร้าน เขาคงเห็นความตั้งใจของเราที่จะกินแตงโมของเขา ตามธรรมเนียมเราถามราคา เขาไม่บอกอะไรแต่ทำท่าว่าเดี๋ยวฉันผ่าให้กินไปนั่งเต๊อะ เอ่อ…โอเค ขอบคุณค่ะ

คุณน้าใจดีทั้งสอง เขามีสวนอยู่อีกฝากหนึ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากร้านฝั่งนี้

คุณน้าใจดีทั้งสอง เขามีสวนอยู่อีกฝากหนึ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากร้านฝั่งนี้

ภาพบรรยากาศระหว่างทางเข้าบาคุ ดูรูปอีกทียังรู้สึกร้อนเลย

ภาพบรรยากาศระหว่างทางเข้าบาคุ ดูรูปอีกทียังรู้สึกร้อนเลย

ถนนที่เห็นไกล ๆ นั่นคือเส้นทางที่เราจะปั่นเข้าบาคุ เห็นแล้วเหนื่อยใจ แต่วันนั้นเราโชคดีบางช่วงเพราะพระอาทิตย์เล่นซ่อนแอบในเมฆบ่อย ;-)

ถนนที่เห็นไกล ๆ นั่นคือเส้นทางที่เราจะปั่นเข้าบาคุ เห็นแล้วเหนื่อยใจ แต่วันนั้นเราโชคดีบางช่วงเพราะพระอาทิตย์เล่นซ่อนแอบในเมฆบ่อย 😉

อัซเซอร์ไบจาน => Baku (บาคุ) 6 วัน ขึ้นเรือไป Aktau (อัคเทา) ประเทศคาซัคสถาน

วันที่เรามาถึงบาคุ เราได้เจอนักปั่นสองคนจากเยอรมัน (ซีมอนและโทมัส) เขาจะไปประเทศอุซเบกิสถานและทาจิกิสถาน สำหรับคนสวีเดน ถ้าจะเข้าอุซเบกิสถานต้องมีจดหมายเชิญ แต่คนเยอรมันไม่ต้อง ซึ่งจดหมายนี้ต้องทำที่บริษัททางอินเตอร์เนตโดยส่งรายละเอียดไปให้เขาทางอีเมลย์ และเมื่อเสร็จแล้วเขาจะส่งมาให้เราทางอีเมลย์เช่นกัน เราไม่ได้จ่ายเพิ่มจากราคาตามปกติเลยต้องรอ 10 วันทำการ และเมื่อคำนวณเวลาดูแล้วคิดว่าน่าจะทันอยู่ เพราะเรายังทำเวลาได้ตามที่เคยวางแผนไว้

แคสเปี้ยนโฮสต์เทลที่บาคุ

แคสเปี้ยนโฮสต์เทลที่บาคุ

เข้าบาคุมาได้หลายวันละ แต่ยังไม่ได้ไปเที่ยวดูสถานที่ท่องเที่ยวของเขาเลย เพราะเราวุ่นอยู่กับการขอวีซ่า นั่งรถแท๊กซี่ รถเมลย์ไปกลับสถานฑูตไม่รู้กี่เที่ยว ไปยื่นเอกสาร ได้เบอร์บัญชีมา กลับเข้าไปในเมืองไปชำระค่าธรรมเนียมที่แบงค์ อ่า…ไม่ใช่แบงค์ไหนก็ได้นะ ต้องเป็น International Bank of Azerbaijan เท่านั้น แล้วค่อยกลับไปสถานฑูตอีกทีเพื่อประทับตราวีซ่าที่หนังสือเดินทาง แฮ่…แต่คุ้มตรงที่ว่า เราได้วีซ่าของทั้งสองประเทศภายในวันเดียวกัน เพราะทางสถานฑูตไม่ได้เก็บหนังสือเดินทางของเรา เราจึงสามารถขอวีซ่าของทั้งสองประเทศพร้อมกันได้ เท่าที่เคยอ่านในเว็บต์ต่าง ๆ เขาบอกว่าการขอวีซ่าของทั้งสองประทศนี้ค่อนข้างยุ่งยากแต่เราไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย กลับคิดว่าเขาใจดีออก โดยเฉพาะกงศุลของอุซเบกฯ ดูเป็นกันเอง แต่เห็นท่าทางความเร็วในการทำงานของเขาแล้ว มันดูเชื่องช้ามาก แต่เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากรออย่างใช้ความอดทน ส่วนสถานฑูตคาซัคสถานเขานัดเราให้ไปรับวันศุกร์ แต่เราไปวันพฤหัส 🙂 เขาจำเราได้และบอกว่า “อ้าว..ฉันบอกให้พวกเธอมาวันศุกร์ไม่ใช่รึ?” ฮี่ๆๆ เราหันหน้าเข้าหากัน “อ้าว..วันนี้ไม่ใช่วันศุกร์รึ? ถ้างั้นขอเช๊คว่าเสร็จหรือยัง?” 🙂 เขากลับเข้าไปในห้องอีกที เราได้ยินเสียงพริ้นเตอร์ รู้สึกมีความหวังขึ้นมาหน่อย หลังจากนั้น 15 นาที เขาออกมาและบอกว่ามีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย จ้าก…อะไรหรือคะ? คือเวชได้วีซ่า 3 เดือน ส่วนโจคิมได้ 1 เดือน เฮ่อ..ค่อยยังชั่วนึกไปถึงอะไร ๆ ที่แย่กว่านั้น เช่นโจคิมได้วีซ่าแต่เวชไม่ได้

หลังจากนี้ไปก็ไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไปสำหรับการขอวีซ่า

หลังจากนี้ไปก็ไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไปสำหรับการขอวีซ่า

ตอนที่ออกจากทบิลิซิ เราออกมาก่อนเพื่อน ๆ นักปั่นคนอื่น ๆ (บาเทค, ไซม่อน, มาร์โกะ) ที่เรารู้สึกสนิทด้วยตั้งแต่เจอกันที่บาทุมิเมืองท่าของจอร์เจีย เพราะเราคิดว่าเราอยากไปเรื่อย ๆ เพื่อดูอาการเข่า ไม่อยากไปถ่วงเวลาเขา แต่อภินิหารมีจริง และแปลกมาก แค่ขยับเบาะและซ่อมรางใต้เบาะ แค่นั้น เข่าที่เจ็บทุกครั้งที่ปั่นเหยียดเท้าลงก็หายเป็นปลิดทิ้ง เพราะก่อนหน้านี้ยังคิดอยู่ว่า เข่าที่เจ็บนี่จะทำให้เราเดินทางต่อได้หรือไม่??? จะทำให้แผนการเดินทางสิ้นสุดลงตรงนี้หรือ??? ตอนนี้หายดีแล้วรู้สึกปลอดโปล่งโล่งใจมาก ไชโย!!!

ปัญหาที่เข่าหายไป ต่อไปคือฟัน 🙂 จากแค่ปวดหนึบ ๆ ที่เหงือก คิดว่ากินยาแก้ปวดคงจะหาย โนๆๆ มันยังปวดหนึบ ๆ แต่ทนได้ จนกระทั่งเข้าบาคุเริ่มบวมนิด ๆ เลยเป็นกังวลเพราะถ้าปล่อยไว้และปวดมากขึ้นอาจจะหาหมอฟันในทะเลทรายยากหน่อย น่าจะไม่มีมากกว่า คงถูกถอนสด ๆ กลางตลาดแน่ 🙂 เลยรีบเข้าไปหาข้อมูลในอินเตอร์เนต และได้ความว่ามีหมอฟันอินเตอร์ในเมือง เลยโทรไปจองเวลา โชคดีที่เขามีเวลาวันนั้นตอนเย็น หลังจากได้พบหมอฟัน สรุปว่าซี่ที่เคยรักษารากฟันถูกบัคเทเลียเข้ารุมล้อม ไม่คิดว่าที่ปวดจะมาจากรากฟัน เพราะเคยรักษาแล้วไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้น เลยวางใจ ได้ยาแอนตี้ไบโอติคมากินไปก่อน เพราะไม่มีเวลารักษารากฟันตอนนี้ เอายานี้ช่วยประวิงเวลาไปก่อน หมอเขาว่าน่าจะช่วยได้ 6 -12 เดือน ถึงเมืองไทยค่อยจัดการต่อ ตอนนี้ค่อยยังชั่ว น่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะกินหมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว

มีรูปนี้ที่ถ่ายใกล้ ๆ ที่พัก คงต้องกลับมาบาคุอีกครั้งแบบนักท่องเที่ยวธรรมดา ๆ :-)

มีรูปนี้ที่ถ่ายใกล้ ๆ ที่พัก คงต้องกลับมาบาคุอีกครั้งแบบนักท่องเที่ยวธรรมดา ๆ 🙂

ตึกเปลวไฟที่โด่งดังของบาคุ

ตึกเปลวไฟที่โด่งดังของบาคุ

อยู่ที่บาคุเราเรียกแท๊กซี่กันเป็นว่าเล่น ทำให้นึกถึงบ้านเรานิด ๆ พอจะไปไหนทีก็กวักมือเรียกแท๊กซี่ที แต่รถเมล์ที่นี่ดีนะ 0.20 เคอเพ๊ก (เศษสตางค์ของเขา) ตลอดสาย ไม่ต้องมีกระเป๋ารถเมล์ ทุกคนรู้หน้าที่วางเงินให้ตรงข้าง ๆ คนขับ ออกจากที่พักไม่ค่อยรู้ว่าจะนั่งสายอะไร แต่ขากลับเราจะขึ้นสายอะไรก็ได้ ขอให้เข้ามาใกล้เมืองหน่อยแล้วถ้าไม่เดินกลับก็เรียกแท๊กซี่ต่อ บาคุช่วงเวลาเร่งรีบรถติดมาก เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาเราออกไปหาซื้อยางนอกสำรองไว้และอะไหล่อื่น ๆ อีกนิดหน่อยที่ร้านจักรยาน เพราะถ้าออกจากบาคุแล้วคงหายาก พอไปถึงที่ร้านก็เห็นว่ามีของที่มีคุณภาพทั้งนั้น และได้เจอกับหนุ่มน้อย “มัคซุด” ที่สามารถสื่อสารกันได้ เราคุยและเช๊คกับเขาหลายเรื่อง แต่เรื่องเกียร์ของโจคิมที่เราอธิบายแล้ว แต่เขานึกภาพไม่ออก เขาเลยถามว่าเราพักที่ไหน ปรากฎว่าบ้านหนุ่มน้อยของเราอยู่ห่างจากที่เราพักไม่กี่ร้อยเมตร เขาเลยอาสาจะมาดูจักรยานให้หลังเลิกงาน

ช่วงเย็นที่รอมัคซุดมา เจ้าของเกสเฮาส์ไม่ได้ข่าวอะไรจากเรือ เพราะเขาโทรไปถามให้ทุกวันที่บูธขายตั๋วเรือว่ามีเรือมั้ย มีตั๋วมั้ย แต่พวกเราสื่อสารกับเธอได้ไม่เต็มท่ี เราเลยนึกถึงหนุ่มน้อยมัคซุด ขอให้เขามาเป็นล่ามจำเป็นให้เรา ซึ่งเขาก็เต็มใจที่จะช่วยเหลือ แต่เราก็ต้องรอเขาจนกว่าเขาจะเลิกงาน วันนี้รถติดมากเพราะมีการซ้อมเดินขบวนพาเหรดทหาร เพื่อวันจริง (26 มิย.) ไม่รู้เหมือนกันว่ามันสำคัญอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ คือทำให้ชาวบ้านลำบาก เขาปิดถนนรถไม่ขยับ เราเลยลงจากแท๊กซี่เดินกลับ ตั้ง 3 กม.

หนุ่มน้อยฮีโร่ของเรา ช่วยตั้งแต่เรื่องจักรยานจนกระทั่งเราขึ้นเรือออกจากบาคุ

หนุ่มน้อยฮีโร่ของเรา ช่วยตั้งแต่เรื่องจักรยานจนกระทั่งเราขึ้นเรือออกจากบาคุ

เมื่อคืนมัคซุดมาไม่ได้เพราะติดฝนเลยขอเลื่อนเป็นวันถัดไป วันนี้เป็นวันมิดซัมเมอร์ที่สวีเดน ครอบครัวโจคิมคงฉลองกันใหญ่ และฝนก็คงจะตกที่โน่นด้วยอากาศเป็นอย่างนี้ทุกปี เช้าวันต่อมาเราไปทำธุระกัน พอกลับมาถึงที่พักเพื่อน ๆ ได้ข้อมูลใหม่ว่าเรือจะเข้าท่าคืนนี้ตอนสองทุ่ม พอดีกับที่มัคซุดมาดูจักรยานให้ เลยได้เขาช่วยเป็นสะพานภาษา สรุปว่าเรือเข้าจริงแต่จะออกเมื่อไหร่ไม่มีใครให้คำตอบได้ เพราะแล้วแต่ว่าเรือจะเต็มหรือจะโหลดรถโหลดของเสร็จเมื่อไหร่ เพราะเรือลำนี้จริง ๆ เป็นเรือบรรทุกสินค้า รับผู้โดยสารได้ไม่มาก เราไม่สามารถนั่งรอที่เกสต์เฮาส์เพราะไม่มีท่ี เจ้าของเขาโทรและจองตั๋วให้เราไว้แล้ว 7 คน เป็นนักปั่นทั้งหมด มี ไทย, สวีเดน, โปแลนด์, สโลเวเนีย, นิวซีแลนด์และเยอรมัน 2 คน นานาชาติจริง ๆ เที่ยงเราต้องเช๊คเอาท์ ทุกคนเลยวุ่นจัดการกับสัมภาระของตัวเอง เพราะที่โฮสต์เทลเขามีคนมาอยู่ต่อจากเรา มัคซุดเป็นล่ามช่วยแปลตั้งแต่เรื่องเรือ ตั๋ว เช๊คเอาท์ แต่จะไปนั่งรอเรือที่ไหนกันล่ะ ไปที่ท่าเรือเลยก็น่าเบื่อ หนุ่มน้อยมัคซุดเสนอให้เราไปนั่งในสวนใกล้ ๆ เงียบสงบจากจราจรและไม่มีผู้คนพลุกพล่านเท่าไหร่ เป็นคำแนะนำที่ดีมาก พอคุยกันไปคุยกันมา ได้รู้ว่าเขาแค่มาทำงานช่วงซัมเมอร์ระหว่างมหาลัยปิดเทอมภาคฤดูร้อน เราโชคดีที่ไปเจอเขาที่ร้านวันนั้น จากนั้นเขาก็กลับไปที่ร้านทำงานต่อ เรานั่งเล่นนอนเล่นในสวนนั้น จนกระทั่งมีทีวีช่องหนึ่งมาทำข่าวท้องถิ่น เขาเลยขอสัมภาษณ์โจคิมและถ่ายรูปพร้อมจักรยาน

สวนสาธารณะที่มัคซุดแนะนำให้เราไปนั่งรอเรือ เรานั่งเล่นนอนเล่นอยู่ตรงนี้จนเกือบหกโมงเย็น

สวนสาธารณะที่มัคซุดแนะนำให้เราไปนั่งรอเรือ เรานั่งเล่นนอนเล่นอยู่ตรงนี้จนเกือบหกโมงเย็น

เราคิดว่าถ้ามัคซุดมาช่วยเรื่องภาษาน่าจะดี เพราะไม่มีใครในกลุ่มที่สามารถสื่อสารภาษาอัซเซอร์ฯ หรือรัสเซียได้ เลยลองส่งข้อความไปถามมัคซุดว่าเขาจะว่างตามเราไปที่ท่าเรือหรือเปล่า? หลังจากนั้นเราปั่นไปที่ท่าเรือกัน พอปั่นไปถึงทางเข้ามีทหารยืนอยู่และกั้นไม่ให้เราเข้าไป กำลังจะเดินเข้าไปคุยกับทหารก็หันมาเห็นมัคซุดพอดี น่ารักมากอุตส่าห์ตามมาช่วย แล้วเราก็ปั่นเป็นขบวนตามมัคซุดเข้าไปในส่วนของท่าเรือ

สหายทั้งเจ็ด มีเราเตี้ยที่สุดและเหมือนทุกครั้งคือเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม :-)

สหายทั้งเจ็ด มีเราเตี้ยที่สุดและเหมือนทุกครั้งคือเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม 🙂

หลังจากที่ได้ข้อมูลเรื่องเวลาซื้อตั๋วและร่ำลากับหนุ่มน้อยมัคซุดตรงจุดที่รอเรือ เราก็นั่งรอกันไป เรือที่เราจะนั่งไปนี่เป็นเรือบรรทุกสินค้าไม่ใช่เรือโดยสาร เพราะฉนั้นมันจะออกจากท่าก็ต่อเมื่อขนทุกอย่างและเต็มจริง ๆ เราเอาอาหารที่ซื้อตุนไว้มากินกันเป็นอาหารเย็น เพราะได้ข่าวมาว่าบนเรือไม่มีอะไรให้กินและตามจริงแล้วจะใช้เวลาประมาณ 18 ชม.จากบาคุไปอัคเทา แต่ไม่มีใครสามารถเดาได้ว่าเรือจะได้ออกหรือเข้าท่าเมื่อไหร่ และเมื่อไหร่ที่ทางการของคาซัคสถานจะปล่อยให้เรือเข้าท่า และถ้าท่าเรือไม่ว่าง เราก็ต้องลอยอยู่กลางทะเลจนกว่าจะได้สัญญาณจากทางคาซัคฯ นั่นคือเราต้องเตรียมอาหารและน้ำอย่างน้อยสำหรับ 2 วัน เริ่มแบกน้ำกันเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยละนะ

เราโชคดีตรงที่ว่าคืนนั้นมีกลุ่มคนเยอรมันที่สามารถพูดภาษารัสเซียได้ หนึ่งในนั้นชื่อ Ed (เอ็ด) คอยช่วยเราด้านข้อมูลและคอยเป็นล่ามให้เราแทนมัคซุด ก่อนหน้านั้นมัคซุดว่าบูธขายตั๋วจะเปิดตอนสองทุ่ม พอนาฬิกาตีสองทุ่มปุ๊บเราเดินไปที่บูธนั้น ยัง ยังไม่เปิดค่ะ เอ็ดเลยจัดการโทรไปถามใครก็ไม่รู้้ที่เขารู้จัก กว่าเราจะได้ซื้อตั๋วก็ตอนแปดโมงเช้าของอีกวันหนึ่ง ได้ตั๋วแล้วไม่ใช่ว่าจะได้ขึ้นเรือเลยนะ โน่น…. รอไปก่อน เพราะอะไรสักอย่างไม่สามารถทราบได้ และประมาณเที่ยงวัน เขาก็เรียกให้เราไปที่กองตรวจเพื่อเช๊คหนังสือเดินทาง เราก็ตื่นเต้นเพราะเรามีหนังสือเดินทาง 2 เล่มเพราะเราส่งอีกเล่มหนึ่งไปขอวีซ่าเข้าจีนที่สวีเดน แต่ตรงนี้ไม่มีปัญหา เขาแค่แสตมป์เราออกจากอัซเซอร์ไบจานเท่านั้น แต่ก็ขอดูอีกเล่มด้วย

ตรงที่เรารอเรือกันเป็นโถงใหญ่ ๆ มีม้านั่งรอบ ๆ ด้านใน พวกเรานักปั่น 7 คน นักบิดมอเตอร์ไซค์ 5 คนชาวเยอรมัน และนักเดิน(ทาง) 1 คนชาวฝรั่งเศส พอดึกได้เวลานอนเราหาที่นอนรอ แต่ละคนก็หามุมของตัวเอง หลายคนถูกยุงกัด แต่เราไม่โดนช่างเป็นเรื่องน่าประหลาด เพราะธรรมดาจะโดนกัดอยู่คนเดียว

จอดจักรยานรอกันเป็นแถวยาว

จอดจักรยานรอกันเป็นแถวยาว

รู้สึกตื่นเต้นพอสมควรพอได้ขึ้นเรือหลังจากที่รออย่างไม่กำหนดแน่นอน บ่ายสองของวันศุกร์เราได้ขึ้นเรือจริง ๆ แต่กว่าเรือจะออกก็ห้าโมงเย็น ในที่สุดเราก็ได้ข้ามและเดินทางต่อไป ความตื่นเต้นของเราเกิดขึ้นปุ๊บก็หมดลงปั๊บหลังจากที่เรารู้ว่าคนขายตั๋วเรือจองที่ให้เรา แต่มีผู้โดยสารมากกว่าห้องพัก ระหว่างที่รอพวกเรารู้สึกเหนื่อย อาจจะเป็นเพราะช่วงที่เราเรือนั้น บรรยากาศค่อนข้างกดดันและต้องลุ้นกันตลอดเวลาว่าเมื่อไหร่คนขายตั๋วจะมา แล้วเราจะได้ไปเมื่อไหร่ ได้ขึ้นเรือแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใกล้ประเทศคาซัคสถาน เพราะขึ้นมาแล้วก็ยังต้องรออยู่ตรงนั้น อย่างว่าไม่มีหมายกำหนดการ 🙁

ดูหน้าแต่ละคน ระรื่นหลังจากได้ตั๋วอยู่ในมือ

ดูหน้าแต่ละคน ระรื่นหลังจากได้ตั๋วอยู่ในมือ

บ๊ายบายอัซเซอร์ไบจาน

บ๊ายบายอัซเซอร์ไบจาน

เรื่องห้องพักเพื่อนใหม่ของเรา ”เอ๊ด” จัดการเป็นล่ามให้เรา โดยเดินไปคุยกับกัปตันเรือ เขาสามารถหาให้ได้แค่ 1 ห้องสำหรับ 2 คน เพื่อน ๆ ในแก้งส์เลยยกให้เราสองคนไปนอน ตอนแรกก็ปฏิเสธ แต่คิดอีกทีก็เป็นการดีสำหรับทุกคน ห้องโถงใหญ่นั่นจะได้มีที่มากขึ้น พวกเราจะได้มีห้องน้ำห้องอาบน้ำส่วนตัว ย้ายไป ห้องที่กัปตันให้เราไปอยู่ จริง ๆ เป็นของลูกเรือคนหนึ่ง รู้สึกไม่ค่อยดีที่ไปแย่งที่นอนเขา แต่ในเมื่อเราจ่ายตังค์แล้ว ความเกรงใจเลยน้อยลง พวกเราถูกชาร์ตมากกว่ากลุ่มของเอ๊ดตั้ง 10 USD

บริษัทเรือที่เรานั่งมานี่มีเรืออยู่สองลำ ลำหนึ่งเก่าอีกลำหนึ่งใหม่แต่ที่เรานั่งมาด้วยเป็นเรือเก่า แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเก่าสักเท่าไหร่ เราเริ่มกินอาหารที่เราตุนกันมา แต่อีกสักพักหนึ่งเอ๊ดเดินมาบอกเราว่าเขาจะเสริฟอาหารเย็นเราตอนสามทุ่ม ว้าว… อันนี้ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน เซอร์ไพรส์ มีเสริฟซุปก่อนและหลังจากนั้นเป็นมักโรนีกับไก่หนึ่งชิ้น สรุปว่ารวมอาหารทุกมื้อ รอดตาย ไม่ต้องกินแต่ขนมปังกับแยมที่เตรียมกันมา

หลังจากผ่านตม.และตรวจหนังสือเดินทาง เราก็เอาจักรยานขึ้นมาจอดและเอากระเป๋าทุกใบขึ้นไปบนเรือ

หลังจากผ่านตม.และตรวจหนังสือเดินทาง เราก็เอาจักรยานขึ้นมาจอดและเอากระเป๋าทุกใบขึ้นไปบนเรือ

เราขึ้นเรือวันเสาร์บ่ายจนกระทั่งบ่ายของวันจันทร์เราสามารถมองเห็นประเทศคาซัคฯจากทะเลแคสเปี้ยน เราก็คิดว่าอีกไม่นานน่าจะได้ขึ้นฝั่งเสียที แต่..กัปตันปล่อยสมอเรือและดับเครื่อง ทำไม??? สักพักหนึ่งเอ็ดเดินมาบอกเราว่าท่าเรือไม่ว่างและเราอาจจะต้องรอจนกระทั่งสี่ทุ่ม นั่นก็ดึกเกินถ้าเราเริ่มปั่นออกจากท่าเรือ เลยบอกเอ็ดให้เขาไปขออนุญาติกัปตันให้พวกเราได้นอนบนเรือจนกระทั่งวันรุ่งขึ้นจะได้หรือเปล่า? หลังจากที่รอให้กัปตันวิทยุไปถาม ก็เป็นอันตกลงว่าเขาจะเอาเรือเข้าท่าวันพรุ่งนี้เช้าแทน ระหว่างที่อยู่บนเรือนั่น ค่อนข้างน่าเบื่อ เรือไม่ใหญ่มาก มีแค่สองชั้น ห้องน้ำสาธารณะมี 1 ห้อง ห้องอาบน้ำมี 2 ห้อง ต่อมาห้องน้ำสาธารณะเต็ม กดน้ำไม่ได้ พวกเราส่วนใหญ่ก็ไปใช้ห้องน้ำที่ห้องพักของเรา และหลังจากนั้นไม่นาน มันก็เต็มด้วย ทีนี้เต็มทุกห้อง ไม่สามารถใช้ห้องน้ำที่ไหนได้ เขาบอกว่ามีใครในกลุ่มของเราทิ้งกระดาษทิชชูลงในโถส้วมทำให้ระบบของเขาเสีย เอ.. ก็เห็นมันกลับมาทำงานได้อยู่นี่นาหลังจากที่เขาสตาร์ตเครื่องยนต์อีกครั้งหนึ่ง เราเลยต้องอดทนกันหรือไม่อย่างนั้นก็ต้องทำธุระของตัวเองซ้ำกับของคนอื่น อึ๋ย…

หกโมงเช้ามีคนมาปลุกให้เตรียมตัว เราแพ๊คและกำลังจะเอากระเป๋าโหลดบนจักรยานก็มีคนมาบอกว่าอาจจะต้องรออีกสัก 2-3 ชม.เพราะเจ้าหน้าที่ทางคาซัคฯ เปลี่ยนเวร เวร!!! สรุปเราใช้เวลานั่งเรือข้ามทะเลจากบาคุไปอัคเทาระยะทาง 450 กม.แต่ใช้เวลา 44 ชม.เป็นการรอคอยที่น่าเบื่อ ถ้าเป็นเรือโดยสารอาจจะมีกิจกรรมอะไรอย่างอื่นให้ทำ แต่ลำนี้ไม่มีอะไรนอกจากต้องรังสรรค์กันเอาเอง ก็ดีเหมือนกัน

หามุมถ่ายรูปเล่นกัน

หามุมถ่ายรูปเล่นกัน