จอร์เจีย – บาทุมิ
เวลาผ่านเข้าแต่ละประเทศ เราจะปั่นจักรยานเข้าทางที่รถยนต์บุคคลเขาขับกัน แต่ที่จอร์เจียนี่เขาให้เราเข้าไปทางที่คนจะเดินกัน มันไม่มีคนเนอะ เราเลยปั่นจักรยานช้า ๆ เข้าไป หลังจากที่ได้ประทับตราและผ่านด่านของจอร์เจียเข้ามาแล้วก็เห็นความแตกต่างว่าถนนในจอร์เจียแคบกว่าที่ตุรกีเยอะมาก เป็นธรรมดาเพราะตุรกีเจริญกว่าเยอะ ปั่นเข้ามาได้หน่อยก็เห็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งสมัยโบราณ เสียดายที่เขาปิดพอดี เลยปั่นต่อไปบาทุมิ เราปั่นตรงไปที่กโลบุส โฮสเทล ตามที่คุณสว่างเคยส่งลิ้งค์มาให้ คุยกันผ่านอินเตอร์เนตมาตั้งนานในที่สุดก็ได้พบกัน เรานั่งสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลข้อคิดเห็นกันเกือบสองวันเต็ม เสียดายที่เรามาช้าไปหน่อยเพราะคุณสว่างจะเดินทางกลับไปทิบลิซิ แต่ก่อนแยกย้ายกันไป เราไปทานอาหารจอร์เจียกัน ได้รสชาติมากและอร่อยกว่าธรรมดาในเมื่อได้เพื่อนคุยสนุกเต็มไปด้วยเนื้อหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับเราในเส้นทางข้างหน้า และหวังว่าวันข้างหน้าเราจะได้ปั่นกับคุณสว่างไม่เส้นทางใดก็เส้นทางหนึ่งละนะ
ที่จอร์เจียนี่เราไม่ต้องขอวีซ่า แต่หลังจากประเทศนี้ไปเรื่องวีซ่าจะเป็นหัวข้อหลักที่ทำให้เราปวดหัว ต้องนั่งคิดนั่งวางแผนโดยเฉพาะวีซ่าเข้าจีน แทบจะทุกคนที่เดินทางด้วยจักรยานต้องแสร้งทำจองตั๋วเครื่องบิน ห้องพักโรงแรมเพื่อให้ได้วีซ่า หลังจากได้วีซ่าก็จะยกเลิกทุกอย่างที่จองไว้ เมื่อวันก่อนเราเพิ่งได้วีซ่าของประเทศอัซเซอร์ไบจาน สะดวกมากเพราะที่นี่เขาไม่ต้องการเอกสารอะไรมาก นอกจากแบบฟอร์มก็มีสำเนาพาสปอร์ตและรูปถ่ายตามปกติ
หลังจากคุณสว่างออกเดินทางกลับทิบลิซิแล้ว เราก็วุ่นอยู่กับการกรอกแบบฟอร์มขอวีซ่าเข้าจีน ช่างน่าปวดหัว แต่หลังจากที่เรากรอกและส่งพาสปอร์ตไปแล้ว รู้สึกโล่งไปนิด นิดนึงเท่านั้นเอง เพราะจะให้โล่งจริง ๆ ก็ตอนที่ได้วีซ่าอยู่ในมือนั่นแหละ
เราไปรับวีซ่าของอัซเซอร์ไบจานแล้วก็เดินต่อไปเล่นน้ำฉลองกันที่ชายหาด ชายหาดที่นี่เป็นหินก้อนค่อนข้างโต วันนั้นแดดแรงมาก แต่ในน้ำยังเย็นนิด ๆ พอขึ้นจากน้ำยังไม่ทันได้นั่งลงตัวก็เกือบแห้งล่ะ ดีที่ไปเล่นน้ำกันวันนั้นเพราะวันต่อมาลมแรง เหมือนเป็นพายุ และวันนี้ฝนก็ตกและคาดว่าพรุ่งนี้ก็จะตกตอนที่เราจะปั่นไปทิบลิซิ ก็ดีที่ได้อยู่ในเมืองตอนที่มีอากาศดี ๆ
ถ้าอยากดูภาพในเมืองอีกหน่อยลองเข้าไปดูในบล๊อคโจคิมที่เป็นภาษาอังกฤษนะค่ะ
จอร์เจีย => Batumi (บาทุมิ) ปั่นขึ้นยอดเขา Goderdzi pass พักที่ Akhaltsikhe (อัคฮาลท์สิเฮอะ)
ช่วงที่อยู่ที่บาทุมิเราวุ่นอยู่กับการดำเนินการขอวีซ่าเข้าจีน ทางการจีนไม่ค่อยอยากต้อนรับนักปั่นเข้าจีนโดยเฉพาะทางด้านตะวันตก เพราะอาจจะเป็นการซอกแซกเข้าไปตามหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ได้ผลเกินไป ถ้าเราบินหรือใช้พาหนะอื่นเข้าเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจีน ไม่มีปัญหา แต่ยังงัยก็แล้วแต่ทุกคนที่ต้องการเข้าจีนต้องมีเอกสารพร้อม ว่าจะบินเข้า-ออกวันไหน อยู่โรงแรมไหน จะเดินทางไปไหน อยู่กี่วัน เรานั่งค้นหาข้อมูลที่พักที่เที่ยวของจีนอย่างละเอียดและเป็นประเทศแรกที่ศึกษาที่เที่ยวโดยที่จะไม่ไปสักทีที่ค้นกันมา คุ้ยข้อมูลจนกระทั่งอยากไปเที่ยวจริง ๆ เสียแล้วสิ 🙂 หลังจากเตรียมวีซ่าจีนก็ต่อด้วยวีซ่าอุซเบกิสถาน ซึ่งก็ต้องการเอกสารไปอีกอย่างหนึ่งก็ต้องรบกันอีกต่อไป กำลังแก้ปัญหากันอยู่ อาจจะต้องเปลี่ยนเส้นทางอีก หรืออะไรสักอย่าง ต้องคิดดูอีกที เฮ้อ… เมื่อคืนมีนักปั่นจากโปแลนด์เข้าพักที่โฮสเทลด้วย ได้คุยกันแลกเปลี่ยนอีเมลย์ เมื่อวานได้ข่าวว่าเขามีปัญหาว่าสถานฑูตอัซเซอร์ไบจานที่บาทุมิออกวีซ่าให้ไม่ได้เพราะสติ๊กเกอร์หมด
เวลาเกือบบ่ายสาม เราปั่นออกจากบาทุมิ เราเลือกเส้นทางผ่านเขาที่สูง 2025 เมตรจากระดับน้ำทะเล ป้ายบอกทางอยู่ดี ๆ ก็หายไปไหนไม่รู้ ปั่นวนหาทางอยู่นาน พอปั่นย้อนกลับมาถึงจะเห็นป้าย หาทางเจอแล้วก็เริ่มหิวหาร้านอาหารต่อ 😉 ตามร้านค้าเห็นเขาเอาป้ายรายการอาหารมาตั้งโชว์ไว้ ไม่มีอาหารและไม่ใช่ร้านอาหารด้วย งง??? ชักหิวเลยหยุดที่ปั้มแห่งหนึ่ง แต่ความที่เราไม่ได้ซื้ออะไรตุน นอกจากไข่ต้มที่ต้มไว้ตั้งแต่เมื่อวาน อืม..ดีกว่าปั่นแบบท้องว่าง ๆ เนอะ ไข่ต้มก็ยังดี ทางนี้แรก ๆ เรียบปั่นสบายร่มรื่น อาจจะเป็นเพราะยังอยู่ใกล้เมืองบาทุมิ ที่จอร์เจียจ่ายด้วยการ์ดเริ่มไม่ค่อยสะดวก บางร้านติดป้ายวีซ่ามาสเตอร์การ์ดแต่ไม่รับอยู่ดี เราเลยต้องหาตู้กดตังค์ก่อน ก่อนออกจากบาทุมิ เราถามพนักงานท่ีนั่น ว่าที่เมืองเคดา (Keda) เมืองถัดไปนี่จะมีที่พักมั้ย? เขาก็บอกว่ามี คำว่า “เกสเฮาส์” ของเขาตอนนี้ชักเริ่มสงสัยละ ว่ามันคือ “homestay” หรือเปล่า? คือเป็นอีกลักษณะหนึ่งของการท่องเที่ยว โดยที่ครอบครัวในท้องถิ่นนั้นเปิดห้องให้เช่า ส่วนใหญ่ผู้มาพักสามารถใช้เครื่องครัวและบางครั้งอาจจะได้เรียนภาษาท้องถิ่นนั้น ๆ ถ้าสนใจ เราก็ไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ คือไม่มีทั้งโรงแรมหรือเกสเฮาส์ เราไปซื้ออาหารเผื่อว่าต้องแมปิ้งคืนนี้ แต่พอเราเริ่มถามชาวบ้านเรื่องโรงแรม ทีนี้เหมือนไฟไหม้ฟางอย่างไรอย่างนั้นเลย ปากต่อปาก จนกระทั่งมีคนหนึ่งที่บ้านเขามีสมรรถภาพพอที่จะรับแขกได้ เราตามเขาไปเพราะเขาว่าที่บ้านมีอินเตอร์เนต เพราะเราต้องการเช๊คข้อมูลวีซ่าและกำลังรอคำตอบจากหลาย ๆ ทาง อ่า..เราเห็นสภาพบ้านจากภายนอก นึกไปถึงถุงนอน ว่าจะต้องเอาออกมาใช้หรือเปล่าน๊า??? แต่พอขึ้นบ้านไป อ้าว..งง บ้านหลังเดียวกันหรือเปล่าเนี่ย ด้านในเขาตกแต่งเสียอย่างดี เรียบร้อย มีห้องน้ำ น้ำอุ่น ส้วมทันสมัย ตอนนั้นก็เริ่มดึกแล้ว เราเลยนั่งทำแซนวิชไข่กินกันที่ระเบียง
เช้าวันรุ่งขึ้น เราเริ่มเดินทางต่อ ร่ำลาเจ้าของบ้านเรียบร้อย ที่น่ีถ้าพูดภาษารัสเซียได้ช่วยได้เยอะเลย เราปั่นจนกระทั่งมาถึงเมืองคุโร (Khulo) ที่คิดว่าใหญ่กว่าเมืองเคดาหน่อย มีโรงแรม แต่เรามาถึงสักเที่ยงกว่า ๆ จะจอดอยู่ตรงนี้ก็เร็วเกิน แต่ก็น่าสนใจ เพราะมีคนหนึ่งเขาเคยเป็นนักมวยปล้ำรุ่น 68 กก.ไปแข่งที่เยอรมัน เลยได้ภาษามาด้วยคุยกับโจคิมรู้เรื่อง เขาช่วยเหลือหลายอย่าง ถึงขนาดขับรถพาโจคิมไปหาร้านเนตในเมือง แต่เพราะเผอิญเขาจะกลับบ้านไปเอาเบ๊ตตกปลาด้วยก็เลยอาสาพาไป ขนาดไปกับคนท้องถิ่นยังหาร้านไม่เจอเลย กินเสร็จก็ต่อ เรามีเสบียงติดตัวมาด้วย ปั่นจนเกือบมืด แต่ก็ยังทันได้นั่งทำอาหารบนเนินสูง ชมวิว
เส้นทางนี้สวยมาก เราจอดเกือบทุก ๆ ร้อยเมตรเพื่อเก็บภาพ จนกระทั่งแผ่นความจำของทั้งในกล้องและกล้องวีดีโอ GoPro เต็มหมด ปั่นเรียบแม่น้ำทำให้รู้สึกไม่ร้อนเท่าไหร่ระหว่างทางเห็นวัวตัวหนึ่งโชคร้ายถูกหินหล่นลงมา น่าจะหล่นใส่หัวนะ มันคงน๊อคสิ้นใจทันที เราเห็นก้อนใหญ่ ใหญ่แบบยกคนเดียวไม่น่าขึ้น แล้วมันหล่นลงมาใส่หัว จะไปเหลืออะไร ไปสู่ที่ชอบ ๆ นะเจ้าวัว เราจัดแจงซื้ออาหารตุน เพราะมวยปล้ำคนนั้นบอกว่าทางที่เราจะไปนั่นไม่มีอะไรเลย รึ? ก็เลยเข้าไปซื้อ พอป่นออกจากเมืองนี้ไม่เท่าไหร่ ทางก็เริ่มแย่ และหลังจากนั้นก็กระเด้งกระดอนไปตลอดทาง
ตอนเช้าตอนที่เวชเดินกลับขึ้นไปเช๊คอีกทีตรงที่เรากางเต้นท์ว่าเราลืมอะไรทิ้งไว้หรือเปล่า? มีนักท่องเที่ยวเยอรมันมาคุยด้วย เขามากันเป็นรถตู้เป็นนักศึกษาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ คุยกันได้พักใหญ่ ๆ พวกเขาจะขึ้นไปสำรวจบนเขา เขาเคยอยู่ที่ Globus hostel และจำเราได้ แต่เราจำเขาไม่ได้เลย จากคุโรปั่นลงเขาระยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยขึ้นเรื่อย ๆ ตอนเช้ามีตนเดินผ่านตรงที่เรากางเต้นท์เยอะมาก นักเรียนและคนเลี้ยงวัว ระหว่างทางก็ยังเจอพวกเขาตลอดทาง คิดว่าน่าจะมีทางเดินตัดเขาขึ้นมา ทางขรุขระแย่มากตั้งแต่ออกจาก Khulo หลังจากที่เรากินข้าวเสร็จ กระเด้งกระดอนกันมาตลอดทาง พอมาถึงยอดที่ความสูง 2025 ที่ Goderdzi pass เจอคนเมาและมีคนมาชวนไปกินเหล้าด้วย นั่นบ่ายสองเองนะ เมากันขนาดนั้นแล้ว
ที่ยอดเขามีร้านค้าเล็ก ๆ โจคิมเดินเข้าไปเห็นว่าไม่มีอะไรที่สามารถกินเป็นอาหารกลางวันได้นอกจากไข่สดซื้อไข่ในร้านขายของชำเล็ก ๆ ตอนแรกเขาไม่ยอมขายจะต้มให้ก่อน เราเลยต้องเอากระทะออกมาให้ดู เขาถึงเข้าใจว่าเราจะทำอะไร ได้มา 4 ฟองจัดการเอาเตาสนามออกมา เต๊าะไข่หั่นไส้กรอกที่เหลือเมื่อเช้าลงไปเจียว ๆ ปรุงด้วยพริกไทยดำและเกลือแค่นี้ก็เป็นอาหารยอดเขาที่เลิศแล้ว หลังจากนั้นก็ปล่อยไหลลงอย่างเดียว แต่ทางแย่เหมือนตอนขึ้น ก็ต้องเบรคกันตลอดทาง เฮ้อ..เบรคจนเมื่อยข้อมือไปหมด ลงมาถึงเมือง Adigeni (อาดิเกนี่) ว่าจะซื้ออาหารตุน พอลองถามเรื่องที่พัก เขาก็จัดการโทรหาคนที่เขารู้จัก คือพาไปนอนบ้านเขาแบบ homestay แต่เราไม่อยากเพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง เลยปั่นต่ออีก 30 กม. ไปเมืองที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย Akhaltsikhe (อัคฮาลสิคเฮอ) เวลาตอนนั้นทุ่มกว่า ๆ แล้ว เห็นป้ายโรงแรมสำหรับรถบรรทุก ลองเข้าไปถามราคา เขาบอก 20 ลารี ต่อคน เราลองต่อเหลือ สองคน 30 ได้มั้ย? เขาก็โอเค คุยไปคุยมา เล่าให้เขาฟังว่าปั่นผ่านตุรกีมา เขาก็บอกว่าเขาเป็นคนตุรกี น่าจะเป็นเจ้าของ เลยคุยและเฮกันได้นิดหน่อย
โรงแรมที่นอนเมื่อคืนน่าจะเปรียบได้กับโรงแรมจิ้งหรีด นอนเต้นท์ยังรู้สึกสบายกว่าอีก เตียงที่นอนอยู่ดี ๆ เหมือนแผ่นกระดานมันล่องหนหายไป เลยต้องนอนเบียดกันบนเตียงขนาดเล็กสำหรับนอนคนเดียว อบอุ่นดี 🙂 พอเช๊คเอาท์ออกมาเราลองปั่นเข้าเมืองเผื่อดูว่าจะสามารถหาอินเตอร์เนตได้มั้ย ก็มาเจอโรงแรมแห่งหนึ่ง ขอเขาใช้เน๊ตพอเช๊คทุกอย่างเรียบร้อย เวลาบ่ายพอดี เลยตัดสินใจพักอยู่ตรงนี้ติดต่อและหาข้อมูลเกี่ยวกับวีซ่า เอากระเป๋าเก็บเรียบร้อย เราออกไปเดินหาของกิน เพราตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย เดิน ๆ ไปเห็นป้ายโฆษณา Rider’s Dream www.RidersDream.net เป็นร้านจักรยานนำเที่ยวทั้งทัวร์ริ่งและดาวน์ฮิล เดินเข้าไปคุยด้วยหน่อยกับเด็กคนหนึ่งเราบอกเขาว่าเราปั่นข้ามมาจากเมืองคูโร เขายกนิ้วให้ และบอกว่าเขาไม่ชอบขึ้นเขาชอบดาวน์ฮิลมากกว่า คงมีไม่กี่คนที่ชอบขึ้นเขา เราเองยังไม่ค่อยชอบแต่ได้ชมวิวจากที่สูง เห็นแล้วก็เหมือนเป็นรางวัลที่อุตส่าห์ปั่นขึ้นไป และอีกอย่างมีขึ้นก็ต้องมีลง \(^o^)/
คำถามทายเล่น ๆ กับยาสีฟัน
วันที่ 10 เมษายน เราเปิดใช้ยาสีฟันหลอดใหม่ที่บูคาเรสต์เลยคิดกันเล่น ๆ ว่าหลอดนี้มันจะหมดที่ไหน วันไหน และลองให้เพื่อน ๆ เข้ามาช่วยกันเดา และถ้าเพื่อนคนไหนที่เดาได้ใกล้เคียงมากที่สุด จะได้รับโปสการ์ดจากที่นั้น
นี่คือที่เพื่อน ๆ เดากันเข้ามา :-
Iain (เอียน) Samsun (ซัมซุน)
Heiko (ไฮคุ) Batumi (บาทุมิ)
John (จอห์น) Tbilisi (ทิบลิซิ)
Elisabeth (อลิซาเบธ) Baku (บาคุ)
Danne (ดันเน่) Middle of Caspian Sea (กลางทะเลสาปแคสเปี้ยน)
Mum we (แม่โจคิม) Aqtau (อัคเทา)
Kalle (คัลเล่อ) Beyneu (เบนิว)
Micke (มิคเกอะ) Turtkul (ทูรท์คูล)
Ryszard (ริซาด) Samarkand (ซามาร์คันด์)
Nutth (นัท) Osh (ออช)
Michael & Jodie (ไมเคิล+จูดี้) Lake Vakhsh (ทะเลสาปวัคช์)
Cousin Marie (มารี) New Dehli or 15 June (นิวเดลลี หรือ 15 มิย.)
Bootsabong (บุษบง) Uzbekistan or 77days (อุซเบฯ หรือ 77 วันคือ 14 กค)
Jesper & Emma (เยสเปอร์+เอมม่า) 17 August (17 สค.)
Hednoi (เห็ดน้อย) Thaiman… ไทยแลนด์
ดูจากแผนที่ข้างล่างนี้ บางคนเดาเป็นวันที่เราเลยไม่สามารถแปะลงไปในแผนที่ได้
เอียนและไฮคุตกรอบไปแล้ว แต่ถ้าคิดว่าอยากจะเล่นต่อหรือเพื่อนบางคนที่อยากจะอัพเดท ต้องไปทำความดีอะไรสักอย่างก่อนนะคะ
เราก็ร่วมเดาด้วยค่ะแต่ไม่ใช่ว่ายาสีฟันจะหมดเมื่อไหร่ แค่กลัวว่าพอไปถึงเมืองนั้นและยาสีฟันหมด เขาจะมีขายโปสการ์ดหรือเปล่าเท่านั้นเอง 😉 ลองดูนะค่ะว่าหลอดยาสีฟันตอนนี้ดูเป็นอย่างไร และเราต้องปั่นอีก 150 กม.ไปเมืองหลวงของจอร์เจียคือทิบลิซิ
จอร์เจีย => Akhaltsikhe (อัคฮาลซิคเฮอะ) ไป Borjomi (โบรโจมิ) แวะเที่ยว Vardzia (วาดเซีย)
คนโปแลนด์ที่เราเจอเขาที่โฮสเทสที่บาทุมิ เขาโชคไม่ดีที่สติ๊กเกอร์วีซ่าของอัซเซอร์ไบจานหมด เลยตัดสินใจปั่นไปทบิลิซิก่อนแล้วค่อยนั่งรถไฟกลับไปบาทุมิเพื่อทำวีซ่า เพราะที่นั่นไม่ต้องมีเอกสารอื่น ๆ นอกจากแบบฟอร์ม คุ้มที่จะนั่งรถไฟกลับไปทำ เราคงได้เจอเขาอีกทีที่ทบิลิซิ น่าจะเป็นการดีถ้าได้รอข้ามทะเลสาปแคสเปี้ยนพร้อมกับเขา เพราะเขาจะปั่นประมาณเส้นทางเดียวกันกับเราเลย แต่เขาจะปั่นต่อไปซิดนีย์ พอเราถึงกรุงเทพฯ ของเขาถึงแค่ครึ่งทาง 😉
หลายคนที่อยากจะเข้าเมืองหลวงเร็ว ๆ ก็จะปั่นกันบนทางหลวง แต่เราได้ยินจากคุณสว่างที่เจอกันที่บาทุมิ เขาว่าถนนจอร์เจียปั่นยากรถเยอะและไหล่ทางแทบจะไม่มี เราเลยเลือกปั่นทางเขาได้ยินเสียงนกเสียงน้ำไหล มีอารมณ์และเวลาชมวิวทิวทัศน์ข้างทาง ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง แต่ดันไปล้มเอาเข่ากระแทกกับหินนี่สิ มีช่วงที่มีน้ำตกไหลผ่าน ธรรมดาเขาจะวางท่อใต้พื้นถนนเพื่อไม่ให้มันไหลข้ามถนน แต่นี่มันทางบนเขาที่จอร์เจีย เขาคงไม่สนใจที่จะทำให้ดีมั้ง เฮ่อ…ตอนล้มไม่รู้สึกเจ็บนะ เลยไม่ได้ถู ๆ นวด ๆ มัน มารู้สึกเจ็บนิด ๆ ก็วันรุ่งขึ้น เริ่มเจ็บแปลบ ๆ นึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นทันใด เอายาหม่องมาทาถูตั้งหลายครั้งยังไม่ดีขึ้น นี่ผ่านมาตั้งหลายวันแล้วยังไม่ดีขึ้นเลย ชักเป็นห่วง แต่คิดว่ามันเป็นแผลฟกช้ำที่ถูกกดถูกตลอดเวลาเวลาเราปั่นจักรยาน ก็เลยรู้สึกเจ็บไม่หายสักที พักที่อัคฮาลซิเฮอะสองวัน และวันที่ปั่นมาโบรโจมิ (Borjomi) เริ่มเจ็บ เลยหยุดพักตั้งสามวันที่นี่ แต่ก็ยังเจ็บ ๆ อยู่ เฮ่อ…
ที่อัคฮาลซิเฮอะ เราพักที่โรงแรมจิ้งหรีดหนึ่งคืน หลังจากนั้นก็เข้าเมืองอยู่อีกคืนหนึ่ง เอ…ชักยืดยาดเอาเรื่องเหมือนกันนะพวกเรา 😉 ก็เรื่องวีซ่างัย การขอวีซ่าเข้าอุซเบกิสถานต้องใช้จดหมายเชิญ แล้วเราจะไปหาได้ที่ไหน นอกจากจะติดต่อกับบริษัทที่เข้าสามารถจัดการให้ได้คือ STANtours (นักปั่นข้ามทวีปรู้จักบริษัทนี้กันทุกคน) การจ่ายค่าจัดการเขาก็ใช้เวลา และหลังจากให้ข้อมูลเป็นตับแล้ว ชำระค่าป่วยการแล้ว ก็ต้องรอไปอีกหนึ่งอาทิตย์เพื่อทางเขาจะส่งจดหมายเชิญไปที่หน่วยอะไรสักอย่างเพื่อขออนุมัติขออนุญาติอะไรทำนองนั้น ระบบข้าราชการของเขายังติดหนึบอยู่กับระบบทางรัสเซียที่ต้องเช๊คต้องเรื่องมาก ประเทศเขาก็น่าเที่ยวแต่ไม่น่าทำให้วีซ่าเป็นเรื่องยุ่งยากเลย การขอวีซ่าเข้าอุซเบฯ ต้องระบุวันที่แน่นอนว่าจะเข้าประเทศวันไหน กรอกไว้ว่าจะเข้าวันไหน วันนั้นก็เริ่มนับเป็นวันแรกของวีซ่าที่ได้ 30 วัน ก็ปวดหัวอีกเพราะไม่รู้ว่าจะได้ขึ้นเรือแฟรี่ไปเมืองอัคเทาที่ประเทศคาซัคสถานเมื่อไหร่ แล้วข้าพเจ้าจะบอกได้อย่างไร บอกเร็วไปก็ต้องปั่นกันหน้าตั้ง บอกช้าไปก็ต้องไปแหง่วอยู่ในคาซัคสถาน แฮ่… ไหน ๆ ก็มาเกือบจะถึงหน้าประตูบ้านเขาแล้ว ก็ต้องลุยต่อ ไม่มีเวลาก็โบกรถนั่งรถไฟเอาละกัน ใจจริงก็อยากปั่น แต่ถ้ามีปัญหาที่ทำให้ปั่นไปไม่ทัน เวชคิดว่าที่ง่ายที่สุดคือโบกรถหรือนั่งรถไฟ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าตอนนั้นเราจะอยู่ใกล้จุดที่มีรถไฟผ่านหรือไม่ หรือจะมีรถให้โบกหรือเปล่านี่สิ เอา..ช่างมันเหอะ แก้ปัญหาตรงนี้ก็เจอปัญหาตรงนั้น เอาไว้เจอก่อนละกันแล้วค่อยแก้ นี่เป็นวิธีเวชแต่โจคิมไม่อ่ะ เธอจะต้องหาทาง ป้องกัน แก้ไข แทบจะทุกจุด รอบคอบจริง ๆ
เราออกมาหาอะไรกินกัน ตอนสั่งก็หิวเนอะ เอาโน่นเอานี่ เอ..กินรออีกจานหนึ่ง ทำไมไม่มาสักที ปรากฎว่าเขาไม่ได้จดในรายการ โชคดีไปเพราะเริ่มอิ่มแล้ว ตอนที่นั่งกินอยู่ก็เห็นตึกฝั่งตรงข้าม มองจากข้างนอกก็ไม่เห็นมีใครสักเท่าไหร่ ตอนแรกนึกว่าเป็นอาคารสำนักงาน แต่ก็ไม่น่าใช่ เลยลองถามเด็กในร้าน ปรากฎว่าเป็นห้องสมุดประชาชนที่ย้ายมาเมื่อสองปีที่แล้วจากที่เก่า แหม..มาตั้งอยู่ตรงหน้าก็ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย ด้านในดูสะอาดสะอ้านน่านั่ง ไม่ค่อยมีคนเข้ามาใช้ เด็ก ๆ นั่งอ่านหนังสือกัน และคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เห็นบรรณารักษณ์ทั้งหลายนั่งคุยกันอยู่ที่เคาน์เตอร์ เลยขอเข้าไปสัมภาษณ์หน่อยว่าเกี่ยวกับห้องสมุดนิดหน่อย งบเขาคงมีไม่เยอะ เพราะหนังสือหลายเล่มอาจจะถูกทิ้งไปนานแล้วถ้ามันอยู่ที่ในห้องสมุดที่สวีเดน
เราตั้งใจปั่นสั้น ๆ ไปเมืองโบรโจมิ (Borjomi) เลยออกกันสายหน่อย ถนนสายนี้ก็ยังคงสวยและน่าปั่น จราจรไม่คับคั่ง ที่ยิ่งดีคือมันลาดลงนิด ๆ ด้วย ชอบๆๆ
โบรโจมิเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีชื่อเรื่องน้ำแร่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนในประเทศเสียส่วนใหญ่ แต่ก็มีเห็นคนอิสราเอลและโปแลนด์บ้าง เราปั่นมาถึงและหยุดตรงใจกลางเมือง เคยได้อ่านจากหนังสือท่องเที่ยวว่า ‘Leo’s Homestay’ น่าอยู่ ได้เจอลีโอโดยบังเอิญที่ถนนสายนั้น เราเลยตามเขาไปที่บ้าน และได้อยู่ในอพาร์ตเมนท์ที่เขาแบ่งเป็นห้อง ๆ ให้เช่า เราได้ห้องเตียงใหญ่แต่ไม่ค่อยมีพื้นที่มากนัก แต่ถือว่าดีที่สุดแล้ว เหมือนเป็นส่วนตัวในราคา 20 ลารีต่อคนแต่ถ้าเพ่ิมอีก 5 ลารีแม่ของลีโอจะทำอาหารเช้าให้ด้วย หลังจากที่เห็นอาหารเช้าแล้ว คิดว่า 5 ลารีนี่สุดคุ้ม กินกันจนอิ่มไปถึงเย็น 😉
ตอนปั่นเข้าโบรโจมิเริ่มรู้สึกเจ็บที่เข่าทุกครั้งที่กดบันไดลง เลยอยู่ต่ออีกสองวัน วันแรกลีโอแนะนำเราให้เดินเข้าไปในสวน 2 กม.ไปชิมน้ำแร่ ลองชิมดูแล้ว รสชาติไม่ค่อยอร่อย น้ำแร่อุ่น ๆ แถมมีรสซ่า ๆ ด้วย ดีนะที่ไม่ได้เอาขวดไปด้วยอย่างที่ลีโอแนะนำ เขาว่าน้ำแร่นี่ดีสำหรับท้อง อืม…ถ่ายสะดวกหรืองัย อุ๊บส์์..ขอโทษ 😉
แล้วถ้าเดินต่อไปอีก 3 กม.ออกจากสวนเดินตามทางเข้าป่าไป จะมีสระน้ำคอนกรีตกลางแจ้ง อืม..น่าสน น้ำร้อนด้วยหรือ? อืม… เอาชุดว่ายน้ำไปด้วย ระหว่างทางที่เดินเข้าป่าไปดูร่มรื่น มีน้ำไหลผ่านตลอด
เราพักต่อวันหนึ่งลีโอมาถามว่าเราอยากจะไปเมืองถ้ำที่ห่างจากโบรโจมิไปอีก 120 กม.ด้วยมั้ย เพราะเขามีคนแคนาดาที่จะไปด้วย เราก็เดินเที่ยวในเมืองแล้ว เลยตัดสินใจไปกับเขา ได้เจอกับชัค (Chuck) เขามาที่จอร์เจียนี่เป็นครั้งแรก มาจัดสัมนาเกี่ยวกับฟาร์มไร้สารเคมีกับชาวนาที่จอร์เจีย พอเราเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับทริปของเรา เขาก็ตาโต เพราะเขาเองก็เป็นนักปั่นทัวร์ริ่งเหมือนกัน เขายังชวนให้เราปั่นไปเที่ยวบ้านเขาที่ออนโตริโอที่แคนาดาด้วย น่าสน!!!
วาดเซีย (Vardzia) ตั้งอยู่ในช่องแคบในหุบเขาที่สามารถมองเห็นพวกมองโกล คนเปอร์เซียและคนตุรกีบุกเข้ามา คนท้องถิ่นสมัยโน้นจึงขึ้นไปเจาะเขาให้เป็นถ้ำเพื่อหลบภัยจากผู้รุกราน ไม่รู้ว่าเขาอยู่กันนานแค่ไหน แต่มีการวางแผนเกี่ยวกับเรื่องน้ำ ลีโอชี้ให้ดูจากถนนถึงขีดที่เห็นไกล ๆ บนภูเขานั่นเป็นร่องที่เขาทำให้น้ำไหลมาเก็บไว้ใช้ เราดูไม่ออกว่าห้องไหนเป็นอะไร เดากันไปเรื่อย ลีโอว่ามีพระอยู่บนถ้ำนั่นด้วย 5 รูป
สงสัยว่าทริปเราไม่ควรจะเที่ยวที่ไหนโดยไม่ใช้จักรยาน เพราะทุกครั้งที่ต้องนั่งรถไป ฝนจะตก ฮึ่ม… แต่อาจจะเป็นเพราะว่าวิหารสุเมล่าที่ตุรกีและเมืองถ้ำวาดเซียที่จอร์เจียนี่อยู่บนเขาสูง อากาศคงชื้นเป็นธรรมดา ปลอบใจตัวเอง กลัวไม่ได้เที่ยว 😉 นั่นแหละพอเห็นถ้ำจากรถเท่านั้นฝนก็ตก แถมปนด้วยลูกเห็บ ลีโอต้องเอารถขับไปแอบอยู่ใต้ต้นไม้สักพัก แล้วเราก็เปียกอีกจนได้ แต่ไหน ๆ มาถึงแล้วก็ต้องขึ้น เดินขึ้นก็ได้นะ แต่ลีโอว่าถ้าจ่าย 1 ลีราสามารถนั่งรถตู้ขึ้นไปได้ แต่ขอลงมาด้วยได้มั้ย? ได้!! เดินอยู่ข้างบนชมถ้ำกัน มีแม้กระทั่งโบสถ์อยู่ข้างบน มีภาพวาดที่ยังคงสภาพดีอยู่ สวยมาก เนื่องจากฝนตกเราเลยเดินกันไม่ทั่วเท่าไหร่ เดินมารอรถตู้ แต่ไม่มาสักที ฝนตกฟ้าร้อง ไม่รู้จะไปหลบที่ไหนนอกจากในถ้ำ ชัคเขาไม่ชอบ เขากลัวฟ้าจะผ่าเพราะอยู่ในถ้ำเป็นอะไรที่ไม่ปลอดภัยมากที่สุด เราเลยต้องเดินลง เจ็บเข่าอีก เฮ่อ..
ลีโอบอกว่าทริปนี้เขาจะพาเราไปเล่นน้ำแร่ร้อน ๆ ที่นี่มีหลังคา เราเห็นเด็กเยอะแยะก็กลัวว่าคนจะเยอะ เลยบอกว่าไม่ไปละกัน ลีโอก็งงและค้านว่าเราควรจะไป เขาบอกว่าที่แห่งนี้ไม่มีในหนังสือท่องเที่ยวที่ไหน อ่ะๆๆ โอเค ไปก็ไป ไปดูก่อน ไม่ชอบใจก็ค่อยไปต่อ พอมาถึง ไม่มีใครสักคนมีแต่พวกเราสามคนที่ลงไปแช่น้ำ โห..สุดยอด ขอบใจลีโอที่่คะยั้นคะยอให้พวกเราไป น้ำน่าจะร้อนสัก 30 องศา ไม่ค่อยมีกลิ่นเหมือนไข่เน่าสักเท่าไหร่ หลังจากที่เดินชมถ้ำจนตัวเปียกฝนและเริ่มรู้สึกเย็น ๆ มาแช่น้ำตรงนี้แล้วรู้สึกสบาย ๆ ๆ
ถ้ามีใครจะมาเที่ยวโบรโจมิขอแนะนำที่โฮมสเตย์ของลีโอนะค่ะ