หลังจากที่ผ่านเข้าไทยมาได้แล้ว ก็มาเจอกับพี่เบน ที่เคยปั่นเที่ยวกันเมื่อปี 2549 นั่งรถไฟมารับและเราจะปั่นเข้ามาที่อยุธยากัน ดีใจอย่างน้อยมีพี่เบนมาสักคนก็ยังดี เราเริ่มปั่นออกจากหนองคายโดยใช้ทางหลวงเพราะเรารีบไปหาเพื่อนทางเวบต์ที่เขาติดตามความเคลื่อนไหวแบบค่อยเป็นค่อยไปของเรา เราโชคดีในเรื่องทิศทางลม อย่างที่คุณธานินทร์เคยบอกไว้ ปั่นมาทางนี้ลมมาเฉียง ๆ ด้านหลัง แดดก็ไม่ค่อยมีเพราะเมฆมาบังให้ ทำให้ปั่นกันสบาย ๆ ความเร็ว 30 – 31 กม/ชม. เล่นเอาพี่เบนเหนื่อยและงงว่านี่คือการปั่นทัวร์ริ่งรึ? ก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ ถ้าเราต้องการจะไปจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง เราจะปั่นกันเร็วโดยที่ไม่มานั่งดูชมนกชมไม้ 😉 ทำไม่บ่อยหรอกค่ะ
บ้านเพื่อนทางเวบต์ผู้นี้คือหนึ่งในกลุ่มสมาชิกของเวบต์ไซต์ที่คนสวีเดนแต่งกับคนไทย เราได้รู้จักกับ สเวน และ ฉวี ทั้งคู่น่ารักมาก พอเราปั่นมาถึงหน้าบ้านเขา ฉวีเดินมาพร้อมกับดอกกล้วยไม้ในมือให้เราทั้งสามคน ช่างคิดกันจริง ๆ หลังจากแนะนำตัวกันเรียบร้อย พวกเขาก็เชิญเราไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว เปิดฝาชีขึ้นมา ว้าววว… ผลไม้จานใหญ่ ๆ 3 – 4 จาน เหมือนรู้ใจเพราะตั้งแต่ปั่นมาคือกล้วยเท่านั้นที่ได้กิน บนโต๊ะมีสัปะรด มะละกอสุก องุ่น แตงโม ของชอบทั้งนั้นเลย กินกันได้สักพัก เราก็เตรียมตัวกันออกไปเจอกับสมาชิกคนอื่น ๆ ที่อยู่ในระแวกนั้น อุดรเป็นเมืองที่มีคนสวีเดนเยอะอยู่เหมือนกัน คืนนั้นมากันได้ 6-7 คู่ นั่งโต๊ะยาวกันเลย คุยกันทั้งคืน ดีใจที่มีคนสนใจเรื่องการเดินทางของเรา วันรุ่งขึ้น สเวน บอกว่าจะอยู่ต่อก็ได้นะ เขาจะพาเที่ยวในเมือง เอ้า..ไหน ๆ ก็มาถึงเมืองใหญ่ละ เลยอยู่ต่ออีกหนึ่งวัน สเวนก็ขับตระเวณทั่วเมืองเลย
เมื่อพบกันก็ต้องมีจากกัน เราออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง จากอุดรฯ มุ่งหน้าลงภาคกลาง เพราะเราเริ่มเบื่อเขาหลังจากที่ต้องปีนไต่อยู่บนสันเขาของลาวมาหลายวัน เลยเลือกที่จะมาทางขอนแก่นโดยเลือกเส้นทางหลวงชนบทที่มีตัวเลข 4 หลัก แต่ความที่เราไม่ได้ขยายแผนที่ให้กว้างขึ้น เลยไม่เห็นว่าจีพีเอสบอกให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอยู่บ่อย ๆ เราเลี้ยวเร็วไปหน่อย ไปโผล่ที่ถนนลูกรังเป็นดินทรายร่วน ๆ เฮ้อ..ไม่เอาแล้ว ปั่นมาพอแล้วที่คาซัคสถานและอุซเบกิสถาน ทำบ่นอีกนะ ถนนที่เป็นอย่างนี้มันไม่กี่กิโลหรอก แต่ขอบ่นไว้ก่อน 🙂 พอเราโผล่ออกมาเจอถนนดี ๆ แทบอยากจะลงไปจูปสักที 😉 แต่พอปั่นไปได้อีกสักพัก ถนนเริ่มแย่อีก เราเลยลองปั่นอ้อมไปสักนิดเพื่อหลีกเลี่ยงทางนี้ แต่ไม่พ้นทางมันพาเราลุยเข้าไปในทุ่งอ้อย สนุกสนานกันไปเลย ที่คิดว่าจะทำเวลาและระยะทางนั่นลืมไปได้เลย
พอเราหลุดออกจากเส้นทางนั้นก็มาโผล่ตรงกลางระหว่างสองหมู่บ้าน เอางัยดี??? ไม่ยากเลย เราก็เลือกทางที่เราไปในวันรุ่งขึ้น เลี้ยวขวาลงไปเล้ย คืนนี้ตั้งใจว่าคงต้องถามหรือขอชาวบ้านนอนใต้ถุนแน่ ๆ พอเราแวะซื้อเสบียงและน้ำ ลองถามแม่ค้าดู เขาบอกว่าให้ไปถามผู้ใหญ่บ้าน ถามไปถามมาได้ความว่าเป็นผู้ใหญ่บ้านผู้หญิง ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นค่ะ เก่งนะค่ะ ยืนคุยกับผู้ใหญ่บ้าน คุยไปคุยมาปรากฎว่าลูกสาวอีกคนแต่งงานไปกับคนสวีเดน โอ๊ะ..โลกช่างกลม ผู้ใหญ่บ้านจัดการสั่งลูกหลานให้เอาน้ำเย็นเอาข้าวมาเสริฟให้ มีน้ำให้อาบ ค่ำหน่อยเอาพัดลมมาให้ 2 ตัวเพราะช่วงนั้นยังร้อนอยู่ นอนกันสบายไปเลย เช้าตื่นขึ้นมา น้องยังเอากาแฟมาเสริฟให้ ก่อนออกจากบ้านผู้ใหญ่บ้านเราเลยขอถ่ายรูปเสียหน่อย เราร่วมทำบุญสร้างหอระฆังกับชาวบ้านด้วย ผู้ใหญ่บ้านแนะนำให้ไปเส้นทางลัด ปั่น ๆ ไป เอ … ท่าทางเส้นทางลัดคงจะแย่ เห็นทางเข้าทางลัดนั้นแล้วไม่อยากปั่นเข้าไปต่อเลย ถ้าเรามีเวลาจะไม่เกี่ยงเลยค่ะ เลยเบนเข็มไปที่เส้นทางที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย นั่นคือ เส้นทาง 3 หลัก ช่วงนี้รถรายังไม่ค่อยมากมายสักเท่าไหร่นัก เรามุ่งหน้าสู่อำเภออุบลรัตน์ แล้วก็ปั่นกันมาเรื่อย จนได้เวลาอาหารเที่ยง เราดันมาอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ เลยหาร้านอาหารตามสั่งไม่ได้ จะไปทางลัดคงอดอยากเลยต้องออกมาทางถนนใหญ่ ลดลงมาเป็นเส้นทาง 2 หลัก รถเริ่มเยอะ แต่ไหล่ทางยังกว้างขวางดีอยู่ พอเห็นไก่ย่างก็รีบหยุดเลยเพราะกลัวจะหาไม่มีให้กินต่อไป กินเสร็จเขาก็ปิดร้านเลยเราเป็นลูกค้าสามคนสุดท้าย เกือบไปแล้ว
ปั่นมาถึงอำเภอ บ้านแท่น ก็ได้เวลามองหาที่พัก ก่อนที่จะมาถึงบ้านแท่นเราเห็นรีสอร์ตเพียบเลยนะตามรายทาง แต่พอเข้ามาในอำเภอกลับไม่เห็นที่ที่น่าอยู่สักที่ มาถามที่แรก เต็ม! เขาแนะนำให้ไปอีกกิโลนึง ไปถึงเห็นป้ายเก่า ๆ เลยไม่อยากอยู่ ตั้งใจว่าจะปั่นไปหาที่กางเต้นท์ แต่พอปั่นมาได้หน่อยเห็นสถานีตำรวจ สถานที่กว้างขวางมาก เลี้ยวเข้าไปถามดีกว่า เห็นนายตำรวจอยู่สองคนหน้าตึก ถามปุ๊บเขาก็บอกว่าได้เลย กางตรงไหนก็ได้ แต่อีกคนเป็นรองผู้กำกับฯ เขาลองโทรคุยกับผู้กำกับดู ปรากฎว่าผกก.เปิดห้องทำงานให้เรานอนเลยมีห้องอาบน้ำ มีแอร์ มีน้ำชาและกาแฟให้พร้อม สถานีตำรวจ 5 ดาว เพื่อนคนโปแลนด์เขาไปพักที่ปั้มน้ำมัน เขาบอกเราว่านี่ทำให้เขานึกถึงตุรกี แสดงว่าปั้มเมืองไทยเราน่ารักมากเลยนะเนี่ย เพราะตุรกีขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ต้อนรับแขกผู้มาเยือนอย่างดีและเต็มที่
วันรุ่งขึ้นเราปั่นกันไปเรื่อย ๆ ได้ติดต่อกับพี่สมพิศตลอดเวลา และได้ข่าวมาว่าจะมีนักปั่นหนึ่งท่าน (คุณลุงกุศล) จะมาร่วมปั่นด้วยจากโคราชไปปากช่อง เวชพยายามอัพเดทในเวบของไทยเอมทีบี และเขียนขออภัยกับคุณลุง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้เข้าไปดูเพราะปั่นอยู่ ปั่น ๆ ไป เอ๊ะ..มีนักปั่นอยู่ข้างทาง เลยแวะคุยกันตามธรรมเนียม อ้าว..กลายเป็นคุณลุงกุศลนั่นเอง คุณลุงมาดักรอเราหลังจากที่เข้าไปดูที่เวชอัพเดทไว้ น่ารักมากเลย คุณลุงเกษียณแล้ว ปั่นจักรยานเป็นงานอดิเรกไป คุยสนุกและแข็งแรงมากด้วย คุณลุงปั่นไปส่งเราถึงทางแยก เราแยกไปอำเภอท่าหลวง ส่วนคุณลุงแยกปั่นกลับบ้านไปทางปากช่อง คุณลุงถึงบ้าน 18.30 มืดพอดี แต่คุณลุงพร้อมเสมอ เพราะเอาไฟหน้าไฟท้ายติดตัวมาด้วย
จากอำเภอท่าหลวงเราปั่นมาทางท้ายเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ถนนช่วงนี้ปั่นสนุกมากเพราะลงมากกว่าขึ้น แล้วเราก็ปั่นข้ามสะพานท้ายเขื่อนข้ามมาถึงตลาดปลา ตอนอยู่กลางสะพานเวลาก็ใกล้จะมืดเต็มที ได้คุยกับน้องที่มาตกปลากัน เขาบอกให้ไปที่ตลาดปลา กินข้าว แต่เขาหารู้ไม่ว่าพวกเรากินเสร็จก็ขอเจ้าของร้านกางเต้นท์นอนที่หน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ข้างน้ำเลย ได้นอนดูดาวฟังเสียงจิ้งหรีดเรไร ช่างเพลินอะไรเช่นนี้ จากท้ายเขื่อนเราปั่นเลาะเฉียด ๆ มาทางสระบุรี เส้นทางนี้มีแต่รถใหญ่ ๆ วิ่งฝุ่นเพียบเลย แต่เราก็เข้ามาถึงกรุงเก่าของไทยเราได้สำเร็จ ใกล้กรุงเทพฯ เข้ามาอีก
อยุธยา – ปทุมธานี – บางเลน
เข้ามาถึงอยุธยาเย็น ๆ มองหาที่พักกัน อยากจะอยู่ในเมืองจะได้เดินเที่ยวหรือปั่นเที่ยวไม่ไกลนัก มีเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามา คุณสส. กลุ่มทัวร์ริ่งน้องใหม่ อยุธยานี่เอง เรามาเร็วเกินคาดไปหน่อย คุณสส.ตั้งตัวไม่ทัน ขาแรงค่ะ 🙂 เปล่าหรอกค่ะ ลมและทางที่ลงมาแทบตลอดทางช่วงแรกช่วยมากกว่าค่ะ เรามาที่ซอยฝรั่งที่เขาไม่มีเขียนถึงในหนังสือเดินทาง แต่มันเป็นชื่อเล่นของซอยนั้น เพราะมีเกสต์เฮาส์มากมายที่ฝรั่งชอบมาอยู่กัน เราเห็น Tony’s place ที่แรก ดูแล้วน่าอยู่ร่มรื่นเป็นบ้านทรงไทยโปร่ง ๆ
เวลาประมาณหนึ่งทุ่มคุณสส.ที่ติดตามเรามาทั้งทางบล๊อคของเราและทางไทยเอมทีบีโทรเข้า จะพาไปเลี้ยงเบียร์ยุดยา กลายเป็นมื้อเย็นสุดหรูริมน้ำกินลมชมวิววัดไปทางพนัญเชิงที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม นั่งดูเรือลำน้อย ๆ ที่ลากเรือบรรทุกลำใหญ่ ๆ และจากที่ได้คุยกับคุณสส. มาวันนี้ได้เพื่อนใหม่ทั้งกลุ่มเลย ยินดีที่ได้รู้จักกลุ่มทัวร์ริ่งน้องใหม่ พระนครศรีอยุธยา ขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างเป็นพี่เป็นน้องช่างอบอุ่นดีแท้ค่ะ
เช้าวันรุ่งขึ้นเราติดต่อกับพี่สมพิศกลุ่มรวมมิตร รวมทั้งอ๊อฟและต้น เพื่อนนักปั่นเมื่อ 8 ปีที่แล้วถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอกันทุกปีไม่ได้ปั่นกันทุกครั้งที่เวชกลับมาเมืองไทย แต่เรายังติดต่อกันเสมอ ทริปแรกที่ได้พบกับพี่สมพิศลุงแซมคือทริปบางคล้า ที่เราปั่นไปต้อนรับกลุ่มคุณธานินทร์ และหลังจากทริปนั้นก็ไม่ได้เจอลุงแซมและพี่สมพิศเลยค่ะ เอ..ทริปปั่นที่แสลงหลวง ไม่รู้ว่าลุงแซมมาหรือเปล่า??? เพราะหลังจากนั้นเวชก็ไปอยู่กับกลุ่มอิสระ มีอ๊อฟและต้นในภาพ พี่เบน พี่นพ ป้าแสง จารย์เม้ง เบียร์ ท่าทางตอนนั้นเราว่างกันจริง ๆ เพราะทริปแรกยังไม่จบเราก็เริ่มคิดทริปต่อไปโดยเอาแผนที่ออกมากางกันเลย
พี่เบนซึ่งนั่งรถไฟมารับขวัญเราถึงหนองคาย ปั่นมาด้วยกันจนมาถึงอยุธยา เราจะหยุดเที่ยวกันสักวันสองวัน แต่พี่เบนต้องรีบกลับกรุงเทพฯ เลยมาส่งเราแค่ที่ปั้มบางจาก นั่งดื่มกาแฟกัน พอได้เวลานัดกับพี่สมพิศ ต้นและอ๊อฟ เราก็แยกกับพี่เบนตรงนั้น แล้วย้อนกลับมาที่ตลาดโก้งโค้ง ทานข้าวกลางวันกัน คุยกันสนุกสนานไปเลย ดูแล้วท่าทางนักปั่นจักรยานจะมีเยอะกว่าชาวบ้านทั่วไปอีกนะค่ะ ขอบคุณต้นกะอ๊อฟด้วยนะค่ะที่อุตส่าห์ปั่นมาเจอพวกพี่ก่อน
พอแยกทางกันกับกลุ่มพี่สมพิศและต้นกะอ๊อฟแล้วเราปั่นอ้อมกลับไปเที่ยวในตัวเมืองอยุธยา ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยเปื่อย
เช้าวันที่เราจะออกจากอยุธยา กำลังเตรียมตัวกันอยู่ได้ยินเสียงฝนด้านนอก ตกหนักเสียด้วยสิ โอเค ๆ ตก ๆ เสียให้เสร็จนะ พอเราพร้อมที่จะปั่นฝนหยุดเหมือนเข้าข้างเรา ทำให้เราได้อากาศที่สดชื่นและระหว่างทางที่เราปั่นไปหาครอบครัวพี่ยาที่ปทุมธานี ไม่มีฝนสักเม็ดจนกระทั่งเรามานั่งรอพี่ยาที่หน้าปากซอยฝนลงเม็ด เหมือนพระพรมน้ำมนต์อย่างไรอย่างนั้นเลยแล้วก็หยุดไป ยิ่งรู้สึกเหมือนได้รับการต้อนรับแม้กระทั่งฝนฟ้าก็เป็นใจ
ได้เจอคุณลุงขณะที่นั่งรอ พอคุณลุงเห็นเสื้อเราแกเข้าใจทันทีว่านั่นคือธงชาติของประเทศที่เราปั่นผ่าน ๆ มา ที่น่าสนใจคือคุณลุงมีความเห็นเหมือนที่เราคิดและเริ่มเพื่อจะทำทริปนี้คือการใช้ชีวิตให้คุ้มค่า
ป้ายต้อนรับเราที่ครอบครัวพี่ยาจัดให้ และภาพพี่ยาและพี่เอกที่หน้าบ้าน ขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่นค่ะ เรานั่งคุยและทานอาหารเช้ารอบสองกันได้สักพักใหญ่ ก็ต้องเดินทางต่อไปบางเลน เพราะเด็ก ๆ ที่บ้านที่บางเลนจะกลับบ้านกันดึกวันจันทร์ เราอยากเจอกับพวกเขาเลยต้องเดินทางต่อในวันเดียวกัน ธรรมดาเราไปบ้านพี่ยาเราจะต้องพักอยู่ที่พี่ยาสักคืนสองคืน วันนี้รู้สึกแปลก ๆ ที่เจอกันแป๊บเดียว เราจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งค่ะ
ก่อนออกจากบ้านพี่ยา พี่จุ๋มโทรมาบอกว่าตอนนั้นฝนตกหนักมากที่บางเลน เราก็เลยรู้สึกรีบนิด ๆ แต่ยังงัยเราก็ยังเลือกที่จะปั่นเส้นทางเล็ก ๆ เรียบไปกับทุ่งนาแต่ก่อนที่จะถึงทุ่งนาเราต้องผ่านถนนใหญ่ ๆ แล้วต้องปั่นข้ามทางแยกที่ใหญ่มาก น่าตื่นเต้นและน่ากลัว เพราะเราเริ่มเฉียดเข้าใกล้กรุงเทพฯ เมืองหลวงของเรา แทบแย่กว่าจะเลี้ยวเข้ามาตรงสะพานที่เขาให้กลับรถ โชคดีมีรถสีดำคันหนึ่งใจดี เปิดไฟฉุกเฉินและชลอให้เราปั่นเข้าช่องทางด้านใน ไม่ทราบว่าเป็นใครแต่อยากให้มีคนมีน้ำใจมากขึ้น ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ
ช่วงที่เราปั่นเข้าบางเลน เราอยากจะไปให้ถึงบางเลนเลยไม่ค่อยมีภาพมาลงให้ดูกัน มีรูปทุ่งนาที่เราเห็นตามทางนี้
ก่อนที่เราจะเข้าบ้าน เราปั่นแวะไปที่หน้าบ้านเก่าซึ่งเป็นบ้านที่โจคิมเคยอยู่เมื่อตอนที่มาเมืองไทยตอนเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน หลังจากนั้นเราปั่นไปที่วัดไปไหว้คุณพ่อซึ่งจากไปเมื่อ 5 ปีก่อนและหน้าบ้านครอบครัวรับรองของโจคิม