จีน => ออกจาก Langmusi (ลังมุซี่) ไป Zoige (โซยเก) และ Songpan (สองพัน)
หลังจากท่ีตัดสินใจอยู่ต่ออีกคืนหนึ่งท่ีลังมุซี่แล้ว เราเดินออกไปท่ีร้าน Black Tent Café ที่มีแต่อาหารฝรั่งแต่ในเมนูเขาก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก จำได้เกือบหมดละ ช่วงอาทิตย์หน้าเป็นวันหยุดยาวทั้งอาทิตย์ และเป็นอาทิตย์ท่ีคนจีนทั้งประเทศหยุดยาวท่ีสุดในรอบปี นั่นคือ “Golden week” วันท่ี 1 ตุลาเป็นวันชาติแต่เขาจะหยุดกันยาวตั้งแต่วันท่ี 1 ถึง 7 ตค.ซึ่งวันหยุดนี่เองทำให้เราต้องปวดหัวอีกครั้งหนึ่งกับเรื่องวีซ่า เขาอนุญาติให้เราต่อวีซ่า 7 วันล่วงหน้าก่อนวีซ่าจะหมดอายุ วีซ่าเราจะหมดวันท่ี 10 ตค.เหมาะเจาะตรงกลางอาทิตย์นั้นเลย ในฟอรั่มท่ีคุยกันเกี่ยวกับเมืองจีนแนะนำกันว่าควรจะไปต่ออายุวีซ่าตามเมืองเล็ก ๆ เพราะไม่ค่อยมีงานทำซึ่งอาจจะได้วีซ่าเร็วขึ้น เช่นถ้าไปต่อท่ีเฉินตูก็รอไปเลยอีก 5-7 วันถึงจะได้วีซ่าแต่ได้ข่าวว่าค่าธรรมเนียมถูกกว่ามันน่าจะราคาเท่ากันทั้งประเทศนิ งง
พอเราเดินกลับมาก็เห็นมีฝรั่งสาวคนหนึ่งกำลังเช็คอินท่ีเกสต์เฮาส์ ที่จีนอ่ะนะเขาชอบตะโกนข้ามหัวคุยกัน เจ้าของเกสต์เฮาส์ตะโกนถามมาว่า ”อยู่ต่อมั้ย?” เราบอกเขาว่าเราจะอยู่ต่อหิมะตกและหนาวอย่างนี้ไม่อยากปั่น สาวผู้นั้นก็หันมาแล้วถามว่า “จักรยานท่ีจอดอยู่นั่นของพวกเธอหรอกรึ?” ซูซี่เล่าให้ฟังว่าเขาเจอคู่หนึ่งปั่นจากเยอรมันมาจีนและลงท้ายด้วยคำว่า “CRAZY” พอเราบอกว่าเราเริ่มจากไหนเขาแทบหงายหลัง 😉 แต่เขาคิดว่าทริปหน้าเขาอาจจะใช้จักรยานแทนแบกเป้ ส่วนเราอาจจะแบกเป้แทนจักรยาน เหอะๆๆ หลังจากนั้นเราก็ได้นั่งคุยกันนั่งกินข้าวมื้อเย็นด้วยกันคุยกันถูกคอเชียว แต่เรามีธุระเยอะไปหน่อยเลยขอตัว
ตอนเช้าเรามีเปลี่ยนแผนนิดหน่อยเลยมีเวลาคุยกับซูซี่เพื่อนใหม่จากออสเตรเลีย เขารอรถทัวร์จะไปเท่ียวต่อ เราร่ำลากันตรงนั้นและหวังว่าจะได้ต้อนรับเขาท่ีสวีเดนไม่วันใดก็วันหนึ่ง และดูท่าทางเขาก็สนใจท่ีจะมาเยี่ยมเราด้วย ซูซี่แนะนำเราให้ขึ้นไปดูวัดใกล้ ๆ เกสต์เฮาส์ค่าเข้าคนละ 30 หยวน ทั้งภูเขานั่นเป็นเขตของวัด เราปั่นจักรยานขึ้นเขาไปทำให้ไปถึงก่อนกรุ๊ปทัวร์ท่ีกำลังเดินขึ้น รีบ ๆ ถ่ายรูปก่อนท่ีพื้นท่ีนั้นจะเต็มไปด้วยผู้คน เดินกันไปจนถึงหอสวดมนต์ เข้าไปไม่ได้เพราะพระกำลังสวดมนต์อยู่เลยยืนฟังพระสวดอยู่ข้างนอก หลังจากนั้นก็เดินกลับมาท่ีจักรยาน ใส่น้ำมันท่ีโซ่หน่อย เพราะล้างเสียสะอาดเมื่อวานนี้ หยอดยังไม่ทันรอบโซ่ เงยหน้าขึ้นมา อึ๋ย…เณรน้อยพากันมาจากไหนไม่รู้ 10-20 คน (เรียกสรรพนามถูกมั้ยเนี่ย?) มุงดูเราอยู่ โจคิมกำลังรื้อกระเป๋าหาถุงมือเผอิญเอากล้องส่องทางไกลขึ้นมาวางบนอานก็มีเณรน้อยหยิบไปส่อง แล้วมันก็ถูกหยิบจากมือเณรคนแรกเอาไปส่อง ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งต้องขอคืนไม่อย่างนั้นคงได้ยืนรออยู่ตรงนั้นจนหมดเวลาพักของพวกเขา เณรน้อยบวชเรียนยังงัยก็ยังเป็นเด็ก อยู่ดีเนอะ ซุกซนเหมือนเดิม
ได้เวลาออกเดินทางต่อ เราต้องปั่นย้อนออกทางเดิม 3 โลกว่า ๆ เมืองลังมุซี่อยู่ท่ีความสูงประมาณ 3300 ออกมาถึงปากทางก็ไหลลงเขาเลยสบาย แต่สักพักก็ต้องปั่นขึ้นไปอีก 300 เมตร ก็สาหัสอยู่เหมือนกัน วันนี้ทำไมเหนื่อยจัดซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ เราพักกันตั้ง 4-5 วันท่ี่ลังมุซี่ แรงน่าจะเยอะแต่กลับกลายเป็นว่าปั่นตามโจคิมไม่ไหว หรือว่าแรงหดหายไปเรื่อยไม่รู้นิ สายหน่อยรู้สึกแน่นท้องอึดอัด ไม่รู้ว่ามาจากอาหารท่ีกินมากเกินไปก่อนปั่นหรือใส่กางเกงหลายชั้นวันนี้ใส่ 3 ชั้น (คือ 1. กางเกงจักรยานขาสั้น 2. กางเกงยางยืดแนบตัวขายาว 3. กางเกงขายาวตัวท่ีใส่ประจำ) เพราะรู้สึกเย็น ๆ น่าจะทุกอย่างรวมกัน ตอนออกจากเมืองแค่ 6-7 องศาเอง แต่พอปั่นขึ้นมาระดับ 3600 อุณหภูมิกลับสูงขึ้นเป็น 11-12 องศาแปลกมาก ขาก็ดูเหมือนไม่มีแรงท่ีจะปั่น พยายามขนาดไหนก็ไม่เป็นผล หรืออาจจะเป็นเพราะความสูง แต่เราก็อยู่ในระดับนี้มาเป็นอาทิตย์แล้วนี่นา น่าจะปรับสภาพร่างกายได้แล้ว งง คงจะพักนานเกินไป 😉 โจคิมพูดถึงพักเท่ียงกินไข่ต้มท่ีซื้อมาจากร้านข้าง ๆ ท่ีพัก ท่ีได้ไข่ต้มมาเพราะเขากำลังต้มอยู่ เราชี้อย่างเดียว แต่ท้องอืด ๆ เลยยังไม่นึกอยากกินอะไร
แต่ก็ปั่นมาเรื่อย ๆ ช้า ๆ จนมาถึงเมืองโซยเก (Zoige) ระยะทางประมาณ 90 กม. หลัง ๆ นี่เราจะเช็คจากหนังสือเดินทางละ ว่ามีท่ีพักหรือโรงแรมตรงไหน เพราะถ้าเขามีลงในหนังสือเดินทางนั่นหมายความว่าโรงแรมหรือเกสต์เฮาส์นั้นสามารถรับชาวต่างชาติได้ ขี้เกียจเข้าไปถามว่าเขามีใบอนุญาติหรือเปล่า แต่เวลาท่ีเรามาถึงเมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองโซยเก ก็ต้องมองหาและถามไปเรื่อย อย่างน้อย 2-3 แห่งกว่าจะเจอท่ีท่ีสามารถให้เราพักได้ เรามาเจอโรงเตี้ยมนี่เป็นท่ีท่ีสี่ เฮ้อ…เหนื่อยใจ หาท่ีกางเต้นท์ยังใช้เวลาน้อยกว่าอีก พอเช็คอินเอากระเป๋าขึ้นห้อง เราก็รีบเปิดฮีตเตอร์เครื่องทำความร้อน อ้าว…ทำไมไม่ทำงานหนาวนะ เดินลงไปหาเด็กท่ีพามาดูห้อง เขาตามมาและบอกว่าเครื่องทำความร้อนจะทำงานตอนสองทุ่ม ดีท่ีแผ่นทำความร้อนท่ีเตียงทำงานได้เลย เราไม่รู้หรอกเขาขึ้นมาเปิดให้ ไม่อย่างนั้นคืนนี้ได้นอนหนาวถึงแม้จะมีคนรู้ใจอยู่ข้าง ๆ 😉 พอจะอาบน้ำ อ้าว..ทำไมน้ำไม่ร้อนเอ่อ..หรือต้องรอจนถึงสองทุ่มด้วย รอไม่ไหวละหิวออกไปหาอะไรกินก่อนละกัน
เดินไปท่ีร้านอาหาร จริง ๆ มันดูเหมือนว่าเขาปิดร้านแล้ว แต่เห็นคนเดินเข้าไปแล้วก็หิ้วกล่องอาหารออกไป เราทำท่าว่าจะเอาแบบลูกค้าคนนั้นแต่เขาไม่เข้าใจ เลยต้องพยายามสั่งอะไรท่ีสามารถใช้ภาษามือแบบง่าย ๆ สรุปได้ข้าวผัดไข่ อ้า..ครั้งนี้ได้อย่างท่ีสั่งนะ ไม่เหมือนตอนสั่งไข่ต้มถ้าไม่ได้ไข่น้ำก็ไข่ดาว 🙂 ตอนท่ีพยายามสั่งอาหารลูกสาวเขานั่งทำการบ้านอยู่ เห็นเขาค้น ๆ ในกองหนังสือของเขาน่าจะหาหนังสือเรียนภาษาอังกฤษ คงหาไม่เจอเลยเดินไปเรียกเพื่อน ๆ มาช่วยกัน น่ารักดีเห็นความพยายามของเขาแล้วอนาคตน่าจะไปได้ไกล
โรงเตี้ยมท่ีนี่ในราคาคืนละร้อยหยวนส่วนใหญ่ไม่มีอาหารเช้า เราเลยต้มมาม่ากินกันไปก่อนแต่เวชปล่อยให้มันแช่อยู่ในน้ำร้อนเร็วไปหน่อย วันนี้เลยยังรู้สึกอึดอัดในท้องอยู่ ชักไม่อยากินมาม่าอีกเลย หรือไม่อย่างนั้นก็เอาแต่เส้นแล้วหาอะไรอย่างอื่นมาใส่แทนพวกผงท่ีเขาให้มา ไม่ใช่ง่ายอีก แฮ่.. ตอนท่ีไปแวะซื้อขนมปังและของกินเล่นเพิ่มพลังงานอื่น ๆ เวลาเราจอดจักรยานอยู่หน้าร้าน มักจะมีคนเข้ามาชวนคุยด้วย ทุกครั้งท่ีบอกว่าเราเป็นคนไทยมีแค่คนเดียวตอนนี้ท่ีเข้าใจและพยายามพูดภาษาจีนน้อยคำ ทำท่าทำทางมากขึ้น คือคนท่ีทำงานท่ีร้านอาหารท่ีเมืองลังมุซี่ นอกจากนั้นพยักหน้ารับรู้แต่ก็ยังพูดไม่ยอมหยุด เอ้า..พูดไป ๆ จับได้คำไหนท่ีพอรู้ความหมายข้าพเจ้าก็เดาไปเรื่อยเปื่อยละนะ
วันนี้ก็ไม่รู้สึกอยากอาหารเหมือนเมื่อวาน แต่อยู่ดี ๆ ท้องร้องจ๊อก ๆ และไม่มีแรงเลยหยุดและกินไข่ต้มท่ีเหลือจากเมื่อวาน แกะ ๆ กินอยู่มีรถตู้คันหนึ่งโบกมือทักทาย เราก็โบกกลับ เอ้าเฮ้ย…รถตู้จอดและถอยหลังกลับมาหาเรา เวชกำลังหยิบผลไม้อบแห้งกินต่อ เลยเดินไปหาเขาและแบ่งให้กิน ตอนแรกเขาไม่เอาแต่เราขะยั้นขะยอให้หยิบคนละอัน เพราะนั่งกันมาสองคน เขาบอกให้เอาจักรยานขึ้นรถและชวนเราไปกินข้าวด้วยกันท่ีไหนก็ไม่รู้ เราปฏิเสธไปเพราะเพิ่งกินไข่ต้มกันไป เฮ้อ..เห็นสองคนนี้แล้วให้นึกถึงหนุ่มสองคนท่ีพยายามโบกรถให้เราตอนท่ีเราปั่นอยู่ในทะเลทราย
ช่วง 2-3 วันนี้เราอยู่ท่ีระดับความสูง 3000-3800 เมตรจากระดับน้ำทะเล ปั่นขึ้นลงอยู่บนนั้นเป็นเวลา 2 วันได้ เป็นภูท่ีกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเลย เห็นเขาเลี้ยงแพะ แกะและยอร์คกันมากมาย ระหว่างทางนี่เห็นโดมท่ีเขาสร้างขึ้นมาเหมือนเป็นรีสอร์ต ท่าทางน่าสนุกถ้ามากันเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ เพราะเขาสร้างกระโจมเป็นวงกลมและมีท่ีย่าง ๆ อยู่ตรงกลางนั่งกินล้อมวง หมู่บ้านตามทางเริ่มให้ความรู้สึกว่าอยู่เมืองจีนล่ะแต่ก็ยังคงมีบรรยากาศของทิเบตอยู่
หลังจากผ่านจุดสูงสุดท่ีระดับ 3840 เมตรเราก็เริ่มลงอย่างเดียวสนุกมาก แต่ทางก็มีขึ้น ๆ ลง ๆ นิดหน่อย จนกระทั่งเรามาถึงเมืองสองพัน (Songpan) วันนี้ปั่นกันยาวหน่อยเกือบ 160 กม. มีเมืองหนึ่งที่อยู่ก่อนเมืองสองพัน เป็นแผนสำรองเผื่อว่าเวชปั่นไม่ไหวเพราะท้องยังอืด ๆ อยู่ แต่พอปั่นถึงเมืองนั้นมันดูไม่น่าอยู่เอาเสียเลย อีกอย่างเมืองสองพันน่าอยู่กว่ามีสถานท่่่่ีท่องเท่ียวมากกว่า เลยอดทนอีกนิดปั่นไปอีกประมาณ 20 กม. ดีท่ีทางลาดลง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ไหวแน่
จีน => จาก Songpan (สองพัน) ยาวมาถึง Kunming (คุนหมิง) เลย
อุ่ย..จากท่ีสะสมหลาย ๆ หมู่บ้านมาเป็นหลาย ๆ เมือง มาวันนี้ข้ามมณฑลเลย จากมณฑลเสฉวนมามณฑลยูนนานเลย ต้องขออภัยด้วยค่ะ นี่เวชค้างมาตั้งแต่เมืองสองพัน, ชินจิง, เฉินตู, … จนมาถึงคุนหมิง ตั้งเกือบเดือนเลยหรือเนี่ย ทำไมเวลามันผ่านไปเร็วเช่นนี้ ช่วงนี้วางแผนโน่นนี่จิปาถะ ยิ่งใกล้เมืองไทยยิ่งมีเรื่องให้ต้องคิดต้องทำมากขึ้น เลยยังไม่มีเวลาเขียนเล่าเรื่องให้อ่านกันสักเท่าไหร่ จะพยายามย่อ ๆ เล่าเรื่องจากภาพเสียส่วนใหญ่ละกันนะค่ะ
ค่ะท่ีเมืองสองพันช่วงเช้าเราเช็็คเส้นทางอีกที เพราะหลังจากได้คำเตือนจากลูกชายเจ้าของเกสต์เฮาส์เรื่องอุโมงค์ เราเลยไม่ค่อยแน่ใจ และต้องจองห้องท่ีเฉินตูด้วยเพราะเป็นช่วงอาทิตย์ท่ีคนจีนเขาหยุดกันยาว หลายท่ีเต็มกันไปหมดแต่มีท่ีหนึ่งท่ีว่างอยู่ 3 คืน ก็ยังดีแล้วค่อยเช็คอีกทีตอนท่ีเราอยู่ตรงนั้น กว่าจะออกจากท่ีพักเวลาเท่ียงเลยไปกินท่ี Emma’s kitchen ท่ีมีชื่อในหนังสือเดินทาง (Lonely Planet) คุยและแลกเปลี่ยนการ์ดกัน เหอะ ๆ ทำอย่างกับเป็นนักธุรกิจ 🙂 เอมม่า แนะนำให้มาพักท่ีเมืองไทปิง (Taiping) ห่างจากเมืองสองพันไปอีก 70 กม. ทางลงเขาเสียส่วนใหญ่ ปั่นเลียบน้ำ สวยมาก ผ่านหมู่บ้านมากมาย คนเริ่มมีอัธยาศัยทักทายกันมากขึ้น พอมาถึงคิดว่าจะกินข้าวแล้วไปหาท่ีกางเต้นท์ แต่เขามีท่ีพักด้วยเลยถามราคาดู 120 หยวนเราต่อเหลือ 80 ไม่รู้โหดเกินไปหรือเปล่า 🙂 เราอาบน้ำเสร็จ พอลงไปจะสั่งอาหาร เจ้าของเดินมาบอกอะไรสักอย่าง 8 โมง รู้แค่นั้น วุ่นวายนิดหน่อยจนกระทั่งมีคนหนึ่งเดินออกจากร้านไปและเดินกลับมาพร้อมผู้หญิงคนหนึ่ง ปรากฎว่าเขาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ เธอมาช่วยเป็นล่ามให้ เพิ่งเรียนจบและกลับมาเป็นครูท่ีโรงเรียนใกล้ ๆ หมู่บ้านตัวเอง เราเดินไปท่ีโรงเรียนกับครูสอนภาษาอังกฤษสาวคนนั้น เขาบอกว่าคงมีเวลาคุยกับเด็ก ๆ นิดนึงเพราะพวกเขาได้เวลาทานอาหารเย็นกัน เดินเข้าไปในชั้นเรียน เด็ก ๆ นั่งกันเรียบร้อยเชียว ว้าว…ได้กลับไปยืนท่ีหน้ากระดานดำอีกครั้งหนึ่ง ตื่นเต้นดีจังท่ีได้คุยดัง ๆ ทำท่าทำทาง เฮ้อ..นึกถึงนักเรียนม้งท่ีเคยสอนในค่ายผู้อพยพท่ีพนัสนิคมเราจังเลย เด็ก ๆ พวกนี้กินนอนท่ีโรงเรียน เสาร์อาทิตย์พ่อแม่ถึงจะมารับกลับบ้าน
ออกจาก “ไทปิง” มาก็ลงเขาอย่างเดียว จากความสูงหลักพันกว่า ๆ ลงมาท่ีหลักร้อยต้น ๆ ปั่นลงมายาวแบบว่ายังไม่สุด ก็มาเจอคนจีนกลุ่มท่ีหน่ึงจำนวน 3 คนเรียนกฎหมายด้วยกัน เราหยุดคุยกันอยู่นาน คนจีนมีวันหยุดน้อยมาก เพราะฉนั้นพอได้หยุดหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ ต้องรีบฉวยโอกาสกัน ทางท่ีเราลงมาจากเมืองสองพันนั้นไม่ค่อยมีรถ เพราะส่วนใหญ่เขาจะเดินทางขึ้นเขา ไปเท่ียวในธรรมชาติกันมากกว่า สบายเรา ไม่ต้องมีรถมาตามบีบแตรไล่หลัง เราแวะกินข้าวร้านอาหารข้างทาง พอเรียกให้เขาคิดเงิน หา..เท่าไหร่นะ ว้าว…หมวยจีนหลอกกินเงินหมวยไทย เป็นมื้อท่ีแพงและน้อยท่ีสุดเลย เจ็บจายยย แต่ทำงัยได้ ลืมถามราคาก่อนอ่ะ พอเดินออกมาเราบ่น ๆ กันเป็นภาษาสวีดิช ก็มีผู้ชายคนหนึ่งหันมาพูดภาษาสวีดิชด้วย หง่า…คุยกันสักพัก ก็ได้ความว่าเขามาเรียนภาษาจีน ร่ำลากันไป เราก็ปั่นลงเขาต่อ
พอปั่นลงมาถึงเมืองเหมาเชียน (Maoxian) ท่ีเมืองนี้แหละท่ีเขาเตือนว่ามีอุโมงค์หลายอู่และยาวหลายกิโลเมตรด้วย เลยตัดสินใจนั่งรถบัสลอดอุโมงค์ไปท่ีเมืองดูจางเย้ท่ีใกล้เฉินตูเข้ามาหน่อย ขึ้นรถนี่มันยุ่งยากกว่าปั่นไปอีกน๊า เพราะเราจะต้องหันแฮนด์ให้ขนานกับเฟรมจักรยาน มีครั้งหนึ่งต้องเอาเบาะของโจคิมออกด้วย ไหนจะกระเป๋าอีกทั้ง 8 ใบ ครั้งนี้จักรยานถูกกว่าเรา แต่ค่าจักรยานไม่รวมอยู่ในตั๋วนะ คนขับเก็บใส่เป๋าตัวเอง นั่งไป 3 ชม. และก็ลุ้นดูอุโมงค์ไปเรื่อย มันดูไม่น่าจะปั่นยาก แต่ท่าทางอากาศภายในแย่มาก บางครั้งเห็นรถแซงกันมาแบบไม่ระวังกันเลย เลยรู้สึกว่าคิดถูกล่ะท่ีนั่งรถลอดอุโมงค์มา
และในท่ีสุดเราก็ดิ้นรนจนมาถึงเมืองเฉินตู เมืองใหญ่พอ ๆ กับกรุงเทพฯ เลย ตอนแรกคิดว่าน่าจะปั่นเข้ายาก แต่ท่ีจีนเขามีทางจักรยานที่กว้างมากแถมมีสิ่งกีดขวางไม่ให้รถยนต์เข้ามาใช้ด้วย ดีมากเลยปั่นกันสบาย ๆ เราอยู่ท่ีเฉินตูนานเพราะเป็นวันหยุดของคนจีนทั้งอาทิตย์และต้องรอให้ถึงเวลาเพื่อไปทำเรื่องต่อวีซ่าท่ีอีกเมืองหนึ่ง เลยถือโอกาสพักผ่อน เซอร์วิสรถ ออกไปเดินหาซื้อของใช้ มีเย็นวันหนึ่งนั่งกินข้าวท่ีเกสต์เฮาส์ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเพลง เอ๊ะ..เพลงนี้มันฟังคุ้น ๆ นะภาษาไทยนี่นา หันไปหันมาเห็นวัยรุ่นจีนนั่งกันเป็นวงกลมเปิดคอมฯ ร้องเพลงคาราโอเกะเพลงไทยอ่ะ ตลกดี เฉินตูเป็นเมืองท่ีนักท่องเท่ียวจะมาชมหมีแพนด้ากัน แต่เราไปไม่ถึงเพราะไม่อยากไปผจญกับฝูงชนนักท่องเท่ียวชาวจีน เราไปเดินเล่นชมวัดแถว ๆ ท่ีพักแทน เห็นพระรูปหนึ่งเดินผ่านผู้หญิงคนหนึ่ง ก็ได้ยินผู้หญิงคนนั้นทักทายพระว่า “อมิตตพุธ” เอ่อ…ได้ยินของจริงสด ๆ ไม่ได้ออกมาจากทีวี เพราะทุกครั้งจะได้ยินจากหนังจีนในทีวีเสียมากกว่า และพอมาเห็นว่าคนจีนเองก็นั่งดูหนังฮ่องเต้ จักร ๆ วงศ์ ๆ เหมือนอย่างท่ีเขาเอามาฉายท่ีบ้านเรา ก็รู้สึกแปลก ๆ ดี อีกอย่างหนึ่งท่ีน่าขันคือ เวลาเราจอดพักหรือดูแผนท่ี บางครั้งมีคนเข้ามาถาม พอเราบอกไปว่าเราปั่นมาจากไหนจะไปไหนเขาร้อง “ไอ้หย๋า” เหอะ ๆ ๆ เวลาเราร้องคำนี้ออกมา เราจะนึกสนุก ๆ เท่านั้นเอง แต่สำหรับคนจีนเวลาเขาใช้คำนี้มันหมายความว่าหนักหนาเอาการกว่าท่่ีเราร้องกันเล่น ๆ มากกว่าเยอะเลย 🙂
ได้เวลาออกเดินทางต่อ จากเฉินตูไปเลอชันเพื่อไปต่ออายุวีซ่า เราค่อนข้างเกร็งนิดหน่อย เพราะวีซ่าจะหมดอายุอีก 3 วันข้างหน้า แต่ไม่มีปัญหา วันนี้เรายื่นเขาบอกให้เรามารับอีกวันรุ่งขึ้น เราได้เจอนักปั่นจากเยอรมัน 3 คน เขารู้จักเราผ่านนักปั่นชาวสวิสฯ ท่ีเจอกันท่ีซาร์มาคัน แต่เขาไปเจอกันท่ีประเทศทาจิกิสถาน เรากินข้าวด้วยกันหลายมื้อและนั่งคุยกันเรื่องเส้นทาง อะไร ๆ อีกหลายเรื่อง แต่พวกเขาอยู่เกินอายุของวีซ่าเลยได้ต่อแค่ 7 วันเพื่อเดินทางออกจากเมืองจีน วันท่ีเราจะออกจากเลอชัน ล้อหลังเวชรู้สึกแปลก ๆ อีกแล้ว หลังจากท่ีเปลี่ยนอะไหล่ตัวหนึ่งท่ีมณฑลซินเจียง พอโยก ๆ ล้อดูก็รู้สึกได้ว่ามันหลวม ๆ เลยต้องตระเวณหาร้านจักรยาน กว่าจะทำอะไรเสร็จก็เย็นมากแล้ว เลยปั่นกลับไปเช็คอินเข้าพักท่ีเดิม และท่ีเลอชันนี่เองท่ีเพื่อนร่วมทางท่ีติดสอยห้อยตามมาตั้งแต่เมืองทรับซอน ประเทศตุรกีก็อันตรธานหายไปไหนก็ไม่รู้ หวังว่ามันจะได้เพื่อนใหม่ท่ีดูแลมันได้ดีกว่าเรา 🙁 เช้าวันต่อมาแพ๊คกระเป๋า พอจะใส่หมวกกันน๊อค เอ่อ…หมวกแก๊ปเราไปไหนหว่า หาไปหามา ไม่เจอ โทรไปท่ีร้านจักรยานเขาก็บอกว่าไม่มี เป็นอันว่าหล่นหายอีกแล้ว ข้าพเจ้าทำไมเป็นคนขี้หลงขี้ลืมสะเพร่าเช่นนี้ เฮ่อ..
จากเลอชันเราปั่นผ่านเมืองเวินฉวนท่ีเคยประสบอุทกภัยแผ่นดินไหวขั้นรุนแรงเมื่อปี 2008 แต่ร่องรอยของความเสียหายยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไป บ้านเรือนยังกำลังสร้างกันอยู่ ถนนไม่ต้องพูดถึง รถใหญ่ก็เยอะ ท่าทางคงเละอยู่อย่างนั้นอีกนาน ดูจากสถาพแล้วน่ากลัวมากเลย
วันรุ่งขึ้นเราออกจากเมืองเล็ก ๆ นั้น แล้วก็มาจอดสนิทตรงทางแยกหนึ่ง ไปทางไหนดีหว่า… ซ้ายมือข้ามสะพานไปก็เข้าเมืองไม่น่าจะใช่ ขวามือน่าจะใช่แต่..ถนนมันแย่มากเลย สงสัยอยู่นานว่ามันจะดีขึ้นหรือเปล่า หวังไปเองว่าเขาคงกำลังซ่อมแซมถนนไปเรื่อย ๆ เพราะอุทกภัยแผ่นดินไหวนั้นทำให้เสียหายกระจายไปหลายกม.อยู่ เอ้า..ลองดู ปรากฎว่าสภาพถนนเป็นอย่างในภาพข้างล่างนี่เป็นเวลาเกือบ 2 วัน แต่ก็สนุกดี
ระหว่างทางท่ีปั่นเข้าคุนหมิงทางเป็นเขาเสียส่วนใหญ่ เมื่อก่อนไม่ชอบอุโมงค์เพราะเสียงมันฟังดูน่าหวาดกลัวบางครั้งมืดมองอะไรไม่เห็น แต่ครั้งนี้ พอเห็นป้ายอุโมงค์แล้วดีใจเพราะเราไม่ต้องปั่นข้ามเขากันอุโมงค์ช่วยได้มากทีเดียว ไม่อย่างนั้นคงยังไม่ถึงคุนหมิงล่ะค่ะ ฝนตกเสียส่วนใหญ่ มีครึ่งวันของสามวันท่ีเราปั่นเข้ามานี่เห็นแดดแว่บ ๆ ออกมา แต่พอบ่ายแก่ ๆ ก็หายไปเสียเฉย ๆ หลังจากนั้นก็เปียกแฉะกันมาตลอดทาง จนขณะนี้ถึงเมืองคุนหมิงฝนก็ยังไม่หยุดตก ผ้าท่ีซักและตากไว้สองวันแล้วยังไม่แห้งเลย อากาศก็เย็น อยากถึงเมืองไทยเร็ว ๆ เสียแล้วสิ