จีน => Kashgar (คัชก้า) ไป Artux (อาร์ทุค) และ Aksu (อัคสุ)
คัชก้าเป็นเมืองใหญ่พอสมควร เราลงจากรถบรรทุกคันที่สอง ก็ยังต้องปั่นกันเกือบสิบกม.กว่าจะถึงใจกลางเมือง ตอนแรกติดว่าจะเช็คอินที่เกสต์เฮาส์แต่เริ่มมืดแล้ว เลยลองถามโรงแรมแถวนั้น ราคากำลังดี เลยจอดตรงนั้นเลย ทุกครั้งที่เราเข้าพักตามเกสเฮาส์หรือโรงแรมที่เราสามารถซักผ้าได้ ก็จะต้องรีบจัดการทันที และครั้งนี้ก็เหมือนกัน เราหมักหมมกันมาหลายวันตั้งแต่ก่อนเข้าหมู่บ้านซารีทัชที่อยู่ไม่ไกลจากชายแดนจีน 2 วัน ติดอยู่ที่ซารีทัชอีก 4 วัน ตอนที่อยู่ที่ซารีทัช จริง ๆ ควรจะซักผ้าแต่เราเหนื่อยจากปั่นข้ามเขามา และอีกอย่างความที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจอย่างไรไม่รู้ เลยหมักหมมต่อมาถึงคัชก้า ที่คัชก้านี่เอง เหมือนตอนที่เช็คอินเข้าโรงแรมที่ตุรกี เด็กพาไปดูห้อง และบอกว่าห้องนี้ดีนะมีอ่างอาบน้ำจากุสซี่ด้วย เราก็ดีใจแต่ไม่ใช่แค่อยากอาบน้ำในนั้นแต่อยากแช่ผ้าในอ่างนั้นมากกว่า และที่นี่ก็เหมือนกัน แถมมีที่ปิดรูให้ด้วย สุดยอด
หลังจากนั้นเราออกเดินสำรวจเมืองเริ่มต้นด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้า เด็กที่โรงแรมทำเครื่องหมายที่แผนที่ไว้ให้ เราจะปั่นจักรยานก็ได้ แต่คิดว่าลองเดินดูก็ดีเหมือนกัน จะแวะร้านไหนก็สะดวก ไม่ต้องพกพาสายยูไว้ล๊อครถหรือเป็นกังวลว่ามันจะหาย แต่ด้วยความหิวเราลองเดินต่อไปอีกนิดก็เห็นตลาดสดขายอาหารก่อน เขาวางเป็นแผงเหมือนบ้านเราเลย เซริฟในถาดหลุม ถาดหนึ่ง 12 หยวน ประหยัดดี อิ่มด้วย เป็นครั้งแรกที่ได้กินอาหารท่ีมีรสชาติขึ้นมาหน่อย หลังจากที่ปั่นอยู่ในประเทศสถานทั้งหลาย แต่จากที่กินแต่เนื้อแกะก็กลายมาเป็นผักเสียส่วนใหญ่ ซึ่งก็ดีแต่หามีพลังงานให้เราไม่ เราจึงต้องเสริมด้วยขนมปังแทน หลังจากนั้นเราเดินไปดูของใช้ไฟฟ้า รูปที่ถ่ายในกล้อง GoPro และกล้องถ่ายรูปธรรมดามันเต็มไปหมด โดยเฉพาะในคอมฯ แทบจะเซฟอะไรไม่ได้เลย เราไปซื้อฮาร์ดิสค์ที่ใหญ่หน่อย ในจีนถนนดีแล้ว ไม่ต้องห่วงว่ามันจะสั่นคลอนจนเสียเหมือนเมื่อคราวที่เราปั่นไปเที่ยวในกลุ่มประเทศบอลติค กระเด้งกระดอนจนคอมฯ เจ๊งไปเลย นี่ทำให้เราตัดสินใจซื้อแมคบุ๊คแอร์ เพราะมีหน่วยความจำเป็นการ์ด SD ให้เขย่ายังงัยก็ไม่เสีย และอีกอย่างที่ซื้อมาคือตัวชาร์ตเจอร์ที่สามารถชาร์ตจีพีเอสและมือถือได้ อืม…พอเดินเข้าตัวตึกนี้ เรานึกถึงพันธ์ทิพย์พลาซ่าขึ้นมาทันใด เหมือนมาก ไม่รู้ใครลอกเลียนแบบใคร แต่พันธ์ทิพย์บ้านเราใหญ่กว่า แต่อาจจะเป็นเพราะกรุงเทพฯก็ใหญ่กว่าตัชก้าด้วยมั้ง 🙂
เราพักอยู่ที่คัชก้า 3 คืน 4 วัน ทำธุระกันเสียส่วนใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่เราไม่ได้ไปร้านจักรยานก่อนเป็นอันดับแรก เลยคิดว่าจะปั่นไปที่ร้านก่อนออกจากโรงแรม ร้านจักรยานนั่นเป็นร้านไจแอนท์แต่ขอโทษค่ะ ไม่มีสูบให้ซื้อ งงมาก สูบเราเป็นอะไรไม่รู้ คือสูบได้แต่ต้องสูบกันนานหน่อย เลยอยากมีสำรองไว้อีกอัน ไม่มีก็ไม่มี วันต่อมาเราเดินไปอีกทางหนึ่งไปหาซื้อซิม เพื่อนชาวสโลเวเนียว่า ที่จีนมีคลื่นสัญญาณเพียบแม้แต่ในทะเลทราย (จริงของเขา) ควรจะซื้อซิมของที่นี่ เราลองหาซื้อดู แต่มันใช้เวลานานมาก เพราะปัญหาเรื่องภาษา และข้อตกลงของเขามันช่างยุ่งยาก ขนาดใช้อากู๋มาช่วยแปลแล้วยังไม่เกิดผลเลย เลยซื้อมาทั้งอย่างนั้น เดี๋ยวเดือนหน้าค่อยว่ากันใหม่ เขียนคุยกันจนมึนหัว เราปั่นไปกินข้าวร้านเดิม พวกเขาตกใจเพราะไม่เคยเห็นเราใส่เต็มยศขนาดนั้น คือชุดปั่นและจักรยานพร้อมสัมภาระมากมาย กินเสร็จก็บ๊ายบายกันไป กว่าจะออกจากคัชก้าได้เกือบเย็น ปั่นได้ประมาณ 50 กม. มาถึงเมือง ๆ หนึ่งชื่ออาร์ทุค Artux ความเหนื่อยยังคงคุกคามอยู่ เพราะเวลาที่จีนแตกต่างจากคีร์ซกิสถาน 2 ชม. อยู่คัชก้านอนตีสองตีสามแทบทุกคืน เหมือนร่างกายยังปรับเวลาไม่ได้ เราตัดสินใจพักที่เมืองนี้ เพราะกว่าจะถึงที่เป็นเมืองขึ้นมาหน่อยก็ถัดไปอีกประมาณ 3 วัน
ถึงเมืองอาร์ทุคไม่ดึกมากนัก เราพอมีเวลาเดินไปหาของกิน และเลยเดินหลงเข้ามาที่ร้านขายของท้องถิ่นเขา ไม่น่าคิดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาที่นี่กัน สังเกตุว่าที่จีนเราจะเรียกว่าเมือง เพราะแต่ละที่มีคนอยู่กันเยอะมาก ไม่เหมือนหมู่บ้านที่ประเทศสถาน ๆ ทั้งหลาย แต่ในเขตมณฑลซินเจียงนี้ จะมีแขกมุสิมเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่ก่อน ก่อนที่จีนจะเข้ามายึดเป็นของตัวเองเมื่อน้านนานมาแล้ว หลังจากนั้นก็สั่งให้คนจีนย้ายเข้ามาอยู่ในแถบนี้ เขียนมากไม่ได้เดี๋ยวถูกบล๊อคด้วย ลองเข้าไปหาข้อมูลต่อทางอินเตอร์เนตนะค่ะ เพราะฉนั้นร้านค้าส่วนใหญ่จะเป็นมุสลิม หาร้านอาหารจีนทางแถบนี้ไม่ค่อยได้ เราเลยได้กินแต่รัคมาน (Lagman) ที่กิน ๆ ประจำที่ประเทศสถานทั้งหลาย แต่ก็ดีอย่างหนึ่งคือเรายังสามารถใช้ภาษารัสเซียต่ออีกนิดนึง ชาวมุสลิมที่นี่เรียกว่ากลุ่ม “อูกูร” เขาถูกบังคับให้เรียนภาษาจีน แต่คนจีนไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ของเขา แต่เวชยังไม่เห็นความแตกแยกระห่างชนชาตินะ แต่เห็นตำรวจทหารเยอะในแถบนี้ แต่ที่แน่ ๆ คือคนอูกูรจะทักทายหรือทักทายตอบเราแต่คนจีนเอาแต่จ้อง ขนาดโบกไม้โบกมือให้ยังไม่มีอะไรตอบสนองมาเลย มีครั้งหนึ่งแวะกินข้าว ไม่ใช่ รัคมานนั่นแหละ กินกันมาหลายวัยหลายมื้อล่ะ พอเราจอดจักรยานปุ๊บทุกคนหันมามอง ไม่ใช่ หันมาจ้องเสียมากกว่า อืม..มีคนมาจ้องเรา เราก็ผงกหัวทักทาย โน..ไม่มีใครพูดอะไรและยังคงจ้องอยู่อย่างนั้น นี่เขาไม่มีมารยาทตามมาตรฐานของเราหรือเขาช่างไร้ความรู้สึก งง…
2-3 วันที่ปั่นในจีนมีแค่ไม่กี่คนที่โบกมือให้ มีรถยนต์คันนึงส่งเสียงวู้ ๆ มา ส่วนใหญ่บีบแตรแต่ไม่รู้ความหมายว่าไร เราไปเกะกะเขาหรือเขาทักทายเรา. อืม.. หาทราบไม่ ถ้าเป็นที่ประเทศสถานทั้งหลายเรายกและโบกมือทักทายกันจนเมื่อย ที่จีนแรก ๆ เราก็ทักทาย หลัง ๆ เริ่มเบื่อเหมือนกันนะ ทักแล้วไม่ทักตอบอ่ะ แต่เริ่มสังเกตุว่าบางครั้งเขาแค่ยิ้มให้ เคยลองตะโกน “หนีห่าว” แต่ยังไม่ได้ผล เฮ้อ.. ไม่ทักก็ไม่ทัก ร้านขายของส่วนใหญ่เป็นของชาวอูกูร เราเดินเข้าไป แล้วทักเขา “ซาลัม” เขาดูจะชอบใจนะ เห็นหน้าเราจีนแต่ดันทักแบบนั้นมั้ง 🙂
วันที่สองที่ปั่นออกจากอาร์ทุคมันช่างน่าเบื่อ ลมมาเฉียง ๆ ด้านหน้า ทำความเร็วได้บ้าง แต่ไม่ได้อย่างที่คิด ยิ่งปั่นบนทางไฮเวย์เก่ายิ่งน่าเบื่อ รถบรรทุกรถยนต์ขับกันแบบเอาเป็นเอาตายมาก แซงได้เป็นแซง มีครั้งหนึ่งแซงซ้อนกันมาเลย สามคันเรียงหน้ากระดาน เราต้องปั่นออกไปชิดเกือบตกถนน เฮ่อ… คืนนี้เป็นคืนแรกที่กางเต้นท์ที่จีน เมื่อคืนฝนตกลมแรง เรานึกว่าฝนตกก็ดีจะได้ล้างเต้นท์ไปในตัว แต่มันยิ่งเลอะเป็นจุด ๆ ทั่วเต้นท์เลย ตื่นเช้ามาไม่อยากออกนอกเต้นท์เลย เพราะฝนตกยังคงตกและลมยังแรงอยู่ ลากจักรยานกันออกมาแล้วออกเดินทางต่อ เส้นทางไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แค่อากาศที่แย่ลมแรงและฝนตก แต่ก็ยังปั่นกันได้ตั้ง 120 กม. คิดดูถ้าตามลมคงไปได้อีกหลายสิบโล 😉
จากคัชก้าไปเมืองอัคสุ (Aksu) ที่เราจอดอยู่่นี่ระยะทางประมาณ 460 กม. เราวัดระยะทางจากเส้นทางไฮเวย์เก่า หรือเป็นเพราะเราปั่นอยู่บนทางหลวงที่ยังไม่เปิดให้ใช้บริการ มันเลยไกลกว่าหรือปล่าไม่รู้สิ เช้าวันที่สามเราพยายามหาทางขึ้นไปปั่นที่ไฮเวย์ใหม่ เพราะรู้สึกว่าไม่ต้องมากังวลกับจราจรที่คับคั่ง เพราะไฮเวย์ที่เราหาทางขึ้นไปนั้นยังไม่เปิดให้ใช้ จากที่ตั้งแคมป์ที่สองเราปั่นบนนไฮเวย์มาตลอดทางจนเกือบถึงเมืองนี้ “อัคสุ” ถนนดี อากาศเป็นใจ เราปั่นกัน 200 โลนิด ๆ คิดว่าปั่นอีกนิดจะได้พักที่โรงแรมท่ีดีหน่อย ดีกว่านอนเต้นท์คืนแล้วค่อยนอนโรงแรม แต่ก็เหนื่อยเอาการเหมือนกัน เลยพักกันที่นี่ 2 คืน
จีน => Aksu (อัคสุ) ไป Wu Than (อูฐาน)
เราพักที่โรงแรมสี่ดาว ตอนแรกไม่เห็นเพิ่งมาเห็นตอนที่ข้ามไปกินข้าวอีกฝั่งหนึ่ง แต่พอเช็คราคาแล้วก็โอเค พอตื่นเช้าขึ้นมารู้สึกเจ็บคอมากขึ้น เลยคิดว่าน่าจะอยู่ต่อให้อย่างน้อยคอหายเจ็บก็ยังดี สรุปอยู่ที่อัคสุกัน 4 วัน 3 คืน เข้าจีนมาตั้งแต่วันแม่เพิ่งมีเมื่อวันที่ปั่น 200 โลเข้าเมืองอัคสุ (Aksu) และวันนี้มาที่เมืองนี้อูฐาน (Wu Than) ที่ลมเป็นใจ
เราเช๊คเอาท์ออกจากโรงแรมบ่ายกว่า ๆ เริ่มปั่นก็ปาเข้าไปสองโมง ไม่รู้เป็นอย่างไรเราทั้งสองคนรู้สึกเหนื่อย ๆ เนือย ๆ ไม่ค่อยอยากปั่น อยากพัก หรือเป็นเพราะเราพักมาเยอะ แบตฯเลยหมด หรือว่าใช้ไปจนหมดเกลี้ยงเลยต้องชาร์ตนานขึ้นอีกหน่อย เฮ้อ… แต่ด้วยความว่าวีซ่าเรามีอายุแค่ 2 เดือน คิดว่าต้องต่ออายุครั้งหนึ่งจะได้เพิ่มอีก 1 เดือน และความท่ีจีนเป็นประเทศที่ใหญ่และมีเขาสูงตามเส้นทางที่เราตั้งใจจะปั่นผ่าน เลยรู้สึกว่าไม่ควรจะโอ้เอ้
วันนี้เราได้ข่าวดีจากลูกพี่ลูกน้องของโจคิมว่าเขาจะมาปั่นด้วยกันกับเราเส้นทางหนึ่งในจีนน่าจะประมาณคุนหมิง เราจะพยายามนัดกัน ไม่ใช่ เราจะพยายามไปให้ถึงคุนหมิงก่อนที่เขาจะมาถึงมากกว่า เพราะเส้นทางอีกยาวไกล คงต้องหาแรงกระตุ้นจากทางใดทางหน่ึง เฮ้อ.. ต้องควานหากันต่อไป
ตอนเช้าเราดูแผนที่กันมีสองเส้นทางให้เลือกคือเส้นทางเก่าและไฮเวย์ ซึ่งจริง ๆ ไม่อนุญาติให้จักรยานและมอเตอร์ไซค์ขึ้น แต่เราเห็นมอเตอร์ไซค์ขึ้นไปตั้งหลายคันและเพื่อนชาวสโลเวเนียเคยบอกไว้ว่าปั่นได้ไม่มีปัญหา คาดว่าทางด้านตะวันตกนี่ยังไม่ค่อยมีจราจรคับคั่งเท่าภาคอื่น ๆ ของจีน เราปั่นผ่านจุดชำระค่าผ่าน คนเก็บเงินแค่พยักหน้าหรือทำสัญญาณให้เราปั่นชิดขวาเข้าไว้ จริง ๆ เราไม่ค่อยอยากปั่นทางไฮเวย์เพราะทางจะตรง ตรง มาก ๆ และจะไม่ได้เจอผู้คนหรือผ่านหมู่บ้านเมืองไหนเลย แต่ด้วยว่าเวลามันเดินไปเร็วเหลือเกิน ทำให้เราต้องรีบไปโดยปริยาย ไฮเวย์ตรงนี้เปิดใช้มานานเพราะฉนั้น มันไม่ใช่ของเราเท่านั้น ไม่เหมือน 2-3 วันที่แล้วที่ปั่นจากคัชก้ามาอัคสุ ปั่นเสียกลางถนนเลย
ปั่น ๆ อยู่ เอ๊ะ..เสียงอะไรนะโจคิม อีกแล้ว แบนอีกแล้ว โธ่..อีกแค่กม.เดียวจะถึงปั้มแล้ว เพราะเราตั้งใจจะไปที่นั่นเพื่อเติมน้ำมันไว้ใช้ทำครัว เลยต้องหยุดเพื่อปะยางกันก่อนที่ข้างทาง พอดีที่ตรงนั้นเปิดรั้วเลยได้เดินลงไปปะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน คนยางแบนก็โมโห เพราะแบนได้เรื่อย ๆ แบนจนเลิกนับเลยแหละ ปะกันเสร็จเราก็ปั่นไปที่ปั้ม ถามเขาว่าจะเติมน้ำมัน ตอนแรกเขาบอกว่าเติมไม่ได้หรอก ขวดน้ำมันเราเล็กนิดเดียว แต่มีเด็กปั้มคนหนึ่งคิดออกว่าจะทำอย่างไร เขามาถามเราว่าจะเติมเท่าไหร่ เราไม่เคยเติมนี่นาไม่รู้ว่าเท่าไหร่ อ่ะ..งั้นเติม 10 หยวน อึ๋ย..เห็นเขากดน้ำมันลงไปในกระบวยอันใหญ่ ๆ ของเขาแล้วกว่าจะถึงเลข 10 มันเริ่มเยอะเกิน แล้วมันก็เยอะเกินจริง ๆ ใส่ในขวด Primus ของเราเต็มแล้วยังเหลืออีกเยอะเลย เลยเอาขวดน้ำให้เขาใส่เพิ่มลงไป เผื่อเราเอาไว้ล้างโซ่ก็ยังดี ไม่รู้จะแบกไปได้นานแค่ไหนเท่านั้นเอง เบนซินนี่นาของอันตราย
ได้เวลาออกตัว บ๊ายบายกันไป แต่ปั่นไปได้ไม่กี่เมตร รู้สึกว่ายางหลังมันยังแบน ๆ อยู่นา แบนจริง ๆ ด้วย สองครั้งภายในไม่กี่ร้อยเมตร ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ เราเลยต้องปั่นย้อนกลับเข้ามาที่ปั้มอีกที พอเปลี่ยนยางในเสร็จ อ้าว..เห็นซี่ล้ออันหนึ่งหย่อน ๆ ชอบกล เลยเช็คดูปรากฎหย่อนตั้งหลายอัน ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ หนึ่งให้ช่างที่ชำนาญในการทำล้อตั้งล้อให้ สองปัญหานี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก โจคิมช่างโชคดีอะไรอย่างนี้น้อ กว่าจะปะยางเสร็จกว่าจะแก้ไขซี่ล้อเสร็จ เวลา 19:15 เรามีเวลาปั่นถึง 21:30 ซึ่งพระอาทิตย์จะตกดิน เห็นตึกอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยเดินไปถามเด็กปั้มว่าที่นั่นเป็นโรงแรมหรือเปล่า ดีที่เรามีเน็ตใช้ เลยสามารถเอากูเกิ้ลมาช่วยแปลได้ เขาบอกว่าที่นั่นไม่ใช่โรงแรม แต่บอกให้เราปั่นลงไฮเวย์ไปทางขวามือแล้วเลี้ยวซ้ายไปเมืองอูฐาน ที่นั่นจะมีโรงแรม ตอนแรกคิดว่าจะได้กางเต้นท์เสียแล้ว มีโรงแรมก็นอนโรงแรม แต่พอเห็นทางเข้าของโรงแรมก็รู้สึกว่ากางเต้นท์ดีกว่าหรือเปล่าเนี่ย??? พักก็พัก ลดเกรดลงมาเยอะเลยจากสี่ดาวจนมาถึงหาดาวไม่เจอ ยังดีที่มีน้ำร้อนให้อาบ
จีน => จาก Wu Than (อูฐาน) ไป Luntai (ลุนไท)
เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลย เพราะมียุง ไม่รู้มันบินเข้ามาได้ยังงัย นอนเกานอนตบยุงทั้งคืน จนในที่สุด เราต้องเอาเสื้อแจ๊คเก๊ตมาใส่นอน โรงแรม อืม..ที่นี่น่าจะเรียกโรงเตี้ยมเสียมากกว่า บางแห่งในจีนไม่สามารถให้ชาวต่างชาติเข้าพัก และที่นี่น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะเขาไม่ลงทะเบียนชื่อเรา พอเห็นพาสปอร์ตสวีดิชก็คุยกันฉ้งเฉ้งและหันมาบอกเราว่าไม่เป็นไร ดีเหมือนกันค่ะเพราะไม่อยากแบกกระเป๋าลงมาจากชั้น 4 อีก ตอนเย็นเราคิดว่าจะกินอาหารของเขา แต่เขาชี้ให้ไปอีกฝั่งหนึ่ง ก็ดีนะ เพราะดูจากทางหน้าร้านเห็นเขาขายแต่เครื่องในและตีนไก่ ฝั่งโน้นก็ฝั่งโน้นข้ามถนนไปกัน ถนนที่นี่แปลกนะ มีเลนส์อยู่ 4 เลนส์ สองเลนส์ตรงกลางให้รถขับสวนไปสวนมา สวนสองเลนส์ข้าง่ ๆ สำหรับจักรยาน มอเตอร์ไขค์และรถม้า สองเลนส์ข้าง ๆ นี่แหละที่ต้องระวังเพราะรถมากันทั้งสองทาง ต้องหันซ้ายหันขวาอยู่หลายรอบก่อนจะก้าวเท้าออกไป
เจอคนแก่หน้ารร. เขาถามเราพยายามคุยกะเขา มีคนแก่ที่ปั่นจักรยานดูหน้าตาแกก็ช่วยพยายามด้วยเหมือนกัน แกทำปากห่อ ๆ น่าจะทำตามเรา 🙂 อีกคนนึงมายกจักรยานดูว่าหนักแค่ไหน อีกคนบอกว่าให้ปิดไฟท้าย ช่วยเหลือจริง ๆ แล้วคุณตาทั้งหลายก็ยืนคุยกันจนส่งเราออกจากโรงเตี้ยมนั้นเลย
ออกจากโรงเตี้ยมมาก็หาทางขึ้นไฮเวย์และปั่นบนไฮเวย์ทั้งวันตามลมสบาย ตั้งใจว่าจะปั่นกันสัก 190 ม. แต่โจคิมยางแบนเสียก่อน ตอนนั้นก็เริ่มจะค่ำ เลยลองเช็คดูว่ามีรร.แถวนั้นมั้ย มีห้องพักนะแต่ไม่มีน้ำแต่เขาก็ยังจะเก็บราคาเท่าเดิม เลยปั่นไปหาที่กางเต้นท์กัน เพราะที่อยากเช็คอินเข้าโรงแรมก็เพื่อต้องการอาบน้ำ แต่ถ้าไม่มีน้ำก็นอนเต้นท์ดีกว่า ถ้างั้นเราไปที่ปั้ม ไปเอาน้ำจากก๊อกน้ำเขาแล้วไปอาบที่จุดกางเต้นท์ก็ได้ พอไปถึงปั้มถึงได้เข้าใจว่าที่เขาพยายามบอกเรานั้นคือ “วันนี้น้ำไม่ไหล” เพราะที่ปั้มไหลช้ามากแต่ก็ยังมีให้ได้ลองสัก 6 ลิตร เราซื้อซิมของจีนใส่ในไอโฟนของโจคิม ทำให้เราได้กูเกิ้ลมาช่วยแปล แต่เป็นการแปลทางเดียวคือจากเรา เพราะฉนั้นเวลาเขาพูดอะไร เราจะไม่เข้าใจ ต้องใช้จินตนาการเอาละค่ะ หาที่ได้แล้วพอตั้งเต้นท์เสร็จฝนเริ่มตก
ออกจากที่กางเต้นท์ก็หันหน้าเข้าหาถนนใหญ่ทันทีเพราะต้องการทำเวลาอีกอย่างแถวนี้ก็ไม่มีอะไรน่าดู ภูมิประเทศไม่ค่อยปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ อากาศสลัว ๆ แดดไม่ร้อน ช่วงนี้เลยไม่ค่อยถ่ายรูป เพราะไม่มีอะไรจริง ๆ ตามถนนไฮเวย์นี้มักจะมีจุดพักเป็นระยะ ๆ เราเลยปั่นไปหาน้ำเอาข้างหน้า แต่เกิดอาการกระหายน้ำเสียก่อนเลยพยายามสอดส่องหาช่องทางที่มีคนมาเปิดไว้ เพราะตามถนนไฮเวย์จะมีรั้วลวดหนามยาวตลอดทั้งสาย พอเห็นช่องหนึ่งที่ถูกเปิดโดยมีทรายมากองไว้เป็นภูเขา รถไม่สามารถขึ้นได้ แต่เราเดินลงไปได้ เวชเลยเดินข้ามไปซื้อน้ำที่ปั้ม พอถามเด็กที่ร้านว่ามีน้ำมั้ยเขาชี้เข้าไปในร้านแต่ไม่เห็นว่าจะมีตู้เย็นเหมือนร้านค้าทั่ว ๆ ไปแล้วเขาก็เดินตามหลังมา บอกว่ากดน้ำจากเครื่องได้เลย เอาอย่างนั้นเลยรึ? เรามีถุงน้ำติดตัวมาด้วยจุ 4 ลิตร เขาหยิบมาให้อีก 2 ขวดเล็ก ๆ จากในตู้เย็น เกรงใจเลยขอซื้อน้ำอัดลมเขามา พอจะเอาของใส่ถุง นั่น…ยังหยิบผลไม้มาให้อีก น่ารักจริง ๆ
ปั่นบนไฮเวย์ดีตรงที่เราไม่ต้องเช็คเส้นทางบ่อยและได้ระยะทาง แต่ที่ไม่ดีก็ตรงที่ห่างไกลร้านค้าเพราะฉนั้นเราต้องตุนเสบียงเล็กน้อย ช่วงนี้เราปั่นอยู่บนถนนไฮเวย์ทั้งวัน ไม่ค่อยเจอผู้คนสักเท่าไหร่ จะได้เจอและพูดคุยบ้างก็ตอนที่เรามาถึงจุดจอดพักรถ เพราะส่วนใหญ่คนแถวนั้นจะเอาอาหาร ผลไม้ ของแห้งมาขาย และน้ำด้วย เรามาแวะร้านคุณลุงคนหนึ่งซื้อน้ำและผลไม้แห้งไว้กินระหว่างทาง พอจ่ายเงินเรียบร้อย คุณลุงทำท่าว่าให้รอก่อนและเดินไปเลือกแคนตาลูปลูกขนาดย่อม ๆ มาให้เรา ขอบคุณค่ะ! แบกกันมาอีก 20 กม.กว่าจะถึงจุดจอดพักรถ ที่นั่นเขาจะมีบริการห้องน้ำ ร้านค้า ร้านอาหาร แต่พอเรามาถึง เปล่า… ยังสร้างไม่เสร็จ มีร้านอาหารง่าย ๆ และน่าจะเป็นแค่ชั่วคราวอยู่ 2 ร้าน ห้องน้ำไม่มี น้ำก็ไม่มี เราปั่นกันมาทั้งวันก็อยากอาบน้ำเลยต้องซื้อน้ำดื่มมาอาบกัน
ช่วงที่ปั่นอยู่บนไฮเวย์โจคิมยางแบนไปหลายรอบ ส่วนเวชสองครั้งและทุกครั้งจะเป็นยางหลัง ตอนแรกที่แบนคิดว่าโดนหินหรือแก้ว แต่พอสำรวจอย่างละเอียดเราพลาดไป มองไม่เห็นเจ้าเส้นลวดแข็ง ๆ จากล้อของรถใหญ่เวลาที่มันระเบิด ตัวยางนอกมันประกอบด้วยเส้นลวดแข็ง ๆ นี่และพอมันแตก เส้นลวดพวกนี้ก็กระจายเต็มพื้นถนน รถใหญ่ ๆ ก็ไม่มีปัญหา แต่เราสิ ปัญหาใหญ่เลย ปั่นได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องมานั่งปะยางอีกแล้ว ครั้งล่าสุดของโจคิมเราเจอเส้นลวดเส้นเล็ก ๆ นี่ 4 ชิ้นจิ้มอยู่