บล๊อคนี้มาข้ามประเทศเลยละกันนะค่ะ ตั้งแต่เข้าเขตมณฑลสิบสองปันนา รู้สึกสดชื่นเพราะทั้งร่มร่ืนและผู้คนท่ีน่ารักร้องทักทายตลอดทาง เราเลือกเส้นทางท่ีเลียบกับทางด่วนและเลือกไม่ผิด รถราก็น้อยมาแทบจะไม่มี ไม่ต้องปั่นลอดอุโมงค์ เขาสูงก็จริง แต่ธรรมชาติเทียบกันไม่ได้ และยิ่งมีกเรต้ามาป่ันร่วมทางด้วย สมควรท่ีจะปั่นบนทางธรรมดา ปั่น ๆ อยู่ก็มาเจอจักรยาน Recumbent Paul = พอล เป็นชาวฝรั่งเศส เขาบอกว่าเห็นเราแล้วเลยหยุดเพื่อท่ีจะทักทายกัน เป็นคนฝรั่งเศสท่ีพูดภาษาอังกฤษได้คล่องอย่างไม่น่าเชื่อ 😉 เราเลยปั่นร่วมกันจนมาถึงเมืองหนึ่ง จากนั้นตอนเช้าเขาต้องรีบไปขึ้นรถทัวร์เพราะวีซ่าจีนของเขาหมดอายุ ก็แยกกันวันนั้น
ได้กเรต้ามาเป็นทั้งเพื่อนร่วมทางและช่างกล้องด้วยเลย
ระหว่างทางและหมู่บ้านริมทางท่ีค่อนข้างเรียบง่าย
เราแวะดื่มน้ำกัน กเรต้าเห็นผลไม้หล่นอยู่ท่ีพื้น สงสัยเลยเอาขึ้นมาแกะออกดู ปรากฎว่ามันเป็นเสาวรส อร่อยดีไม่เปรี้ยวเท่าไหร่ ไม่รู้เลยนะนี่ว่าต้นมันจะใหญ่ขนาดนี้ ในท้องตลาดเราจะเห็นเปลือกมันเป็นสีเข้ม ๆ เหี่ยว ๆ
อย่างท่ีเคยเล่าให้ฟังว่าสิบสองปันนาให้ความรู้สึกเหมือนถึงเมืองไทยแล้ว ทั้งคนและบรรยากาศ มาถึงตรงนี้ต้องทั้งสถาปัตยกรรมด้วย ประตูทางเข้าหมู่บ้านและศาลาพักร้อน
ตลอดทางมานี่ ถ้ามีเวลาคงได้ถ่ายรูปกันจนการ์ดความจำเต็มแน่ ตอนปั่นขึ้นก็รู้สึกเหนื่อย จราจรท่ีไม่คับคั่งทำให้เราสามารถปั่นไปคุยกันไปได้ แถมอยากจะหยุดทำธุระส่วนตัวหรือชมวิวตรงไหนก็ได้เช่นกัน ตอนอยู่ท่ีจีน นึกปวดก็หยุดและหาท่ีแถว ๆ นั้น แต่อยู่ตรงนี้รู้สึกเกรงใจชาวบ้านนิดหน่อย เพราะท่าทางเขาถึือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ควรปกปิดบ้างไม่เหมือนคนจีน นึกจะนั่งก็นั่ง ขนาดมีต้นไม้ใหญ่ท่ีสามารถช่วยบังให้ได้ เขายังไม่ยอมใช้บริการนั้นเลย เราก็อยากจะปกปิด แต่ทางตรงนี้ก็หาท่ีทางยากหน่อย เพราะด้านหนึ่งเป็นเขา อีกด้านหนึ่งเป็นเหว อาศัยว่ารถน้อยก็ค่อยยังชั่วหน่อย
นาน ๆ ทีจะมีรูปคู่ ต้องขอบคุณกเรต้าท่ีมาร่วมวงกับเรา
ยิ่งใกล้ชายแดน ป้ายบอกทางท่ีเป็นภาษาจีนก็ค่อยลางเลือนไป กลายเป็นภาษาไทยและลาว
ถ่ายรูปกับชายแดนเสียหน่อย และตรงนี้เองท่ีเวชเปลี่ยนหนังสือเดินทางจากสวีดิชเป็นไทย คนไทยเข้าลาว ถ้ามีหนังสือเดินทางไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และสามารถอยู่ได้ถึง 1 เดือน
กเรต้าอยากลองนอนวัด หลังจากผ่านชายแดนเข้ามาแล้ว พอมาถึงหมู่บ้านน้ำมอ เราเห็นวัดอยู่แห่งหนึ่งแต่ต้องปั่นขึ้นเขาไป เลยลองไปอีกวัดหนึ่ง แต่พอเดินขึ้นบันไดท่ีหลายขั้นพอเมื่อย ไปถึงก็ได้รู้จากเด็ก ๆ ว่าวัดปิดและไม่รู้จะเปิดอีกเมื่อไหร่ เลยเดินลงมาและไปนอนท่ีเกสต์เฮาส์แทน
ท่ีพักท่ีแรกในลาว เจ้าของท่ีพักเขามีลูกอยู่ 4 คนเรียนกันดี ๆ ทั้งนั้น แถมยังมีสวนยางอีกตั้ง 20,000 ต้น เลยบอกเขาว่าเขารวยกว่าเราอีกลดค่าห้องอีกละกัน 😉
อาหารไทย-ลาวมื้อแรก รสสาดไทยแท้ มื้อนี้สั่งพื้น ๆ ไข่เจียว ผัดผักและแกงจืด ข้าว 3 จาน พอคิดเงิน 80,000 กีบ เป็นเงินไทย = 320 บาท คิดว่าแพงนะ ถ้าเราไปกินตามต่างจังหวัดบ้านเราไม่น่าจะถึง ข้าวผัดจานหนึ่งราคา 15,000 กีบ = 60 บาท จานนี้ผัดกะไข่ไม่มีหมูไก่นะ
เช้า ๆ อากาศเย็นเหมือนกันนะ ยิ่งต้องปั่นขึ้นเขายิ่งเย็น แต่พอพระอาทิตย์ขึ้นก็ร้อนแต่ยังไม่ร้อนแสบผิวเหมือนบ้านเรา ช่วงกลางวันก็มาเจอเด็ก ๆ เดินกลับบ้านมากินเท่ียงท่ีบ้าน
ได้ยินเสียงใครร้องทักอยู่ข้างหลัง อ้าว..นักปั่นอีกคน ชาวฝรั่งเศส ชื่อ ฟรองซัว ลืมเล่าให้ฟัง เราเจอเขาครั้งหนึ่งท่ีชายแดนจีน-ลาว แต่ตอนนั้นคิดว่าคงใช้เวลา เพราะเขามาตอนท่ีเราได้วีซ่ากันแล้ว เลยปั่นกันออกมาโดยท่ีไม่ได้รอเขา และระหว่างท่ีปั่นก็คิดว่าเขาน่าจะตามเราทัน แต่ไม่อ่ะ มาเจอกันอีกทีตอนเช้า เราเลยปั่นกันเข้าเมืองอุดมชัย เขาพูดภาษาอังกฤษไม่คล่องเท่า ”พอล” ท่ีเราแยกกันท่ีเมืองจีน ฟรองซัวเขาเห็นเราเขาก็รีบตามมาทั้ง ๆ ท่ีกำลังยืนรอแลกเงิน เงินยังแลกไม่ได้แต่ดันตามเรามา เขาบอกให้เรารอ แต่เราไม่มีเวลามากขนาดนั้น เลยบอกให้เขาไปแลกท่ีอีกเมืองหนึ่งก็ได้ ปั่น ๆ ไปหันมาขอน้ำ เอ้า..เทให้ไป ปั่น ๆ ไปหันมาบอกว่าหิว เอ้า..เอาขนมไปกิน กินเสบียงฉันเกือบหมดเลย ทีนี้เราก็หิวเลยต้องหยุด อีตานี่ไม่มีเงินอีก มันเดินทางยังงัยของมันนี่ ไม่มีเงิน ไม่มีอาหาร แถมไม่มีเงินอีก เอ้า..ออกให้ก่อนก็ได้ มื้อนี้กินกันเกือบสองแสน
ท่ีจริงเขาปั่นเร็ว เราก็ปล่อยให้เขาปั่นของเขาไปส่วนเราปั่นกันไปเรื่อย ๆ เขาหยุดรอ ปรากฎว่าเขาอยากมีเพื่อนปั่นเพราะไม่ได้ปั่นร่วมกับใครมานานเป็นเดือน ประมาณว่ากลัวน้ำลายบูด เข้าใจเลยอ่ะ เพราะเขาพูดไม่หยุด แค่ฟังยังเหนื่อย พอถึงเมืองอุดมชัย เราเห็น ATM เลยไล่ให้ไปกดตังค์ ถามนะว่าอัตราแลกเปลี่ยนเท่าไหร่ พอเดินกลับมากดมาแค่ 20,000 (สองหมื่นกีบ) เอ้า ๆๆ ท่ีกินไปนะเกือบสองแสน เงินสองหมื่นได้กาแฟ 4 ถ้วยเองนะเว้ย ค่าธรรมเนียมท่ีกดสองหมื่นออกมาน่าจะแพงกว่าเงินท่ีได้อีกละมั้ง มันบ้า!!! เราเลยขอตัว จริง ๆ ก็คิดว่าจะปั่นไปอีกหน่อยเพื่อย่นระยะทางเข้าหลวงพระบาง แต่เผอิญเห็นวัดอยู่ข้างทาง เลยลองเดินขึ้นไปขอกับเจ้าอาวาส ท่านก็อนุญาติให้นอน เลยขึ้นไปนอนบนหอระฆังชั้นสามเลย
ก่อนหน้านั้นเคยคุยกับกเรต้าว่า ต้องมีสักครั้งหนึ่งท่ีเราต้องเอาตัวลงไปจุ่มในแม่น้ำโขง และวันนั้นเองเราได้ทั้งนอนวัดและได้อาบน้ำในแม่น้ำโขง สมใจเราทั้งสองประการ ดีใจท่ีสามารถจัดให้กเรต้าได้สมใจ
วัดในตอนเช้า
ถ่ายรูปกับเณรด้านหน้าโบสถ์
วันนี้เราปั่นกันเรื่อย ๆ ตามสไตล์ เห็นป้ายบอกทางเข้าน้ำตกแค่ 200 เมตร เอ๊ะ..มีเวลาเหลือนี่ ลองเดินเข้าไปดูกัน เป็นน้ำตกเล็ก ๆ ระหว่างทางท่ีเดินเข้าไปเห็นงูด้วย ตามถนนก็เห็นงูแผ่นอยู่หลายแผ่นเหมือนกัน ทั้งท่ียังสด ๆ และท่ีแห้ง ๆ
เดินกลับมาท่ีจักรยานท่ีฝากเขาไว้ ฝากจักรยานเขาก็เลยอุดหนุนซื้อน้ำกับเขา จ๊ะเอ๋กับคนฝรั่งเศส ไม่ใช่ฟรองซัวแต่เป็นพอล และพอลก็ได้เจอกับฟรองซัวท่ีเมืองอุดมชัยท่ีเราแยกกับเขาด้วย ก็เลยร่วมทางกันอีกครั้งหนึ่ง สู่หลวงพระบาง
โฉมหน้าของหนุ่มน้อยพอล
พอมีกเรต้ามาร่วมปั่นด้วย การเตรียมตัวของเราก็เปลี่ยนไป จากท่ีเคยตุนสารพัดกลับไม่มีอะไรสักอย่าง เวรกรรม!!! วันนี้เราว่าจะหาซื้อแต่ไม่มีร้านใหญ่ ๆ เหมือนในเมืองจีน ปั่นผ่านหมู่บ้านหนึ่ง เห็นสาวม้งเดินออกมา เลยถามเขาว่าทางข้างหน้ามีร้านขายข้าวมั้ย? เขาบอกว่าไม่มี เวลาก็เริ่มสายแล้วนะ เลยขอให้เขาทำข้าวผัดให้กิน สาวม้งอายุแค่ 18 ปีมีลูก 2 คนเล็ก ๆ เราก็รีบลูกเขาก็ร้อง เลยเข้าครัวเองเสียเลย กินกันตามมีตามเกิดนะเพื่อน ๆ
ในท่ีสุด เราก็มาถึงหลวงพระบางครั้งท่่ีสองหลังจากเมื่อ 8 ปีท่ีแล้ว เปลี่ยนไปมากมาย นักท่องเท่ียวมากขึ้น ท่ีพัก เกสต์เฮาส์ ร้านอาหารก็ทำกันอย่างแปลกแหวกแนว ไม่ใช่สไตล์ลาวเลย และนี่คือท่ีพักเรา ชอบนะเพราะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน เข้าซอยลึกหน่อยแต่ทำให้ไม่ได้ยินเสียงจากรถจากท้องถนน สงบติดแม่น้ำคาน
และก็ถึงวาระท่ีจะได้พบกับบาเทคอีกครั้งหนึ่ง
อยู่ในหลวงพระบางเราไม่ได้ไปในสถานท่ีท่ีเป็นสถานท่ีท่องเท่ียวในหนังสือแนะนำ เราพักผ่อนกันเสียส่วนใหญ่ ปั่นจักรยานออกไปดูบ้านเมืองตามซอกตามซอยด้านนอก เห็นอะไรท่ีแตกต่างจากใจกลางเมือง เสร็จแล้วก็ไปนวดตัวนวดเท้า ไปหาอะไรกิน และยังปั่นผ่านห้องสมุดของหลวงพระบางด้วย ต้องถ่ายรูปเสียหน่อย
และป้ายคนข้ามถนนท่ีดูแตกต่างไปจากท่ีเคยเห็น ๆ มา
วันเสาร์บ่ายสามโมงเราไปส่งกเรต้าขึ้นเครื่อง ร่ำลากันเรียบร้อยก็กลับมาที่โรงแรมจัดการกับสัมภาระ เมื่อคืนมีข่าวว่าพายุไต้ฝุ่นไหเยี่ยนเข้าที่ฟิลิปปินส์ และมีแนวโน้มว่าจะพัดเข้าลาวตอนเหนือในอีกวันรุ่งขึ้น เราก็ไม่อยากติดพายุอยู่ที่ลาวนี่เลยรีบกัน โชคดีที่พายุอ่อนแรงลงและพัดมาไม่ถึงลาวแต่เข้าเวียตนามแทน ทำให้วันนั้นเราปั่นกันอย่างร่มรื่นเพราะมีเมฆหมอกมาบังพระอาทิตย์ให้ เรารู้ว่าเราจะต้องไต่ข้ึนลงเขาอย่างน้อย 2000 เมตร เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่ที่ไม่ได้เตรียมคืออากาศที่ร้อน คิดว่าที่อุซเบกฯ 45-50 องศา ร้อนสุด ๆ แล้วนะ แต่ทำไมที่ลาวถึงได้ร้อนกว่านัก คิดว่ามันร้อนแบบกระทันหันกระมัง จากคุนหมิงที่หนาว ๆ 10-15 องศา พอมาถึงนี่พุ่งพรวดเป็น 30 องศา เช้า ๆ อากาศกำลังสบาย แต่พอแดดออกก็ร้อนมาก
ถ้าเพื่อน ๆ ยังไม่เคยมาปั่นที่ลาว ขอแนะนำนะค่ะ ลาวสวยมาก ขุนเขามากมาย ถนนจะชันกว่าที่เมืองจีน ขึ้น ๆ ลง ๆ เกือบตลอดทาง ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส ทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่ร้องทักสวัสดี ปั่นไปยิ้มไป มีที่ประทับใจคือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินกลับจากไปซื้อขนมมั้ง มือข้างหนึ่งถือถุงขนมอีกข้างหนึ่งถือร่ม พอเราปั่นมาใกล้ เด็กน้อยคนนี้เขาเอาร่มมาเหน็บที่คอแล้วเอามือที่เคยถือร่มมาโบกมือทักทายเรา น่ารักจริง ๆ อีกครั้งหนึ่งคือเด็กผู้ชาย กำลังเล่นเอาไม้ยาว ๆ เขี่ยอะไรอยู่ที่พื้น เขาทักทายเราโดยย้ายไม้ยาว ๆ นั้นไปอยู่ในมืออีกข้างหนึ่งแล้วโบกมือให้เรา เมื่อวันก่อนเวชมีถุงขนมเหน็บไว้ที่ท้ายรถ มีเด็กปั่นจักรยานสองคนมา เห็นแค่ถุงเขาสามารถรู้ได้ว่าเป็นขนม ร้องขอ เวลาที่เขาขอเราไม่ค่อยอยากให้อ่ะ และมีบางครั้งที่มีเด็กร้องขอเงิน แต่ไม่บ่อยเท่าเพื่อนคนโปแลนด์เจอ เขาถึงกับเบื่อเลย
จากหลวงพระบางไปเวียงจันทน์ระยะทาง ประมาณ 380 กม.พวกเรากะผิดไปหน่อย underestimate ดีที่พายุมาช่วยเร่งเราไม่อย่างนั้นคงเอ้อละเหยลอยชาย โดยเฉพาะเวช 😉 ก่อนกเรต้าเดินทางกลับ ท้องเสียและวันต่อมาก็มีไข้ กินยาเข้าไปก็เลยรู้สึกดีขึ้น แต่พอเราปั่นออกมาถึงหมู่บ้านกิ่วกะจำ โจคิมเริ่มรู้สึกเหมือนจะเป็นหวัดและต่อมาก็เริ่มมีไข้เช่นกัน เลยต้องจอดรอดูอาการอยู่ที่โรงแรมง่าย ๆ ที่หมู่บ้านนั้น ต้องกินยาล่ะ วันรุ่งขึ้นดีขึ้นทันตา อึดเหมือนกันนะเนี่ย สามีใครหว่า 😉 ปั่นขึ้นภูคูนกัน ทางสวยมาก หารายละเอียดเกี่ยวกับภูคูนไม่ได้ เลยไม่รู้ว่าเขาไปเที่ยวอะไรกัน นอกจากปั่นมาถึงตรงที่เขาทำที่จอดให้ชมวิว ได้ถามไกด์สาวคนหนึ่งเขาบอกว่าเขาที่เห็นนั่นคือ ภูเพียงฟ้า
หลังจากจุดชมวิวนั้นก็ไหลลงมาอย่างสนุก ถนนพับไปพับมา รถราเริ่มเยอะเพราะใกล้สถานที่ท่องเที่ยวละมั้ง แต่ไม่เยอะอย่างที่คิดว่าจะไม่ปลอดภัย หลังจากนั้นเราก็ตั้งหน้าตั้งตาปั่นกันอย่างเพราะกลัวว่าจะเข้าเวียงจันทน์ไม่ทันไปยื่นขอวีซ่า อากาศที่ร้อนเลยไม่ค่อยอยากอาหาร อีกอย่างโจคิมรู้สึกอึดอัดที่ท้อง เขาไม่ค่อยอยากอาหารเข้าไปอีก เวชเลยต้องรับช่วงจัดการจานของเขาด้วย 😉 จากหมู่บ้านกิ่วกะจำ เราตั้งใจจะปั่นไปให้ไกลหรือเท่าที่เวลาจะอำนวย แต่กลายเป็นว่าเท่าที่ร่างกายจะอำนวย เพราะโจคิมเริ่มรู้สึกเหนื่อยและไม่ไหว เราด้วย เลยลองแวะถามน้องที่ร้านขายน้ำปั่นข้างทาง ถามหาที่พัก น้องว่าเลยมาแล้วหรือไม่อย่างนั้นก็ต้องปั่นไปอีก 25 กม. ได้ยิน 25 กม.ก็หมดลม เลยขอน้องดื้อ ๆ ว่าขอนอนข้าง ๆ บ้านตรงที่ว่าง ๆ นั้นได้มั้ย มารู้ชื่อทีหลังว่าชื่อ ปานี น่ารักมากเลย ปานีบอกว่าเข้าไปนอนในบ้านเลยก็ได้
เห็นปานีแล้วทำให้นึกถึงน้องอาร์มแต่เสียงหัวเราะนึกถึงน้องณัฐ เจ้าหนูน้อย ”วา” ไม่รู้กลัวอะไรป้าเวช เห็นหน้ากันเป็นร้อง แต่เช้าอีกวันเริ่มยิ้มให้นิด ๆ นิดเดียวเอง ให้นอนแล้วยังทำอาหารเลี้ยงอีก ปานีกลัวว่าเขาจะทำอาหารได้ไม่อร่อยถูกปาก เลยจะให้เวชทำ แต่ทำไปทำมาก็กลายเป็นปานีที่ทำ
เช้ามาเราออกกันแต่เช้า ปานียังอุตส่าห์ต้มไข่หุงข้าวเหนียวให้เอาไปกินระหว่างทางอีกด้วย น่ารักจริง สักวันหนึ่งจะกลับไปเยี่ยมอีกครั้งหนึ่ง จากบ้านของปานีอีกตั้งเกือบ 200 โลเข้าเวียงจันทน์ ครั้งนี้เราเอาเวลามาเป็นตัวกำหนด จอดพักไม่นาน ช่วงนี้ไม่ค่อยอยากอาหารเพราะร้อน พักที่ไหนก็น้ำดื่มเย็น ๆ ทำถุงแขนและถุงมือให้เปียก เปียกแล้วปั่นสบายหน่อย เย็นนิด ๆ ช่วงนี้พระอาทิตย์ตกดินเวลา 17.30 มีหมู่บ้านแน่นขึ้น ทำให้เราหาที่พักได้ไม่ยาก เลยพยายามปั่นกันไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมืดเลยว่างั้นเหอะ
ตื่นกันตั้งกะตีห้า ออกจากที่พักกันยังไม่สว่างเลย เพราะเหลืออีก 50 โลที่จะปั่นเข้าเวียงจันทน์ เราอยากจะยื่นเรื่องขอวีซ่าและอยากได้หนังสือเดินทางคืนวันศุกร์เพื่อที่จะปั่นข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเช้าวันเสาร์ ขาเข้าเวียงจันทน์ทางเริ่มราบเรียบขึ้นลงเล็กน้อย ลาวทั้งน่าเที่ยวและน่าปั่น แต่ติดที่ว่าค่าครองชีพเขาค่อนข้างสูงเนอะ ผัดผักรวมราดข้าวที่กินเมื่อกลางวันนี้ราคา 20,000 กีบ = 80 บาท ท่าทางไปซื้อของสดมาทำน่าจะถูกกว่าเยอะ ลาวเป็นประเทศที่ไม่อยู่ติดทะเล ภาษีขาเข้าเลยสูงคงอย่างนี้แหละเนอะ
ตอนปั่นเข้าเวียงจันทน์ ช่วงที่ติดไฟเขียวไฟแดง ว้าว…ไม่ได้ติดไฟแดงมานานแสนนาน แล้วจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียง ”ฮัลโหล” ดังมาจากด้านหลัง เอ่…หันไปก็เจอนักปั่นท่านหนึ่ง มาทราบชื่อทีหลังว่า ”ลุงโพ” คุณลุงเห็นเราปั่นผ่านหน้าบ้านเลยตามกันมา ปั่นมาส่งถึงหน้ากงศุลไทย คนเยอะมาก โจคิมเข้าไปยื่นเอกสาร ส่วนเราต้องรออยู่ด้านนอก เพราะเขาไม่ให้เอาจักรยานเข้าไป เลยได้ยืนคุยกับคุณลุงโพ ช่างแข็งแรงเสียจริงอายุเกือบจะ 70 ปี แล้ว ยังได้เคล็ดลับเรื่องสุขภาพมาด้วยอีกน่ะ
เมื่อ 8 ปีที่แล้วได้มาถ่ายภาพตรงนี้ แต่วันนี้มีเรา 2 คน ใกล้บ้านเข้ามาทุกที ตื่นเต้น ๆ ๆ
เสียดายเนอะ งูแผ่นไม่เหมือนหมูแผ่น ไม่งั้นคงประหยัดค่าข้าวไปได้หลายมื้อ ก๊าาาก
ป้ายถนนเป็นภาษาไทยกับภาษาลาวเป็นเรื่องใหม่ เราเพิ่งรู้จากเวชนี่ล่ะ ล้ำเนอะ
วันนั้นทั้งวันตื่นเต้นกับป้ายและบ้านเรือนเขาที่ดูเหมือนไทยสมัยโน้น อิอิ
ตื่นเต้นแทนพี่เวชจังเลย ใกล้ถึงบ้านแล้ว เมื่อเราได้เห็นรอยยิ้มและคำทักทายอย่างเป็นกันเองระหว่างทางเป็นเหมือนกำลังใจและมีแรงปั่นกลับบ้านเนอะ เสียดายตอนที่พี่ๆ มาถึงกรุงเทพฯ เราดันต้องเดินทางจากภูเก็ตขึ้นพะเยาและเชียงใหม่พอดี สวนทางกันจ้ะ แต่จะติดตามการเดินทางของพี่เวชเรื่อยๆ นะคะ
เสียดายจังที่เอจะขึ้นไปทางเหนือ น่าจะแวะกรุงเทพฯ สักวันหนึ่งก่อนนะ วันที่ 30 พย.น่ะค่ะ
เสียดายจังที่วันที่ 30 พ.ย. ต้องไปถึงเพชรบูรณ์แล้วค่ะ อาจจะแวะได้ตอนขากลับค่ะ หรือถ้าไม่อย่างขอที่อยู่พี่เว๙ที่กรุงเทพฯนะคะ จะได้ส่งของฝากแบบออกานิคล้วนๆ ไปให้ค่ะ
กลับภูเก็ตหรือยังคะ? เอส่งที่อยู่มาให้พี่เวชละกันนะค่ะ เดี๋ยวพี่เวชส่งเสื้อยืดไปให้ค่ะ เพื่อนพี่เขาทำให้และเพื่อแจกเพื่อน ๆ ที่ติดตามบล๊อค 😉 😉 เดี๋ยวพี่เวชจะอัพเดทบล๊อคอีกสัก 2 บล๊อคแล้วเอลองเข้าไปดูลายเสื้อนะค่ะ
Trevliga bilder, ikväll hoppas jag få se mer då det kommer att bjudas på älggryta hos kusinen och G med sina barn också skall äta middag och förhoppningsvis visa bilder. Skall bli kul!
Hur orkar mannen på den liggande cykeln ta sig uppför alla branter som ni berättar om? För han måste väl också passera dem? Eller finns det omvägar som man kan ta?
Kramar från mig till er!
Och vi har varit ute och käkat middag med Bartek från Polen som Greta träffade i Luang Prabang. Vi ska ta sällskap över gränsen i morgon men sedan drar han åt ett annat håll.
Liggcykel är i många avseenden en smartare cykelkonstruktion än vanliga cyklar. Deras tillkortakommanden är i stadstrafik, riktigt dålig terräng samt att dom är något långsammare uppför. På platta marken och utför har man ingen chans mot dem till följd av deras betydligt mindre luftmotstånd. Liggcyklister har en bekvämare sittställning och lättare för att se sig omkring.