ลาว => เมืองหลวงเวียงจันทน์ ไป อยุธยากรุงเก่าของไทย

จากโรงแรมนอกเมืองเวียงจันทน์ เราตื่นกันแต่เช้าเพื่อโจคิมจะไปขอวีซ่าไทยให้ทันช่วงเช้า ออกมาฟ้ายังมืดอยู่เลย เรามาทันเวลาอยู่แต่มาช้ากว่านักท่องเที่ยวกรุ๊ปใหญ่ ๆ ไป 2-3 นาที เลยต้องรออยู่นาน เขาไม่ให้เอาจักรยานเข้าไปในเขตสถานฑูต เวชเลยต้องยืนอยู่ด้านนอกเฝ้าจักรยาน โชคดีที่มีคุณลุงโพที่ปั่นตามเรา มายืนคุยเป็นเพื่อน ได้เคล็ดลับดี ๆ ในการดูแลสุขภาพ อยากให้ผู้สูงอายุบ้านเราตื่นตัว และอย่าพยายามคิดว่าตัวเองแก่ แก่เกินที่จะออกกำลังกายแบบนั้นแบบนี้ พูดยากจริง ๆ ยื่นเสร็จแล้วก็มองหาที่พักกัน ช่วงนี้เป็นฤดูการท่องเที่ยวของลาวกระทัง เราได้ห้องสุดท้ายที่เกสต์เฮาส์ที่เราเข้าไปถาม หลังจากนั้นมีรถตู้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมาถามหาห้องพัก เราโชคดีไป

วิวระหว่างทางที่เข้าเวียงจันทน์

วิวระหว่างทางที่เข้าเวียงจันทน์

เราได้เสื้อจักรยานที่อาร์มและก้องเป็นคนออกแบบให้ ส่งมาถึงหนองคาย โดยได้รับความช่วยเหลือจาดหางแฮ้มที่ทำงานประจำอยู่ที่เวียงจันทน่์และที่บริษัทมีข้ามไปหนองคายแทบทุกวัน เราบอกหางแฮ้มว่าจะเข้าไปรับแต่หางแฮ้มน่ารักมากบอกว่าจะเอามาให้ที่ที่พัก ตื่นเต้นได้เห็นเสื้อตัวเอง ต้องขอขอบคุณหางแฮ้มมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ เช้าวันที่เราจะปั่นข้ามสะพานเข้าไทยเราได้ใส่เสื้อที่มีโลโก้ของเราเอง สุดยอด

หางแฮ้มที่ช่วยนำพัสดุของสำคัญมาให้ถึงที่พัก ขอบคุณมากค่ะ

หางแฮ้มที่ช่วยนำพัสดุของสำคัญมาให้ถึงที่พัก ขอบคุณมากค่ะ

อีกวันหนึ่งเราปั่นไปรับหนังสือเดินทางกลับมา เรานัดเจอกับบาเทค เพื่อนนักปั่นชาวโปแลนด์ ปั่นด้วยกันบ้างบางเส้นทาง เราติดต่อกันตลอดทาง sms ไม่เราถามเขา เขาก็ถามเราว่าอยู่ตรงไหนกัน และที่เวียงจันทน์นี้เราก็เจอกันอีก ไปกินข้าวกัน เรานัดกันว่าจะปั่นเข้าเมืองไทยพร้อมกัน ท่าเดื่อทางไปสะพานมิตรภาพนั้นกว้างขึ้นมาก มากกว่าเมื่อ 8 ปีที่แล้วที่เวชกับพวกเพื่อนในแก้งส์ปั่นข้ามไปกัน ทางเข้าไปกองตรวจของลาวก็ดูอลังการกว่าเดิมเยอะ ขั้นตอนในการผ่านแดนง่ายสำหรับจักรยาน แต่ก็งงว่าทำไมเป็นเราที่เดินทางผ่านลาวไปไทยต้องเป็นผู้ที่ต้องจ่ายเงินล่วงเวลาให้เขา 😉

ด้านหน้าเกสต์เฮาส์พร้อมท่ีจะปั่นข้ามสะพานมิตรภาพไปบ้านเรา

ด้านหน้าเกสต์เฮาส์พร้อมท่ีจะปั่นข้ามสะพานมิตรภาพไปบ้านเรา

หลังจากที่ผ่านเข้าไทยมาได้แล้ว ก็มาเจอกับพี่เบน ที่เคยปั่นเที่ยวกันเมื่อปี 2549 นั่งรถไฟมารับและเราจะปั่นเข้ามาที่อยุธยากัน ดีใจอย่างน้อยมีพี่เบนมาสักคนก็ยังดี เราเริ่มปั่นออกจากหนองคายโดยใช้ทางหลวงเพราะเรารีบไปหาเพื่อนทางเวบต์ที่เขาติดตามความเคลื่อนไหวแบบค่อยเป็นค่อยไปของเรา เราโชคดีในเรื่องทิศทางลม อย่างที่คุณธานินทร์เคยบอกไว้ ปั่นมาทางนี้ลมมาเฉียง ๆ ด้านหลัง แดดก็ไม่ค่อยมีเพราะเมฆมาบังให้ ทำให้ปั่นกันสบาย ๆ ความเร็ว 30 – 31 กม/ชม. เล่นเอาพี่เบนเหนื่อยและงงว่านี่คือการปั่นทัวร์ริ่งรึ? ก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ ถ้าเราต้องการจะไปจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง เราจะปั่นกันเร็วโดยที่ไม่มานั่งดูชมนกชมไม้ 😉 ทำไม่บ่อยหรอกค่ะ

ที่ร้านกาแฟที่พี่เบนนั่งรอเราอยู่ฝั่งไทย ถ่ายภาพโดยบาเทค

ที่ร้านกาแฟที่พี่เบนนั่งรอเราอยู่ฝั่งไทย ถ่ายภาพโดยบาเทค

บ้านเพื่อนทางเวบต์ผู้นี้คือหนึ่งในกลุ่มสมาชิกของเวบต์ไซต์ที่คนสวีเดนแต่งกับคนไทย เราได้รู้จักกับ สเวน และ ฉวี ทั้งคู่น่ารักมาก พอเราปั่นมาถึงหน้าบ้านเขา ฉวีเดินมาพร้อมกับดอกกล้วยไม้ในมือให้เราทั้งสามคน ช่างคิดกันจริง ๆ หลังจากแนะนำตัวกันเรียบร้อย พวกเขาก็เชิญเราไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว เปิดฝาชีขึ้นมา ว้าววว… ผลไม้จานใหญ่ ๆ 3 – 4 จาน เหมือนรู้ใจเพราะตั้งแต่ปั่นมาคือกล้วยเท่านั้นที่ได้กิน บนโต๊ะมีสัปะรด มะละกอสุก องุ่น แตงโม ของชอบทั้งนั้นเลย กินกันได้สักพัก เราก็เตรียมตัวกันออกไปเจอกับสมาชิกคนอื่น ๆ ที่อยู่ในระแวกนั้น อุดรเป็นเมืองที่มีคนสวีเดนเยอะอยู่เหมือนกัน คืนนั้นมากันได้ 6-7 คู่ นั่งโต๊ะยาวกันเลย คุยกันทั้งคืน ดีใจที่มีคนสนใจเรื่องการเดินทางของเรา วันรุ่งขึ้น สเวน บอกว่าจะอยู่ต่อก็ได้นะ เขาจะพาเที่ยวในเมือง เอ้า..ไหน ๆ ก็มาถึงเมืองใหญ่ละ เลยอยู่ต่ออีกหนึ่งวัน สเวนก็ขับตระเวณทั่วเมืองเลย

Skärmavbild 2013-11-18 kl. 00.23

เมื่อพบกันก็ต้องมีจากกัน เราออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง จากอุดรฯ มุ่งหน้าลงภาคกลาง เพราะเราเริ่มเบื่อเขาหลังจากที่ต้องปีนไต่อยู่บนสันเขาของลาวมาหลายวัน เลยเลือกที่จะมาทางขอนแก่นโดยเลือกเส้นทางหลวงชนบทที่มีตัวเลข 4 หลัก แต่ความที่เราไม่ได้ขยายแผนที่ให้กว้างขึ้น เลยไม่เห็นว่าจีพีเอสบอกให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอยู่บ่อย ๆ เราเลี้ยวเร็วไปหน่อย ไปโผล่ที่ถนนลูกรังเป็นดินทรายร่วน ๆ เฮ้อ..ไม่เอาแล้ว ปั่นมาพอแล้วที่คาซัคสถานและอุซเบกิสถาน ทำบ่นอีกนะ ถนนที่เป็นอย่างนี้มันไม่กี่กิโลหรอก แต่ขอบ่นไว้ก่อน 🙂 พอเราโผล่ออกมาเจอถนนดี ๆ แทบอยากจะลงไปจูปสักที 😉 แต่พอปั่นไปได้อีกสักพัก ถนนเริ่มแย่อีก เราเลยลองปั่นอ้อมไปสักนิดเพื่อหลีกเลี่ยงทางนี้ แต่ไม่พ้นทางมันพาเราลุยเข้าไปในทุ่งอ้อย สนุกสนานกันไปเลย ที่คิดว่าจะทำเวลาและระยะทางนั่นลืมไปได้เลย

ฟื้นความจำช่วงที่ปั่นอยู่ในคาซัคฯ และอุซเบกฯ  เพียงแต่ไม่ร้อนเท่าเท่านั้นเอง

ฟื้นความจำช่วงที่ปั่นอยู่ในคาซัคฯ และอุซเบกฯ เพียงแต่ไม่ร้อนเท่าเท่านั้นเอง

พอเราหลุดออกจากเส้นทางนั้นก็มาโผล่ตรงกลางระหว่างสองหมู่บ้าน เอางัยดี??? ไม่ยากเลย เราก็เลือกทางที่เราไปในวันรุ่งขึ้น เลี้ยวขวาลงไปเล้ย คืนนี้ตั้งใจว่าคงต้องถามหรือขอชาวบ้านนอนใต้ถุนแน่ ๆ พอเราแวะซื้อเสบียงและน้ำ ลองถามแม่ค้าดู เขาบอกว่าให้ไปถามผู้ใหญ่บ้าน ถามไปถามมาได้ความว่าเป็นผู้ใหญ่บ้านผู้หญิง ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นค่ะ เก่งนะค่ะ ยืนคุยกับผู้ใหญ่บ้าน คุยไปคุยมาปรากฎว่าลูกสาวอีกคนแต่งงานไปกับคนสวีเดน โอ๊ะ..โลกช่างกลม ผู้ใหญ่บ้านจัดการสั่งลูกหลานให้เอาน้ำเย็นเอาข้าวมาเสริฟให้ มีน้ำให้อาบ ค่ำหน่อยเอาพัดลมมาให้ 2 ตัวเพราะช่วงนั้นยังร้อนอยู่ นอนกันสบายไปเลย เช้าตื่นขึ้นมา น้องยังเอากาแฟมาเสริฟให้ ก่อนออกจากบ้านผู้ใหญ่บ้านเราเลยขอถ่ายรูปเสียหน่อย เราร่วมทำบุญสร้างหอระฆังกับชาวบ้านด้วย ผู้ใหญ่บ้านแนะนำให้ไปเส้นทางลัด ปั่น ๆ ไป เอ … ท่าทางเส้นทางลัดคงจะแย่ เห็นทางเข้าทางลัดนั้นแล้วไม่อยากปั่นเข้าไปต่อเลย ถ้าเรามีเวลาจะไม่เกี่ยงเลยค่ะ เลยเบนเข็มไปที่เส้นทางที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย นั่นคือ เส้นทาง 3 หลัก ช่วงนี้รถรายังไม่ค่อยมากมายสักเท่าไหร่นัก เรามุ่งหน้าสู่อำเภออุบลรัตน์ แล้วก็ปั่นกันมาเรื่อย จนได้เวลาอาหารเที่ยง เราดันมาอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ เลยหาร้านอาหารตามสั่งไม่ได้ จะไปทางลัดคงอดอยากเลยต้องออกมาทางถนนใหญ่ ลดลงมาเป็นเส้นทาง 2 หลัก รถเริ่มเยอะ แต่ไหล่ทางยังกว้างขวางดีอยู่ พอเห็นไก่ย่างก็รีบหยุดเลยเพราะกลัวจะหาไม่มีให้กินต่อไป กินเสร็จเขาก็ปิดร้านเลยเราเป็นลูกค้าสามคนสุดท้าย เกือบไปแล้ว

ศาลาท่ี่เราได้อาศัยนอน

ศาลาท่ี่เราได้อาศัยนอน

ปั่นมาถึงอำเภอ บ้านแท่น ก็ได้เวลามองหาที่พัก ก่อนที่จะมาถึงบ้านแท่นเราเห็นรีสอร์ตเพียบเลยนะตามรายทาง แต่พอเข้ามาในอำเภอกลับไม่เห็นที่ที่น่าอยู่สักที่ มาถามที่แรก เต็ม! เขาแนะนำให้ไปอีกกิโลนึง ไปถึงเห็นป้ายเก่า ๆ เลยไม่อยากอยู่ ตั้งใจว่าจะปั่นไปหาที่กางเต้นท์ แต่พอปั่นมาได้หน่อยเห็นสถานีตำรวจ สถานที่กว้างขวางมาก เลี้ยวเข้าไปถามดีกว่า เห็นนายตำรวจอยู่สองคนหน้าตึก ถามปุ๊บเขาก็บอกว่าได้เลย กางตรงไหนก็ได้ แต่อีกคนเป็นรองผู้กำกับฯ เขาลองโทรคุยกับผู้กำกับดู ปรากฎว่าผกก.เปิดห้องทำงานให้เรานอนเลยมีห้องอาบน้ำ มีแอร์ มีน้ำชาและกาแฟให้พร้อม สถานีตำรวจ 5 ดาว เพื่อนคนโปแลนด์เขาไปพักที่ปั้มน้ำมัน เขาบอกเราว่านี่ทำให้เขานึกถึงตุรกี แสดงว่าปั้มเมืองไทยเราน่ารักมากเลยนะเนี่ย เพราะตุรกีขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ต้อนรับแขกผู้มาเยือนอย่างดีและเต็มที่

กำลังคุยกับรองผู้กำกับการ นายตำรวจทุกคนน่ารักกันหมดเลย

กำลังคุยกับรองผู้กำกับการ นายตำรวจทุกคนน่ารักกันหมดเลย

วันรุ่งขึ้นเราปั่นกันไปเรื่อย ๆ ได้ติดต่อกับพี่สมพิศตลอดเวลา และได้ข่าวมาว่าจะมีนักปั่นหนึ่งท่าน (คุณลุงกุศล) จะมาร่วมปั่นด้วยจากโคราชไปปากช่อง เวชพยายามอัพเดทในเวบของไทยเอมทีบี และเขียนขออภัยกับคุณลุง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้เข้าไปดูเพราะปั่นอยู่ ปั่น ๆ ไป เอ๊ะ..มีนักปั่นอยู่ข้างทาง เลยแวะคุยกันตามธรรมเนียม อ้าว..กลายเป็นคุณลุงกุศลนั่นเอง คุณลุงมาดักรอเราหลังจากที่เข้าไปดูที่เวชอัพเดทไว้ น่ารักมากเลย คุณลุงเกษียณแล้ว ปั่นจักรยานเป็นงานอดิเรกไป คุยสนุกและแข็งแรงมากด้วย คุณลุงปั่นไปส่งเราถึงทางแยก เราแยกไปอำเภอท่าหลวง ส่วนคุณลุงแยกปั่นกลับบ้านไปทางปากช่อง คุณลุงถึงบ้าน 18.30 มืดพอดี แต่คุณลุงพร้อมเสมอ เพราะเอาไฟหน้าไฟท้ายติดตัวมาด้วย

ขอบคุณคุณลุงกุศลค่ะที่อุตส่าห์ปั่นอ้อมมาดักพวกเวชน่าประทับใจมากเลยค่ะ

ขอบคุณคุณลุงกุศลค่ะที่อุตส่าห์ปั่นอ้อมมาดักพวกเวชน่าประทับใจมากเลยค่ะ

ถ่ายรูปกับกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้า

ถ่ายรูปกับกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้า

SONY DSC

จากอำเภอท่าหลวงเราปั่นมาทางท้ายเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ถนนช่วงนี้ปั่นสนุกมากเพราะลงมากกว่าขึ้น แล้วเราก็ปั่นข้ามสะพานท้ายเขื่อนข้ามมาถึงตลาดปลา ตอนอยู่กลางสะพานเวลาก็ใกล้จะมืดเต็มที ได้คุยกับน้องที่มาตกปลากัน เขาบอกให้ไปที่ตลาดปลา กินข้าว แต่เขาหารู้ไม่ว่าพวกเรากินเสร็จก็ขอเจ้าของร้านกางเต้นท์นอนที่หน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ข้างน้ำเลย ได้นอนดูดาวฟังเสียงจิ้งหรีดเรไร ช่างเพลินอะไรเช่นนี้ จากท้ายเขื่อนเราปั่นเลาะเฉียด ๆ มาทางสระบุรี เส้นทางนี้มีแต่รถใหญ่ ๆ วิ่งฝุ่นเพียบเลย แต่เราก็เข้ามาถึงกรุงเก่าของไทยเราได้สำเร็จ ใกล้กรุงเทพฯ เข้ามาอีก

จุดกางเต้นท์ที่นี่ปลอดภัยที่สุดเลย เพราะมีน้องหมาเป็นโขยงคอยเป็นยามให้เรา

จุดกางเต้นท์ที่นี่ปลอดภัยที่สุดเลย เพราะมีน้องหมาเป็นโขยงคอยเป็นยามให้เรา

กำลังจะออกจากร้านกาแฟ ก็มีน้องคนนึงมาคุยด้วยและขอให้ไปถ่ายรูปตรงสถานที่ที่เขาคิดว่าสวยคือที่นี่

กำลังจะออกจากร้านกาแฟ ก็มีน้องคนนึงมาคุยด้วยและขอให้ไปถ่ายรูปตรงสถานที่ที่เขาคิดว่าสวยคือที่นี่

4 thoughts on “ลาว => เมืองหลวงเวียงจันทน์ ไป อยุธยากรุงเก่าของไทย

  1. ชัย

    มารายงานตัวครับว่าติดตามอ่านอยู่ครับ
    ยินดีต้อนรับกลับสู่ประเทศไทยครับ 🙂

    1. admin Post author

      ขอบคุณค่ะคุณชัยที่เข้ามาติดตาม ทริปเราจบแล้ววันนี้อย่างสมบูรณ์เมื่อตอนบ่ายแก่ ๆ หลังจากที่ปั่นเข้าบ้าน แต่เราคิดว่าเราคงต้องปั่นชดเชยจากที่จำเป็นต้องนั่งรถบัสเข้าเมือง 3-4 เที่ยวประมาณ 500 โล ติดใจค่ะ คงนั่งเฉยไม่ได้นานแน่

  2. บุษบง

    555555 เนี่ย ถ้าเกิดเมืองไทยไม่ใช่จุดหมายปลายทาง เวชคงปั่นปร๊าดเดียวทะลุประเทศไปแล้วนะเนี่ย 55555

    1. admin Post author

      ไม่หรอก!!! คงปั่นช้าลงเพราะมีอะไรใหม่ ๆ ให้ดู แต่บ้านเรา เราคุ้นเคยงัยเลยลุยกลับบ้านสะงั้น

Leave a Reply