China II

จีน => พัก 1 วันท่ี Korla (โคร์ลา) ต่อไป Yanqi (หยางจี๊)

ตื่นเช้าปั่นไปได้นิดหน่อยแค่ 400 เมตรมั้ง ยางโจคิมแบน ฉลองวันใหม่ด้วยการปะยางเลย โจคิมอารมณ์เสียแต่เช้า 🙁 ปั่นกันมากำลังเหนื่อย ๆ กำลังจะหมดแรงและหมดกำลังใจว่าจะมีท่ีพักหรือเปล่า ก็มาเจอที่จอดรถมีร้านอาหารพอดี เหมือนเคย!! ทุกร้านมีแต่รัคมาน (อาหาร “ประจำชาติ” ของคนอูกูร) ดีกว่าไม่มีอะไรกินเนาะ เส้นเขาอร่อยนะ ทำเองสด ๆ ไม่เคยเห็นมีขายที่ไหน ว่าจะลองขอซื้อเขามาสักหน่อยชักเบื่อกินเส้นมาม่าละ เราหาซื้อเส้นสปาเก็ตตี้ไม่ได้เลยทุกร้านมีแต่มาม่า แต่ท่ีนี่มาม่าห่อใหญ่กว่าบ้านเราเยอะนะ พอกินกันเสร็จจะจ่ายตังค์ โจคิมหันไปจะหยอดน้ำมันท่ีโซ่ ปรากฎว่ายางแบนอีกแล้ว สงสัยแบนตอนท่ีเลี้ยวเข้าร้าน เพราะแถวนั้นมีร้านซ่อมเปลี่ยนยางให้รถใหญ่ อย่างท่ีเคยบอกไว้เมื่อคราวท่ีแล้วว่าบนถนนไฮเวย์มักจะมีเศษเส้นลวดท่ีกระจายออกมาจากล้อของรถใหญ่ท่ีระเบิด ไว้เอารูปมาแปะให้ดูกันค่ะ ดีท่ีมาแบนตรงท่ีเรานั่งอยู่แล้ว ร่ม ๆ ปะ ๆ อยู่มีเด็กมานั่งมองนั่งเล่นหมุนล้อจักรยานเล่น

ปั่นมาได้ 21 กม. เวชสังเกตุว่าทำไมล้อหลังดูเหมือนไม่มีลม เลยหยุดเพื่อจะสูบลม แต่สูบยังงัยก็ไม่เห็นเต็มสักที อ้าว…แบนเหมือนกัน เอ้า…หยุด ปะ เสร็จแล้วก็ปั่น ปั่นไปได้ 99 กม. ล้อเวชแบนอีก เจอ 3 รู ไปซ่อมท่ีอุโมงค์ใต้ถนน เลยถือโอกาสเอาแคนตาลูปของลุงท่ีให้มาเมื่อวานมากินกันให้หายโมโห หลังจากนั้นเราเริ่มระวังมากขึ้น เพราะไม่อย่างนั้นไปไม่ถึงไหนแน่วันนี้ มัวแต่หยุด ๆ ปะ ๆ อยู่นี่ แต่อีกสักพักยางโจคิมดูแบน ๆ จนได้ เลยสูบลมเข้าไปก่อน แล้วรีบปั่นเข้าเมืองโคร์ลา

ปะกันเป็นว่าเล่น ไม่สนุกเลย

ปะกันเป็นว่าเล่น ไม่สนุกเลย

ทางเข้าเมืองโคร์ลาดูไม่ออกเลยว่าจะเป็นเมืองใหญ่ขนาดนี้ เพราะมันใหญ่พอ ๆ กับเมืองโกเธนเบิร์กที่เป็นเมืองที่สองของสวีเดน ก่อนจะถึงโรงแรมเราคอยมองหาร้านจักรยาน เห็นร้านไจแอนท์อยู่ฝั่งตรงกันข้าม จอดทันทีเพราะต้องการให้เขาจัดสมดุลย์ล้อให้ใหม่และซื้ออุปกรณ์ปะยาง เราข้ามไปคุย แต่คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เด็กท่ีร้านเลยโทรไปหาลูกค้าคนหนึ่งท่ีพูดภาษาอังกฤษได้ เราไปเช็คอินที่โรงแรมก่อนแล้วปั่นกลับไปท่ีร้าน พอกลับมาอีกทีได้คุยกับเขา แต่ท่ีร้านไม่มีอะไหล่ท่ีต้องการ เลยต้องไปอีกสาขาหนึ่ง ซึ่งเพื่อนคนนั้นนำไป เด็กคนนั้นก็ปั่นมาด้วย แต่เผอิญยางแบนตอนที่เพิ่งออกจากร้านมาเลยแยกกันตรงนั้น ตอนปั่นไปอีกร้านหนึ่ง เราผ่านห้างเล็กใหญ่สารพัด ผ่านสวนสาธารณะที่เขามาออกกำลังกายกัน นึกถึงสวนลุมบ้านเรา 🙂 มีทางจักรยานที่กว้างมาก แต่จราจรที่นี่แย่มาก ขับขี่กันสวนกันแบบไม่ค่อยมีระเบียบ คืนนั้นเราทิ้งจักรยานไว้ที่ร้านให้เขาเปลี่ยนโซ่และเกียร์ทั้งสองคัน เพราะเริ่มขี้เกียจถอดโซ่ออกมาล้างที่สำคัญคือไม่ต้องแบกโซ่ด้วย เราพยายามลดน้ำหนักกระเป๋า รู้สึกดีที่มาถึงจีนที่ที่มีทุกอย่าง ไม่เหมือนตอนที่อยู่ที่ประเทศสถาน ๆ ทั้งหลายที่เราต้องพกทุกอย่างทั้งท่ีจำเป็นและที่ควรจะมี แต่ท่ีจีนเมื่อไหร่ท่ีเราเข้ามาในเมืองท่ีใหญ่หน่อยท่ีนั่นจะมีทุกอย่างแถมมียี่ห้อด้วย คนนำทางบอกว่าปั่นไปแค่ 2 กม. แต่คิดว่าไกลกว่านั้นนะ เราต้องเรียกแท๊กซี่กับโรงแรม ให้เขาเขียนชื่อโรงแรมให้ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะบอกคนขับอย่างไร แท๊กซี่ท่ีนี่ไม่แพงนะ ราคาเริ่มต้นท่ี 5 หยวน ขับจะถึงท่ีอยู่ล่ะยังขึ้นไม่ถึง 6 หยวนเลย คงได้ใช้บริการอีกแน่ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นท่ี 5 หยวนเหมือนกันทั้งประเทศหรือเปล่านะสิ

ภาพที่ร้านไจแอนท์ร้านแรกร้านเล็กกว่าร้านที่เราไปทิ้งจักรยานไว้ แต่ไม่ได่ถ่ายรูปมา

ภาพที่ร้านไจแอนท์ร้านแรกร้านเล็กกว่าร้านที่เราไปทิ้งจักรยานไว้ แต่ไม่ได่ถ่ายรูปมา

ภาพในเมืองโคร์ลา

ภาพในเมืองโคร์ลา

ภาพในเมืองโคร์ลา

ภาพในเมืองโคร์ลา

ท่าทางเราต้องหาวิธีศึกษาภาษาจีนเสียแล้ว เพราะพอเขาเห็นหน้าเราเขาก็พ่นภาษาจีนใส่ ก็หน้าหมวยขนาดนั้น เวชต้องออกตัวก่อนทุกครั้งว่า “ฉันเป็นคนไทย = ไทกั๋วเหยิน และ รุยเดี่ยนเหยิน = คนสวีเดน” อืม… ก่อนหน้านี้มักจะบอกว่า “ฉันเกิดที่ไทย แต่จริง ๆ ฉันเป็นคนจีน” พร้อมกับเอานิ้วดึงหางตาชี้ขึ้น แต่ที่นี่ ท่ีเมืองจีนเคยทำครั้งหนึ่งแล้วรู้สึกเสียมารยาทยังงัยไม่รู้ มีครั้งหนึ่งไปท่ีร้านขายยา คนขายเขาวาดมือทั้งสองข้างจากหน้าผากลงมาท่ีคาง (อ๋อ…เขาทำอย่างนี้กันท่ีนี่ละมั้ง) และพูดทำนองว่าหน้าตาเราเหมือนคนจีน เราเลยต้องอธิบายไปว่าเราเป็นจีนท่ีเกิดท่ีเมืองไทย เฮ้อ…คงต้องหัดพูดประโยคนี้เป็นภาษาจีน หรือไม่อย่างนั้นก็เขียนใส่แผ่นกระดาษเสียเลย 🙂 ตามเส้นทางจากชายแดนระหว่างคีร์ซกิสถานและจีนถึงตรงนี้ ยังไม่ค่อยเจอใครท่ีพูดภาษาอังกฤษได้ จนมาถึงโรงแรมท่ีนี่ มีผู้จัดการสาวคนหนึ่งพูดได้คล่องและช่วยเหลือดีมาก แถมยังให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ด้วยเผื่อมีอะไรให้ช่วย

ผู้จัดการสาวท่ีโรงแรม

ผู้จัดการสาวท่ีโรงแรม

วันต่อมาเราเดินชมเมืองและไปรับจักรยาน เผอิญเดินผ่านร้านจักรยานอีกร้านหนึ่งชื่อ UCC มีขายทั้งเสือภูเขา เสือหมอบ ทัวร์ริ่ง คิดว่าน่าจะขายอย่างเดียว ไม่เหมือนร้านไจแอนท์ท่ีมีรับซ่อมและขายอะไหล่ด้วย เราลองเดินเข้าไปดู ๆ เขาเข้ามาทัก แน่นอนเป็นภาษาจีนและก็แน่นอนท่ีเราบอกเขาอย่างท่ีเขียนไว้ข้างบนนี่ เฮ่อ…แค่คิดนี่ก็เหนื่อยแล้ว ว่านี่ฉันต้องพูดอธิบายทุกอย่างไปอีกสามเดือนข้างหน้าหรือเนี่ย :-O แต่ผู้หญิงคนนี้เขาน่ารัก ชวนให้นั่งก่อน เอากาแฟมาเสริฟและยังถามอีกด้วยว่าใส่น้ำตาลมั้ย? ครีมมั้ย? ธรรมดาโจคิมสั่งกาแฟดำยังได้น้ำตาลใส่มาด้วยทั้ง ๆ ท่ีบอกว่าเอาแต่กาแฟ เธอพยายามตั้งใจฟังและพยายามที่จะเข้าใจและบอกเล่าให้เพื่อนร่วมงานฟังด้วย ท่ีนี่ดีอย่างคือเวลาเราบอกคนหนึ่งไปแล้ว เขาก็จะเล่าต่อให้คนอื่น ๆ ฟัง แต่สงสัยว่าทำไมฟังดูประโยคยาวกว่าท่ีเราบอกไปหว่า 🙂 เขาคงแต่งเติมบ้างละมั้ง พวกเขาคงเริ่มสนใจว่าเราไปมาอย่างไรถึงมาถึงเมืองนี้ได้ เราเลยให้นามบัตรกับเขาและเปิดดูบล๊อคด้วยกัน

ที่ร้าน UCC กับพนักงานและลูกค้า

ที่ร้าน UCC กับพนักงานและลูกค้า

เราเดินต่อไปท่ีร้านไจแอนท์ ซื้อของเพิ่มเติมเช่นน้ำมันหยอดโซ่ ที่สูบลม และที่สำคัญคือแผ่นปะยางคราวนี้ซื้อยก 4 โหลเลย 48 อัน แบนบ่อยเหลือเกิน แถมเหลือบไปเห็นยางในที่หนาหน่อยกันหนามทิ่มได้ดีขึ้น เอาค่ะ สองเส้นเลยค่ะ ไหน ๆ อยู่ท่ีร้านละก็ขอยืมเครื่องมือเขาเปลี่ยนยางเสียเลย หมดเรื่องหมดราว พอปั่นกลับมาท่ีโรงแรมก็เริ่มทำการปะยางมาราธอนกันเลย มียางในทั้งหมด 6 เส้นรั่วหมดเลย บางเส้นมีรอยปะหลายอันละ ถ้าปะอีกสัก 4-5 ครั้งคงจะรอบยางพอดี ทีนี้คงไม่แบนเพราะมีเกราะคุ้มกันเกือบรอบยาง 🙂

นั่งปะยางท่ีโรงแรมสี่ดาว ก่อนจะไปหาซื้อท่ีปะยางเรามีเหลืออยู่แค่ 1 อันเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ เพียบ!!!

นั่งปะยางท่ีโรงแรมสี่ดาว ก่อนจะไปหาซื้อท่ีปะยางเรามีเหลืออยู่แค่ 1 อันเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ เพียบ!!!

วันรุ่งขึ้นได้เวลาออกเดินทางต่อ เป้าหมายจริง ๆ คือเมืองฮ้อคซุด (Hoxud) แต่ตอนเช้าได้ยินเสียงลมแล้วหดหู่มาก เราอยู่ชั้น 9 ลมกระแทกตึกเสียงดังน่ากลัวมาก เห็นต้นไม้ข้างล่างไหวเอียงแล้วขอรอก่อนอีกหน่อย ออกไปผจญกับลมแรง ๆ เสียพลังงานเปล่า ๆ ดีท่ีโรงแรมเขาให้เช็คเอาท์บ่ายสอง แต่กว่าเราจะออกนอกเมืองได้ก็เย็นละ ตอนนั้นลมยังแรงอยู่ เราเลือกท่ีจะปั่นบนเส้นทางสายเก่าก่อนแล้วค่อยขึ้นทางด่วนข้างหน้า ทางเริ่มชันและขรุขระแถมลมยังพัดแรงอยู่ ชักใจเสีย เอางัยดีหนทางยังอีกยาวไกล ปั่น ๆ กันไปละกัน เอ..ทำไมไม่เห็นมีรถเลยหว่า มีแต่มอเตอร์ไซค์และรถบรรทุกบ้างเท่านั้นเอง ทางชันขึ้นอย่างเดียว แต่เอ… ในแผนที่มันว่าเราจะปั่นบนทางสายเก่าด้านขวามือ แต่ทำไมเรามาอยู่ทางซ้าย ขึ้นมาถึงยอดละ ไหลลงไปก่อนละกัน จนมาเจอบันไดทางขึ้นไปทางด่วนท่ีมีคนมาแอบเปิดไว้แล้ว คือถ้าเรายังคงอยู่ท่ีเส้นทางเก่าคงจะใช้เวลานานน่าดูกว่าจะถึงเมืองถัดไปคือหยางจี๊ (Yanqi) เปลี่ยนเป้าหมายเพราะไปไม่ถึงฮ้อคซุดแน่นอนวันนี้ เอ้า…แบกกันขึ้นบันไดไป โจคิมเอาจักรยานขึ้น ส่วนเวชแบกกระเป๋าขึ้นกันไปทีละคัน และนั่นเป็นการตัดสินใจท่ีดีเพราะการไหลลงบนทางด่วนย่อมเร็วกว่าบนทางขรุขระ วันนั้นเลยปั่นได้แค่ 60 กว่าโล

Riding behind Wej

Riding behind Wej

ถึงเมืองหยางจี๊ก็เย็น ๆ ละ ตั้งใจว่าจะพักท่ีโรแรมใกล้ ๆ ทางด่วนจะได้รีบพักและออกเช้าหน่อย แต่…. ครั้งนี้เป็นครั้งแรกท่ีมีปัญหาเรื่องท่ีพักท่ีเขาไม่สามารถรับแขกชาวต่างชาติ ท่ีนี่เป็นโรงแรมใหญ่หน่อยเขาถึงทำตามกฎ ไม่เหมือนโรงเตี้ยมท่ีเคยไปนอนท่ีอูฐาน อืม…พูดถึงโรงเตี้ยมนั่น ตอนนอน อยู่ดี ๆ ดันไปนึกถึงหนังผีสะงั้น บ้าจริงแต่บรรยากาศมันให้นะ 😉 เข้าเรื่องต่อ โรงแรมสองท่ีแรกบอกให้ไปอีกโรงแรมหนึ่ง เราเกือบจะปั่นออกไปหาท่ีกางเต้นท์แล้ว พอดีมีคนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์ตอนท่ีเราถามหาโรงแรมท่ีโรงแรมท่ีสอง เขาบอกเราประมาณว่าปั่นไปเรื่อย ๆ อยู่ข้างหน้านี่ละ เดาเก่งมากเลย 🙂 เราเห็นตึกหนึ่งอยู่ตรงหัวมุม พอเข้าไปถาม เขาก็อ้าแขนต้อนรับเรา อิอิ

SONY DSC

จีน => จาก Yanqi (หยางจี๊) ผ่าน Hoxud (ฮ๊อคซุด) – Toksun (ทุคชุน) – Tulufan (ทูลูฟาน)

เรายังปั่นอยู่บนทางด่วนเช่นเคย การจะหยุดพักหาของกินและน้ำดื่มก็ต้องพึ่งจุดจอดพักรถหรือที่เขาเรียกกันว่า “Service Center” ส่วนใหญ่เราจะเช็คในแผนท่ีในกูเกิ้ลว่าอีกกี่กิโลจะถึงจุดนั้น ๆ บางครั้งก็ไม่ตรงเสียทีเดียว แต่ส่วนใหญ่จะมีมากกว่าอาจจะเป็นเพราะกูเกิ้ลอัพเดทไม่ทันเพราะจีนสร้างทุกอย่างเร็วทันใจ ในกูเกิ้ลว่าจากเมืองหยางจี๊ออกไปอีก 50 กม.จะมีจุดจอดพักรถ แต่ปั่นไปได้แค่ 44 กม.ก็เห็นล่ะที่เมืองฮ๊อคซุดนี่เอง บางครั้งมีจุดจอดแต่ยังไม่มีเซอร์วิส ช่วงนี้เรายังปั่นบนทางด่วนได้ แต่เมื่อไหร่ที่เราเข้าเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่นมากขึ้น เราต้องลงไปใช้ทางสายธรรมดา ออกจากหยางจี๊เกือบเที่ยง อากาศเริ่มดีขึ้นตามลมปั่นสบาย ๆ บรรยากาศข้างทางก็เริ่มเขียวมีการทำสวน เห็นว่าแถวนั้นมีทะเลสาปที่ค่อนข้างใหญ่ คิดว่าชื่อ “ทะเลสาปบอสตัน” วันนี้ทางขึ้น ๆ ลง ๆ จนถึงจุดสูงสุดท่ี 1500 เมตรจากระดับน้ำทะเล และ 30 กม.สุดท้ายก็ลงอย่างเดียว สนุกมาก แซงรถบรรทุกตั้งหลายคันที่ต้องลงมาอย่างช้า ๆ

วิวจากทางด่วน หลังจากออกจากเมืองหยางจี๊

วิวจากทางด่วน หลังจากออกจากเมืองหยางจี๊

วิวระหว่างทาง

วิวระหว่างทาง

30 กม.สุดท้ายลงอย่างเดียวลงมาที่เมืองทุคชุน มันส์มาก

30 กม.สุดท้ายลงอย่างเดียวลงมาที่เมืองทุคชุน มันส์มาก

ไหลลงมาถึงเมืองทุคชุน จากระดับความสูง 1500 ม.ลงมาที่ 0 เมตร ไอ่หย๋า..ร้อนอย่าบอกใคร เหมือนเตาอบ เมืองนี้อยู่ในเขตทูลูฟานซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใต้ระดับน้ำทะเลถึง 150 เมตร ใจจริงอยากจะปั่นต่อไปข้างหน้าเพราะไต่ขึ้นไปที่ความสูง 400 เมตรน่าจะเย็นขึ้นมาหน่อย แต่ต้องเติมพลังก่อนอีกอย่างคือยางแบนอีกแล้ว คราวนี้ล้อหลังทั้ง ๆ ที่เปลี่ยนยางในแบบหนากันหนามได้แต่กันเจ้าเส้นลวดนี่ไม่ได้มั้ง โดนไป 3 รู กิน “ลัคมาน” เสร็จก็จัดการปะยางต่อ หลัง ๆ มานี่ขี้เกียจนับแล้วว่าแบนไปกี่ครั้ง วันนี้ก็ต้องเปลี่ยนยางในไปสองรอบ วิวระหว่างทางไปเมืองทูลูฟานสวยมาก มีช่วงหนึ่งกำลังปั่น ๆ อยู่เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทางเปิดไฟฉุกเฉินทิ้งไว้แล้วออกมาโบกไม้โบกมือ เราคิดว่ารถเขาคงมีปัญหา คงไม่ได้โบกให้เรา เราเลยปั่นผ่านไปสักพักเขาขับผ่านเราก็ยกนิ้วให้ เราเลยเข้าใจว่าเขาพยายามโบกให้เราจอด เขาขับไปสัก 2-300 เมตรและจอดข้างหน้าเรา เราเลยต้องหยุด เมินเขามาทีละเลยจอด เขาอยากถ่ายรูปเรา เอา ๆ … มายืนมา แช๊ะ ๆ ไปสัก 4-5 ใบ คุยกับเขาหน่อยก็ประโยคเดิม ๆ นั่นแหละค่ะ หนึ่งในนั้นเปิดท้ายรถหยิบขวดน้ำมาให้ 5-6 ขวดได้มั้ง อืม..กำลังจะปั่นเข้าปั้มไปซื้ออยู่พอดี ดีเลยไม่ต้องเสียตังค์ซื้อน้ำ ขอบคุณค่ะ

คนมือบอนมีอยู่ทั่วไป ขนาดในทะเลทรายยังไม่วายเลยนิ

คนมือบอนมีอยู่ทั่วไป ขนาดในทะเลทรายยังไม่วายเลยนิ

เห็นเขาปีนขึ้นไปเขียนบนเขา เลยอยากสัมผัสดูมั่ง เปล่านะไม่ได้ไปทิ้งอะไรไว้ ;-)

เห็นเขาปีนขึ้นไปเขียนบนเขา เลยอยากสัมผัสดูมั่ง เปล่านะไม่ได้ไปทิ้งอะไรไว้ 😉

คืนนั้นเราขอเขากางเต้นท์ท่ีปั้ม แต่พอดูอีกที เดี๋ยวเราต้องต้มมาม่ากินเลยไปกางตรงที่เป็นเนินทรายถัดออกไปอีกหน่อยคิดว่าดีกว่าด้วยเพราะเป็นส่วนตัวมากกว่า แต่ตอนท่ีเรากำลังกางเต้นท์จัดโน่นจัดนี่ มีคนเดินมาด้านหลังเราทั้ง ๆ ที่ดูแล้วไม่น่าจะมีบ้านคน เขาอาจจะได้ยินเสียงเราเลยเดินมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นมากกว่า คุยกันไม่รู้เรื่อง สักพักเขาก็เดินกลับไป ตอนนอนก็รู้สึกร้อน ๆ แต่สักพักเท่านั้นเองอากาศเริ่มเย็นลง ถึงขนาดต้องเอาถุงนอนออกมาห่มและอีกสักพักต้องปิดประตูเต้นท์ด้วย แต่นอนตอนอากาศเย็นดีกว่าร้อน ๆ นะสบายกว่ากันเยอะเลย เช้าวันต่อมาเราเดินไปนั่งกินอาหารเช้าที่หน้าปั้มเพราะจะไปขอน้ำร้อนเขาชงกาแฟดื่มกัน พอเดินเข้าไปเขาก็ชวนกินกับเขาด้วย เกรงใจเลยขอแต่น้ำร้อนมาจะซื้อน้ำส้มขวดหนึ่ง เดินไปจ่ายตังค์แต่เขาพยักหน้าบอกเราให้เอาไปดื่มเถอะ น่ารักจังแต่พวกเขาเป็นชาวอูกูร ไม่รู้ว่าถ้าเป็นชาวจีนจะน่ารักเหมือนกันมั้ย???

จุดกางเต้นท์เมื่อคืน ไม่ใกล้ไม่ไกลจากปั้มน้ำมัน

จุดกางเต้นท์เมื่อคืน ไม่ใกล้ไม่ไกลจากปั้มน้ำมัน

กลับเข้าสู่ถนนปุ๊บทางลาดขึ้นทันที ค่อย ๆ ขึ้น แต่เอาการเหมือนกันเล่นเอาเหนื่อยพอดู ช่วงนี้เราปั่นข้ามเขาวิวสวยมาก หยุดถ่ายวีดีโอและรูปบ่อยมากเลือกรูปไม่ถูกเลยว่าจะลงภาพไหนดี ช่วงนี้มีจุดจอดพักรถเยอะ แต่ไม่มีจุดไหนท่ีขายอาหารหรือน้ำเลย ปั่นมาถึงท่ีหนึ่งเห็นมีป้ายและมีตัวอักษรตัวหนึ่งที่รู้ความหมายนั่นคือ “น้ำ” พอเข้าไปถามว่ามีเป็ปซี่มั้ย คำตอบคือไม่มี มีแต่น้ำที่เติมให้รถยนต์รถบรรทุก เฮ่อ..โอเค งั้นก็ไปต่อ แต่เขาเรียกเรากลับไปแล้วหยิบแตงโมออกมาจากตู้เย็นให้เรากินกัน น่ารัก คนอูกูรอีกแล้ว เส้นทางนี้ตอนที่เช็คจากแผนท่ีภาพผ่านดาวเทียม เห็นแล้วหมดอารมณ์จะปั่นเพราะไม่มีอะไรเลย มีแต่สีน้ำตาลอ่อนซึ่งน่าจะแปลว่าทะเลทราย แต่ในภาพดาวเทียมเราไม่เห็นความแตกต่าง ไม่เห็นว่ามีเขาหลากหลายรูปแบบ อย่างไรเราก็ต้องปั่นพอปั่นเข้าไปแล้ว โอเค..ไม่มีอะไรก็จริง แต่วิวที่ได้เห็นกับตามันทำให้เราทึ่งกับสภาพภูมิประเทศช่วงนั้นมาก ตะลึงกับความงามจนไม่อยากไหลลงมาเร็วเกินไปนัก มาถึงตรงนี้ไม่นึกเสียดายที่พลาดโอกาสซื้อทัวร์ที่คัชก้า เพื่อออกไปสัมผัสกับทะเลทราย มาอยู่ ณ จุดนี้คิดว่าคุ้มเหมือนกัน ชมภาพและบรรยากาศกันนะค่ะ

ตอนขึ้นก็เหนื่อยแต่คุ้มท่ีอุตส่าห์ปั่นขึ้นไป

ตอนขึ้นก็เหนื่อยแต่คุ้มท่ีอุตส่าห์ปั่นขึ้นไป

หยุดพักและถ่ายรูปกันบ้างบ่อย ๆ

หยุดพักและถ่ายรูปกันบ้างบ่อย ๆ

วิวระหว่างทางไปทูลูฟาน

วิวระหว่างทางไปทูลูฟาน

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

จีน => จาก Tulufan (ทูลูฟาน) ไป Shanshan (ชันชัน) รถทัวร์ไป Hami (ฮามิ) และ Guazhou (กัวจู)

เมื่อเย็นวานรีบหาท่ีกางเต้นท์กัน หันไปเจอท่ีโล่ง ๆ นิดหน่อยลองปั่นเข้าไปดู มันเป็นท่ีท่ีเขาปลูกกระเทียมแต่ข้าง ๆ มีท่ีว่าง ๆ อยู่เลยขอละกันนะค่ะ ขอนอนหน่อยนะคืนนี้ ท่ีท่ีมีต้นไม้ พงหญ้าก็ต้องมียุงและแมลง เลยต้องเอาเสื้อแจ๊กเก๊ตออกมาใส่กันยุง ดีท่ีแผ่นรองนอนของเราทั้งหนาทั้งนุ่ม ไม่อย่างนั้นคงได้รู้สึกถึงความเป็นลูกคลื่นของพื้นแน่เลย ตรงนั้นหาท่ีเรียบ ๆ ไม่มี ได้ยินเสียงคนเสียงรถเพราะอยู่ใกล้ถนน ก็ต้องหยุดกิจกรรมทุกอย่าง คอยมองว่าจะมีใครเดินเข้ามามั้ย? คิดว่าไม่น่ามีปัญหาเพราะตรงท่ีเรากางเต้นท์นั่นไม่มีอะไรปลูกอยู่ ตอนเช้าเราตื่นกันค่อนข้างเร็วหน่อยเพราะอยากจะไปถึงทูลูฟานเที่ยง ๆ แต่ก็บ่ายสองจนได้ เพราะโจคิมต้องปะยางก่อน จริง ๆ ทางก็เรียบ ๆ รถไม่ค่อยมีเท่าไหร่นัก แต่ถนนลาดขึ้นเล็กน้อยทวนลมนิดหน่อย ทุกครั้งที่เราออกจากจุดที่เรากางเต้นท์นอน ปั่นไปสักอย่างน้อย 10 กม.ขึ้นไปจะเห็นมีที่กางเต้นท์ท่ีดีกว่าท่ีเราเคยอยู่ ทุกทีเลย ครั้งนี้ก็เหมือนกันปั่นมาได้ 15 กม.มาเจอท่ีหนึ่งท่ีมีน้ำไหลใส่สะอาด ท่ีกางเต้นท์โล่ง ๆ แสดงว่าไม่มียุงและแมลงมากวนใจ เฮ้อ..เห็นแล้วปวดใจ แต่ตอนท่ีหยุดก็ไม่กล้าเสี่ยงปั่นต่อ เกิดไม่เจอท่ี ๆ กางเต้นท์ได้ก็แย่เหมือนกัน

แคมป์กันข้าง ๆ สวนกระเทียม

แคมป์กันข้าง ๆ สวนกระเทียม

ถนนเส้นตรงท่ีออกจากเมืองหยางจี๊ รถไม่มีมากนัก

ถนนเส้นตรงท่ีออกจากเมืองหยางจี๊ รถไม่มีมากนัก

ไม่เคยเห็นสถานีผลิตไฟฟ้าพลังลมมากมายอย่างนี้มาก่อน

ไม่เคยเห็นสถานีผลิตไฟฟ้าพลังลมมากมายอย่างนี้มาก่อน

ทำผิดกฎจราจรอย่างจัง เราเห็นคนจีนเขายังขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นมา เราก็เลยขึ้นบ้าง ตำรวจขับผ่านเราตั้งหลายครั้ง ไม่เคยว่าสักคำเลย มีบางครั้งเรียกเรา แค่อยากดูพาสปอร์ตเราเท่านั้นเอง ;-)

ทำผิดกฎจราจรอย่างจัง เราเห็นคนจีนเขายังขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นมา เราก็เลยขึ้นบ้าง ตำรวจขับผ่านเราตั้งหลายครั้ง ไม่เคยว่าสักคำเลย มีบางครั้งเรียกเรา แค่อยากดูพาสปอร์ตเราเท่านั้นเอง 😉

วันนี้เราปั่นสั้นหน่อย เพราะตั้งใจว่าจะเข้าทูลูฟานเร็วหน่อยจะได้พักยาวขึ้นอีกนิดจะได้ไปต่อในอีกวันรุ่งขึ้น เป็นครั้งแรกท่ีเห็นนักท่องเท่ี่ยวต่างชาติ อาจจะเป็นเพราะทูลูฟานมีภูมิประเทศท่ีเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือเป็นพื้นท่ีท่ีต่ำกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 150 เมตร มีอากาศท่ีร้อนและร้อนนาน แต่ท่ีสำคัญคือท่ีนี่ปลูกองุ่นได้ผลดีมีชื่อเสียงของประเทศจีน มีการเอาองุ่นมาทำลูกเกดตามแบบฉบับของชาวอูกูร เราปั่นผ่านตึกท่ีมีช่องเล็ก ๆ ตอนแรกไม่รู้ว่ามันคืออะไร นึกว่าเป็นบ้านของแกะ แพะพวกสัตว์เลี้ยง แต่เผอิญเห็นรถสามล้อท่ีเต็มไปด้วยองุ่นไปจอดอยู่หน้าประตู เลยเข้าใจว่านี่คือท่ีตากองุ่นนี่เอง

ไร่องุ่น พอเขาหันมาเห็นเราก็โบกไม้โบกมือให้มาเอาองุ่นไปกิน แต่เราอยู่บนทางด่วน ทางมันชันมาก เดินลงไปได้แต่เดินขึ้นคงลำบากน่าดู

ไร่องุ่น พอเขาหันมาเห็นเราก็โบกไม้โบกมือให้มาเอาองุ่นไปกิน แต่เราอยู่บนทางด่วน ทางมันชันมาก เดินลงไปได้แต่เดินขึ้นคงลำบากน่าดู

ท่ีตากองุ่นเพื่อทำลูกเกด เขาว่าวิธีการนี้เป็นแบบฉบับของคนอูกูร

ท่ีตากองุ่นเพื่อทำลูกเกด เขาว่าวิธีการนี้เป็นแบบฉบับของคนอูกูร

ก่อนเช็คอินเข้าโรงแรมท่ีทูลูฟานเห็นป้ายหน้าโรงแรม ‘John’s café’ และมีเขียนในไกด์บุ๊คด้วยว่ามีอาหารนานาชาติ เราเบื่อลัคมานอาหารประจำชาติของขาวอูกูรมานานแล้วถึงแม้ว่าเส้นของเขาจะอร่อยขนาดไหนก็ตาม เลยอยากไปลองกินอาหารอื่น ๆ บ้าง เห็นท่ีป้ายมีบอกพิซซ่า เสต็ก อืม…อยากกินขึ้นมาทันที แต่พอเห็นราคาเลยต้องคิดดูอีกที เห็นเขามีเมนูทำไก่สไตล์เสฉวนด้วย เลยไปลองอันนี้แทน 😉 วันนั้นถึงแม้ว่าจะร้อน แต่เรารู้สึกได้พักผ่อนสบาย ๆ จริง ๆ

ที่ร้าน ‘John’s café’ ดูแล้วน่านั่ง น่าสบายเนอะ แต่ขอโทษ มันร้อนมาก ได้ยินคำว่าเหงื่อท่วมตัวมานาน วันนั้นรู้สึกได้ทันทีว่าถ้าเราไม่มีผ้ามาเช็ดเหงื่อ ตรงพื้นท่ีเรานั่งมันคงเป็นแอ่งน้ำน้อย ๆ เลยล่ะ

ที่ร้าน ‘John’s café’ ดูแล้วน่านั่ง น่าสบายเนอะ แต่ขอโทษ มันร้อนมาก ได้ยินคำว่าเหงื่อท่วมตัวมานาน วันนั้นรู้สึกได้ทันทีว่าถ้าเราไม่มีผ้ามาเช็ดเหงื่อ ตรงพื้นท่ีเรานั่งมันคงเป็นแอ่งน้ำน้อย ๆ เลยล่ะ

ด้านหลังโรงแรม ทางเดินไปร้าน ‘John’s café’

ด้านหลังโรงแรม ทางเดินไปร้าน ‘John’s café’

และวันนี้เองท่ีปั่นออกจากเมืองทูลูฟานท่ีร้อนจนแสบหลังเหมือนถูกเผา ไมล์วัดระยะทางของเวชขึ้นเป็น 10,000 กิโลตรงท่ีเป็นจุดท่องเท่ียวของเมืองนี้ด้วยคือ Flaming mountain เป็นภูเขาดินทรายท่ีบางเวลามันจะดูเหมือนเป็นเปลวไฟ แต่วันนั้นดูสลัว ๆ มัว ๆ เลยดูเป็นภูเขาไฟมอดไป แต่ดูอลังการมาก

หมื่นโลแล้ว

หมื่นโลแล้ว

ที่ภูเขาเปลวไฟ

ที่ภูเขาเปลวไฟ

วันรุ่งขึ้นเราปั่นกันต่อจุดหมายเราคือเมืองชันชัน (Shanshan) ออกจากทูลูฟานมาได้นิดหน่อยก็มาเห็นตึกอพาร์ตเมนท์ท่ีเขาสร้างเสร็จแล้ว สังเกตุดูหลังคาสิค่ะ จีนเขานึกถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ฝั่งตรงข้ามกำลังก่อสร้าง เขาสร้างแผงเซลล์แสงอาทิตย์พร้อม ๆ กันไปเลย เราปั่นผ่านชานเมืองบางแห่ง ยังเห็นแผงพวกนี้บนหลังคาบ้านท่ีไม่ได้สร้างด้วยปูนซิเมนต์แต่เป็นดิน เห็นมอเตอร์ไซค์แบบใช้ไฟฟ้ามากมาย ไม่มีมลพิษทั้งทางอากาศและเสียง แต่เสียงนี่ไม่เป็นพิษแต่อาจจะเป็นภัยเพราะเล่นมาแบบเงียบ ๆ

ตึกอพาร์ตเมนท์ท่ีสร้างพร้อมกับแผงเซลล์แสงอาทิตย์

ตึกอพาร์ตเมนท์ท่ีสร้างพร้อมกับแผงเซลล์แสงอาทิตย์

เราวางแผนไว้ว่าจะอยู่โรงแรมชานเมืองจะได้ไม่ต้องเข้าไปหาให้ยุ่งยาก แต่มีปัญหาตรงท่ีเขาไม่สามารถรับชาวต่างชาติได้ จากท่ีแรกเราต้องปั่นเข้าเมืองอยู่ดี ก็มาเจอโรงแรมหนึ่งดูใหญ่โตมาก ดูจากขนาดแล้วน่าจะมีใบอนุญาติรับเราได้ เลยเดินเข้าไปถาม ได้ค่ะแต่แพง ขี้เกียจหาแล้วเลยเอาตรงนี้แหละ ทุกครั้งท่ีเช็คอินจะต้องเสียเวลากับการสื่อสารเรื่องห้อง ว่าไม่เอาห้องท่ีสูบบุหรี่, ท่ีจอดจักรยานต้องปลอดภัยห้ามหาย, อินเตอร์เนตแบบ wifi หรือใช้เคเบิ้ลและอาหารเช้าว่าอยู่ท่ีไหนกี่โมงถึงกี่โมง และท่ีนี่โรงแรมนี้ก็มีปัญหาว่าเราจะเอากระเป๋า 2-3 ใบทิ้งไว้ท่ีจักรยาน คนหนึ่งบอกปลอดภัยคนหนึ่งบอกไม่ได้ เฮ่อ…เหนื่อยใจเมื่อยมือท่ีต้องเขียนในไอโฟนโดยใช้กูเกิ้ลช่วยแปล ไม่มีกูเกิ้ลนี่แย่เลยนะเนี่ย สรุปได้ขึ้นห้องเสียที แค่เห็นทางเดินก็รู้สึกว่ามันจะหรูเกินไปสำหรับเราหรือเปล่าเนี่ย และพอเปิดประตูเข้าไป ไอ่หย๋า…ห้องใหญ่มาก มีอ่างอาบน้ำ แต่ครั้งนี้ไม่ได้คิดถึงเรื่องซักผ้าสักเท่าไหร่ แต่อยากลงไปแช่ขัดขี้ไคลเสียมากกว่า วันนั้นรู้สึกว่าเนื้อตัวสะอาดมาก ไม่รู้ว่าเคยสะอาดอย่างนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ 😉

โรงแรมนี้น่าจะห้าดาวมั้ง หรูเกิ้น มีห้องน้ำแห้งและเปียกแยกกัน มีห้องเสื้อผ้าสำหรับแต่งตัว

โรงแรมนี้น่าจะห้าดาวมั้ง หรูเกิ้น มีห้องน้ำแห้งและเปียกแยกกัน มีห้องเสื้อผ้าสำหรับแต่งตัว

ก่อนออกจากโรงแรมมองผ่านทางหน้าต่างดูแล้วขมุกขมัวชอบกล นึกว่าหมอกลงแต่พอเอาจักรยานออกไปนอกโรงแรมถึงเข้าใจว่าลมมันพัดฝุ่นคลุ้งเต็มเมือง แฮ่…อยากจะเดินกลับเข้าไปในโรงแรมอีกรอบเลย แถมยางหลังเวชแบนอีก เฮ้อ..ท่ีปะยางท่ีซื้อมาเป็นแผงนี่มันจะพอมั้ยเนี่ย แบนกันได้วันละหลาย ๆ รอบแบบนี้ ปะยางเสร็จเราก็ตัดใจปั่นออกจากเมืองชันชันลมแรง ฝุ่นเยอะมาก วันนั้นเราปั่นไปคุยไป ไปกันเรื่อย ๆ จริง ๆ เราปั่นบนทางธรรมดาก่อนเพราะอยากลองดูว่ายางจะแบนมั้ย มันช่างแตกต่างระหว่างท่ีปั่นอยู่บนทางด่วนท่ีไม่มีอะไรดีแค่ว่าไม่ต้องหาทางปั่นอย่างเดียวกับทางธรรมดาท่ีมีชีวิตชีวา เห็นผู้คนนั่งพักผ่อน, ขายของและทำไร่ส่วนใหญ่จะเป็นไร่องุ่น เราปั่นมาได้สักพักก็มีรถสามล้อขับผ่านเราไป เห็นเขามองมาเราเลยโบกมือให้ เขาผ่านเราไปแล้วไปจอดอยู่ข้างหน้าเรา บอกให้เราหยุดและยื่นองุ่นมาให้หนึ่งพวงใหญ่ ๆ และตามมาอีกหลายพวง เอ่อ..แล้วข้าพเจ้าจะไปวางท่ีไหน รีบหาถุงมาใส่ให้แต่เขาไม่มี จะสละผ้าพันคอมาห่อให้ เวชนึกขึ้นได้ว่าชอบสะสมถุงอยู่ท่ีกระเป๋าหน้ารถ พอหยิบออกมา คุณพี่เขาก็ยิ่งหยิบมาอีกหลายพวง พอแล้ว ถุงนั้นท่าจะปาเข้าไป 2-3 โล ครั้นจะให้ใครแถวนั้นก็คิดว่าเขาคงเบื่อกินองุ่นกันแล้ว เอาออกมาพวงหนึ่งล้างน้ำแล้วก็วางท่ีกระเป๋าหน้ารถนั่นเลย ปั่นไปกินไป เพลินมากเลย มันหวานและเป็นองุ่นไร้เม็ด เพิ่มพลังดีจริง ๆ

คุณพี่พยายามหยิบยื่นองุ่นมาให้พวงแล้วพวงเล่า เราก็พยายามปฏิเสธแต่ไม่เป็นผลจนกระทั่งต้องหาถุงมาใส่ ปั่นมาแวะปั้มซึ่งดูท่าทางห่างไกลจากเมืองมาก เลยหยิบองุ่นขึ้นมาให้เด็กปั้ม 3 พวงใหญ่ ๆ เบาและได้แบ่งปันด้วย ดีทั้งสองฝ่าย ;-)

คุณพี่พยายามหยิบยื่นองุ่นมาให้พวงแล้วพวงเล่า เราก็พยายามปฏิเสธแต่ไม่เป็นผลจนกระทั่งต้องหาถุงมาใส่ ปั่นมาแวะปั้มซึ่งดูท่าทางห่างไกลจากเมืองมาก เลยหยิบองุ่นขึ้นมาให้เด็กปั้ม 3 พวงใหญ่ ๆ เบาและได้แบ่งปันด้วย ดีทั้งสองฝ่าย 😉

ทางธรรมดาเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ เลยถูกบังคับให้ขึ้นทางด่วนอีกครั้ง ปั่นมาก็หลายกิโลอยู่ ยางยังดีอยู่ พอขึ้นทางด่วนปั่นได้ไม่เท่าไหร่ เอ๊ะ..มีเสียงอะไรท่ีล้อหน้า หยุดและสำรวจดูเลยเจอนี่เลย ลวดเส้นยาวปักติดยาวไปชนกับบังโคลนจนต้องหยุดหา ตอนแรกคิดว่าคงไม่เจาะไปถึงยางใน ปั่นไปได้สักพัก เฮ้อ..แบนอีกแล้ว

เส้นลวดเจ้าปัญหา หวังว่าหนทางข้างหน้าไม่ต้องขึ้นมาปั่นบนทางด่วนบ่อยนัก

เส้นลวดเจ้าปัญหา หวังว่าหนทางข้างหน้าไม่ต้องขึ้นมาปั่นบนทางด่วนบ่อยนัก

ปะอีกแล้ว หวังว่าท่ีปะยางคงจะพอจนกว่าเราจะไปถึงเมืองท่ีสามารถหาซื้อได้ ;-)

ปะอีกแล้ว หวังว่าท่ีปะยางคงจะพอจนกว่าเราจะไปถึงเมืองท่ีสามารถหาซื้อได้ 😉

ปั่น ๆ ไปลมเริ่มดันหลังเราไป สบายเลย แต่พอปั่นมาถึงตรงช่องเขา ลมเริ่มแรงพัดมาทางข้าง ๆ ลมแรงขึ้นเรื่อย ๆ บางครั้งมีรถบรรทุกขับผ่านเหมือนมันดูดเราเข้าไปหา จนหลายครั้งเราต้องหยุดให้มันผ่านไปก่อน ปั่นกันเอียง ๆ นึกถึงตอนท่ีเจอพายุหิมะท่ีฮังการีเลย แต่ตอนนั้นแย่กว่านี้เยอะเพราะมีหิมะหนาวติดลบ ตรงนี้เย็นเหมือนกันจนเราต้องเอาแจ๊คเก๊ตออกมาใส่ ปั่นจนเริ่มรู้สึกว่ามันเริ่มอันตรายนะ เลยมองหาท่ีกางเต้นท์ แต่ลมแรงขนาดนี้เต้นท์คงไม่ติดพื้นแน่ เราลองเดินหาช่องระบายน้ำใต้ถนนซึ่งก็เริ่มมีน้อยลง มาเจอท่ีหนึ่งค่อนข้างเตี้ย ขนาดเวชยังต้องก้มแต่ยังดีกว่านอนข้างนอกเพราะไม่รู้ว่าตกกลางคืนฝนจะตกหรือเปล่า ไม่สามารถคาดเดาได้เลย

วิวท่ีโล่งโจ้ง ไม่มีอะไรมาต้านทานลมได้เลย

วิวท่ีโล่งโจ้ง ไม่มีอะไรมาต้านทานลมได้เลย

กางเต้นท์ไม่ได้ เรานอนกันบนพื้นปูนนั่นเลย เอากระเป๋ามาวางบังลมช่วยได้เยอะทีเดียว

กางเต้นท์ไม่ได้ เรานอนกันบนพื้นปูนนั่นเลย เอากระเป๋ามาวางบังลมช่วยได้เยอะทีเดียว

เช้านี้เรานอนกันแบบเต็มอิ่มเลย ตื่นขึ้นมาก็ฉลองด้วยการเปลี่ยนยางในของเวช ล้อหลังแบน แบนกันได้ทุกวัน ขนาดใส่ยางในท่ีกันหนามแล้วนะเนี่ย ลมก็ยังแรงอยู่ ก้มหน้าก้มตาปั่นกันไป ไม่มีโอกาสได้ชมวิวทิวทัศน์แถวนั้น แต่คิดว่าคงไม่ได้พลาดอะไร เพราะเรายังอยู่ในเขตทะเลทราย เห็นมีตึกอุตสาหกรรมโรงงานอะไรสักอย่างนี่แหละ อ้าว..มีเสียงอะไรอีกละ ตึก ๆ ๆ และแล้วบันไดโจคิมเริ่มงอแง มันไม่ยอมหมุนตามเท้า ลองถอดออกมาดูปรากฎว่าลูกปืนในบันไดเสื่อม ปั่นได้สิบรอบขามันก็ติดขัด เลยต้องโบกรถเข้าเมืองฮามิ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ตอนแรกคิดว่าจะปั่นไปให้ถึงจุดจอดพักรถท่ีมีเป็นระยะ ๆ แต่ดูท่าทางคงไปได้ไม่เร็วเท่าไหร่ เราจึงคอยมองเช็คจราจรว่ามีรถบรรทุกคันไหนบ้างท่ีสามารถรับเราไปด้วยได้ แต่หามีไม่ ส่วนใหญ่จะเป็นรถบรรทุกน้ำมันหรือไม่ก็บรรทุกของกันจนเต็มคันรถแทบจะล้นออกมา เราเลยต้องพยายามไปให้ถึงจุดจอดพัก แต่พอไปถึงกลับยังสร้างไม่เสร็จ 😉 ยิ่งทำให้โอกาสท่ีเราจะได้รถเป็นไปได้ยากขึ้น เพราะมันจะขับผ่านเลยไป แต่!!! มีรถตู้คันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ ลอบมองเข้าไปในรถเห็นผู้ชายสองคนกำลังนอนพักผ่อน ขณะท่ีเราพยายามโบกรถเราก็จ้องรถตู้คันนี้ไว้ ความพยายามเราไม่เป็นผลสักเท่าไหร่ จนกระทั่งเห็นการเคลื่อนไหวในรถตู้ พวกเขาตื่นกันแล้ว!!! เราเดินเข้าไปหาเขาและพยายามเขียนคุยกับเขาทางไอโฟนขอให้เขาไปส่งเรา และเราพร้อมท่ีจะจ่ายค่าน้ำมันค่าเสียเวลาและค่าเสื่อมรถ คือตอนนั้นจ่ายเท่าไหร่บอกมา เงินไม่สำคัญสำหรับเราเสียแล้วแต่กลายเป็นเวลาและบันไดท่ีสำคัญกว่า หนุ่มน้อยทั้งสองบอกว่าเขาต้องไปทำงานต่อ ไปส่งเราถึงในเมืองไม่ได้ แต่เขาขับไปส่งเราไปสักระยะหนึ่งแถว ๆ ที่ทำงานเขาได้ พอมาถึงจุดท่ีเราต้องลง เขาก็ลงมาช่วยเราโบกรถ ขนาดเขาพูดภาษาได้ยังไม่สามารถโบกรถให้เราได้ เรายืนโบกหารถกันเกือบชั่วโมง เริ่มรู้สึกกดดันเรื่องเวลา เขาคงเห็นว่าถ้าปล่อยเราอยู่ตรงนั้นคงไม่มีหวังได้รถ เขาเลยตัดสินใจ ขับพาเราไปถึงทางขึ้นทางด่วน ซึ่งตรงนั้นรถทุกคันต้องหยุดให้ตำรวจเช็ค รวมทั้งรถบัส เขาช่วยเราถามคนขับรถจนกระทั่งได้ กระบวนการตั้งแต่เจอหนุ่มสองคนนี้จนกระทั่งได้ขึ้นรถบัสใช้เวลาเกือบครึ่งวัน นี่ขนาดมีคนจีนมายืนข้าง ๆ คอยช่วยคอยถามยังใช้เวลาขนาดนี้ :-O และก่อนท่ีเราจะบ๊ายบายกัน เวชยัดเงินใส่กระเป๋าเสื้อเขา เขารีบหยิบขึ้นมาดูและพยายามยัดกลับใส่มือเวช แบบจับมือกำไว้แล้วผลัก ๆ ดัน ๆ เวชให้ขึ้นรถบัสไป เราเกรงใจเขามากเลย เขาต้องขับรถมาตั้งไกล ขาดงานมาหลายชั่วโมง แล้วยังต้องขับกลับไปทางเดิมอีก

หนึ่งในสองหนุ่มท่ีขับรถมาส่งเราท่ีทางขึ้นทางด่วน หาทางช่วยเหลือเราอย่างเต็มท่ี ชื่อก็ไม่ได้ถามมาแถมไม่ยอมให้เราตอบแทนอะไร คนจีนก็น่ารักเหมือนกันนะ

หนึ่งในสองหนุ่มท่ีขับรถมาส่งเราท่ีทางขึ้นทางด่วน หาทางช่วยเหลือเราอย่างเต็มท่ี ชื่อก็ไม่ได้ถามมาแถมไม่ยอมให้เราตอบแทนอะไร คนจีนก็น่ารักเหมือนกันนะ

เข้ามาถึงเมืองฮามิ (Hami) มืดพอดี ท่ีจีนนี่ก่อนท่ีเราจะเช็คอินเข้าพัก เราต้องถามก่อนว่าเขาสามารถรับชาวต่างชาติได้มั้ย เหมือนเขาลืมเองนะ เพราะเวชก็คุยภาษาจีนไม่ได้แค่หน้าท่ีเหมือนจีน ถามแล้วถามอีกว่าได้มั้ยก็ยังบอกว่าได้ พอเอาพาสปอร์ตให้ดูถึงมาบอกว่าไม่ได้ เฮ่อ… โหลดกระเป๋าขึ้นจักรยานอีกรอบปั่นไปหาท่ีใหม่ ขณะปั่น ๆ อยู่ก็มีจักรยานคันหนึ่งปั่นมาข้าง ๆ และถามอะไรสักอย่างเดาไม่ออก เวชเห็นว่าเขาใช้จักรยานของเทรค (Trek) นั่นแสดงว่าเขาต้องรู้ว่าร้านจักรยานอยู่ที่ไหน เลยจอดและคุยกับเขา เขาถามว่าเราจะไปพักท่ีไหน พอเราบอกว่ากำลังหาอยู่ เขาเลยพาเราไปท่ีโรงแรมแห่งหนึ่ง Super 8 ช่วยถามช่วยเจรจาลดราคาค่าห้องให้ จัดการให้เราได้บัตรวีไอพีเพื่อไปใช้ลดราคาท่ีซุปเปอร์ 8 ที่เมืองอื่น ๆ คืนแรกเราจ่ายเต็มแต่คืนท่ีสองเราได้ลด 10% ก็ยังดีเนอะ โรงแรมท่ีนี่ต่อได้นะ ลดได้ประมาณ 10-20% หรืออาจจะมากกว่านั้น ตอนแรกก็ไม่กล้าต่อ หลัง ๆ ลองต่อดู ต่อกันไปต่อกันมาสนุกดี เขาก็น่ารักนะ

เพื่อนใหม่เราน่ารักมากและครั้งนี้ไม่ลืมท่ีจะถามชื่อแต่ต้องจดไม่อย่างนั้นไม่สามารถจำได้ 🙂 ชื่อ หวังหยงฉาง คืนนั้นพาเราไปกินข้าว กินเสร็จขับรถไปส่งท่ีโรงแรมอีก เราช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ พอวันรุ่งขึ้นเราเอาจักรยานไปเซอร์วิส รถโจคิมเปลี่ยนบันได เช็คเกียร์ ส่วนรถเวชต้องเปลี่ยนลูกปืนและแกนของล้อหลัง เพราะตอนเปลี่ยนยางในสังเกตุเห็นว่าเอานิ้วดันล้อไปข้าง ๆ ได้ตอนท่ีจะใส่เบรคเข้าท่ีเดิม พอไปถึงร้านเลยให้เขาเช็คทุกล้อเลย เราคงต้องคอยดูแลใกล้ชิดมากกว่านี้ จักรยานสองคันนี้ถือว่าเป็นสมาชิกในครอบครัวเราต้องดูแลกันเยอะ ๆ หน่อย หยงฉางส่งข้อความถามมาว่าจะไปกินข้าวมั้ย? เมื่อคืนเขาเลี้ยงเราเลยอยากเลี้ยงเขาคืน เขียนกลับไปว่า ”โอเค ท่ีไหน เมื่อไหร่” ต้องเขียนสั้น ๆ นะ ไม่อย่างนั้นกูเกิ้ลแปลมั่ว เขาเขียนกลับมาว่า ”อีก 10 นาที” อ้าว…แล้วจะเจอกันยังงัย เขาบอกว่าให้รอท่ีนั่น สักพักหนึ่งมีรถสีแดง 4WD ใหม่เอี่ยมมาจอดหน้าร้านจักรยานและมีเพื่อน ๆ (4 คน) ของเขาเดินมาหา เราทั้งหมดเลยกระโดดขึ้นรถเขาพาเราไปกินติ่มซำ มีจานหนึ่งไส้เนื้อลาด้วย ไม่บอกก็ไม่รู้หรอก แต่อิ่มอร่อยจนถึงเย็นเลย

เพื่อน ๆ ของหยงฉาง น่ารักมาก หลังจากกินอิ่มแล้วเราถามเขาว่าร้านขายของ outdoor อยู่ท่ีไหนเขาขับพาไปส่งเลย ถ้าเขาไม่ต้องกลับไปทำงานคงจะไปช่วยเราหาซื้อด้วยแน่ :-)

เพื่อน ๆ ของหยงฉาง น่ารักมาก หลังจากกินอิ่มแล้วเราถามเขาว่าร้านขายของ outdoor อยู่ท่ีไหนเขาขับพาไปส่งเลย ถ้าเขาไม่ต้องกลับไปทำงานคงจะไปช่วยเราหาซื้อด้วยแน่ 🙂

ออกไปเดินช้อปปิ้งซื้ออาหารและน้ำสำหรับวันรุ่งขึ้น มาเจอแพ๊คนี้ งง มีลูกตาอยู่ด้วยอ่ะ น่าสงสัยว่าเขาจะเอาไปทำอะไร ;-)

ออกไปเดินช้อปปิ้งซื้ออาหารและน้ำสำหรับวันรุ่งขึ้น มาเจอแพ๊คนี้ งง มีลูกตาอยู่ด้วยอ่ะ น่าสงสัยว่าเขาจะเอาไปทำอะไร 😉

ท่ีจีนเขาคงกินบะจ่างกันทั้งปีมั้ง มีแช่แข็งด้วย แต่ลูกเล็กกว่าท่ีแม่เวชเคยทำและคิดว่าคงไม่อร่อยเท่าแน่นอน ;-)

ท่ีจีนเขาคงกินบะจ่างกันทั้งปีมั้ง มีแช่แข็งด้วย แต่ลูกเล็กกว่าท่ีแม่เวชเคยทำและคิดว่าคงไม่อร่อยเท่าแน่นอน 😉

เราเปลี่ยนแผนนิดหน่อย!!! ยังจำเพื่อนเก่าเราได้มั้ยคะ? บาเทคจากโปแลนด์เขาปั่นห่างจากเราประมาณ 2-3 วัน เพราะเขาสามารถเข้าจีนได้ในขณะท่ีเราค้างเติ่งอยู่ท่ีหมู่บ้านในคีร์ซกิสถาน ตอนนี้เขาอยู่ท่ีเมืองกัวจู (Guazhou) เราเลยตัดสินใจขึ้นรถบัสจากเมืองฮามิไปเมืองกัวจูที่ไกลออกไปอีกประมาณ 400 กม.เพื่อเจอกับบาเทค โชคดีท่ีเราได้รับการช่วยเหลือจากพนักงานท่ีโรงแรมพาไปซื้อตั๋วรถทัวร์ เพราะยุ่งยากมากตอนแรกว่าจะขึ้นรถไฟ แต่คนจีนเขาคงเดินทางกันเป็นว่าเล่นมั้ง ขนาดวันธรรมดาตู้นอนยังเต็ม เขาเลยพาเราไปเช็คท่ีสถานีรถบัส เราซื้อได้ตั๋วท่ีนั่งแต่ปรากฎว่าค่าระวางจักรยานแพงกว่าอีก ท่ีเราตัดสินใจเช่นนี้เพราะเราเริ่มเบื่อทะเลทราย อยากเห็นอะไรเขียว ๆ แล้วและความท่ีรู้สึกว่าเราคืบหน้าไปช้า เรื่องวีซ่าเพื่อความสะดวกในการต่ออายุเราต้องต่อท่ีเมืองเล็กแห่งหนึ่งซึ่งเราต้องไปให้ทันก่อนวีซ่าจะหมดอายุ เราอยากปั่นขึ้นเขามากกว่าปั่นอยู่ในทะเลทรายท่ีเราปั่นผ่านกันมาแล้วทั้งท่ีคาซัคฯ และอุซเบกฯ คิดว่าพอละ

ใต้ท้องรถทัวร์บรรทุกของจิปาถะ กระเป๋าเดินทาง จักรยาน และยังมีสัตว์ด้วยเช่นหนูตัวเล็ก ๆ และ แกะเป็น ๆ :-O

ใต้ท้องรถทัวร์บรรทุกของจิปาถะ กระเป๋าเดินทาง จักรยาน และยังมีสัตว์ด้วยเช่นหนูตัวเล็ก ๆ และ แกะเป็น ๆ :-O

คืนก่อนท่ีเราจะออกเดินทาง “หยงฉาง” มาเคาะประตูห้องท่ีโรงแรม เขาแวะมาคุย เขาเองก็สงสัยว่าทำไมเราไม่ปั่นต่อ นั่งเขียนคุยกันสักพักเขาถามเราว่าถ้าเขาจะพาลูกชายเขามาให้รู้จักจะได้มั้ย น่ารักเนอะมีการขออนุญาติก่อนด้วยอ่ะ ได้สิทำไมจะไม่ได้ สักพักเขากลับมาพร้อมกับลูกชายอายุ 11 ปี น่ารักมาก คงจะถูกอบรมมาอย่างดี แต่ท่ีดีอีกอย่างคือเขาพูดภาษาอังกฤษได้ เก่งมากสำหรับเด็กอายุแค่นี้ เลยให้เขาสอนภาษาจีนให้เขียนและออกเสียงให้ฟัง เช้าวันรุ่งขึ้นตอนเราจะไปขึ้นรถทัวร์ “หยงฉาง” ยังมาส่งท่ีสถานีแถมเอาชาแพ๊คอย่างดีมาให้ด้วย รู้สึกอบอุ่นปลอดโปร่งดีท่ีีมีเพื่อนเรามายืนอยู่ข้าง ๆ คอยเป็นล่ามให้

คุณพ่อและคุณลูก น่ารักจริง ๆ แวะมาบ๊ายบายท่ีโรงแรมดูรูปกัน

คุณพ่อและคุณลูก น่ารักจริง ๆ แวะมาบ๊ายบายท่ีโรงแรมดูรูปกัน