หลังจากที่ได้ข้อมูลเรื่องเวลาซื้อตั๋วและร่ำลากับหนุ่มน้อยมัคซุดตรงจุดที่รอเรือ เราก็นั่งรอกันไป เรือที่เราจะนั่งไปนี่เป็นเรือบรรทุกสินค้าไม่ใช่เรือโดยสาร เพราะฉนั้นมันจะออกจากท่าก็ต่อเมื่อขนทุกอย่างและเต็มจริง ๆ เราเอาอาหารที่ซื้อตุนไว้มากินกันเป็นอาหารเย็น เพราะได้ข่าวมาว่าบนเรือไม่มีอะไรให้กินและตามจริงแล้วจะใช้เวลาประมาณ 18 ชม.จากบาคุไปอัคเทา แต่ไม่มีใครสามารถเดาได้ว่าเรือจะได้ออกหรือเข้าท่าเมื่อไหร่ และเมื่อไหร่ที่ทางการของคาซัคสถานจะปล่อยให้เรือเข้าท่า และถ้าท่าเรือไม่ว่าง เราก็ต้องลอยอยู่กลางทะเลจนกว่าจะได้สัญญาณจากทางคาซัคฯ นั่นคือเราต้องเตรียมอาหารและน้ำอย่างน้อยสำหรับ 2 วัน เริ่มแบกน้ำกันเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยละนะ
เราโชคดีตรงที่ว่าคืนนั้นมีกลุ่มคนเยอรมันที่สามารถพูดภาษารัสเซียได้ หนึ่งในนั้นชื่อ Ed (เอ็ด) คอยช่วยเราด้านข้อมูลและคอยเป็นล่ามให้เราแทนมัคซุด ก่อนหน้านั้นมัคซุดว่าบูธขายตั๋วจะเปิดตอนสองทุ่ม พอนาฬิกาตีสองทุ่มปุ๊บเราเดินไปที่บูธนั้น ยัง ยังไม่เปิดค่ะ เอ็ดเลยจัดการโทรไปถามใครก็ไม่รู้้ที่เขารู้จัก กว่าเราจะได้ซื้อตั๋วก็ตอนแปดโมงเช้าของอีกวันหนึ่ง ได้ตั๋วแล้วไม่ใช่ว่าจะได้ขึ้นเรือเลยนะ โน่น…. รอไปก่อน เพราะอะไรสักอย่างไม่สามารถทราบได้ และประมาณเที่ยงวัน เขาก็เรียกให้เราไปที่กองตรวจเพื่อเช๊คหนังสือเดินทาง เราก็ตื่นเต้นเพราะเรามีหนังสือเดินทาง 2 เล่มเพราะเราส่งอีกเล่มหนึ่งไปขอวีซ่าเข้าจีนที่สวีเดน แต่ตรงนี้ไม่มีปัญหา เขาแค่แสตมป์เราออกจากอัซเซอร์ไบจานเท่านั้น แต่ก็ขอดูอีกเล่มด้วย
ตรงที่เรารอเรือกันเป็นโถงใหญ่ ๆ มีม้านั่งรอบ ๆ ด้านใน พวกเรานักปั่น 7 คน นักบิดมอเตอร์ไซค์ 5 คนชาวเยอรมัน และนักเดิน(ทาง) 1 คนชาวฝรั่งเศส พอดึกได้เวลานอนเราหาที่นอนรอ แต่ละคนก็หามุมของตัวเอง หลายคนถูกยุงกัด แต่เราไม่โดนช่างเป็นเรื่องน่าประหลาด เพราะธรรมดาจะโดนกัดอยู่คนเดียว
รู้สึกตื่นเต้นพอสมควรพอได้ขึ้นเรือหลังจากที่รออย่างไม่กำหนดแน่นอน บ่ายสองของวันศุกร์เราได้ขึ้นเรือจริง ๆ แต่กว่าเรือจะออกก็ห้าโมงเย็น ในที่สุดเราก็ได้ข้ามและเดินทางต่อไป ความตื่นเต้นของเราเกิดขึ้นปุ๊บก็หมดลงปั๊บหลังจากที่เรารู้ว่าคนขายตั๋วเรือจองที่ให้เรา แต่มีผู้โดยสารมากกว่าห้องพัก ระหว่างที่รอพวกเรารู้สึกเหนื่อย อาจจะเป็นเพราะช่วงที่เราเรือนั้น บรรยากาศค่อนข้างกดดันและต้องลุ้นกันตลอดเวลาว่าเมื่อไหร่คนขายตั๋วจะมา แล้วเราจะได้ไปเมื่อไหร่ ได้ขึ้นเรือแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใกล้ประเทศคาซัคสถาน เพราะขึ้นมาแล้วก็ยังต้องรออยู่ตรงนั้น อย่างว่าไม่มีหมายกำหนดการ 🙁
เรื่องห้องพักเพื่อนใหม่ของเรา ”เอ๊ด” จัดการเป็นล่ามให้เรา โดยเดินไปคุยกับกัปตันเรือ เขาสามารถหาให้ได้แค่ 1 ห้องสำหรับ 2 คน เพื่อน ๆ ในแก้งส์เลยยกให้เราสองคนไปนอน ตอนแรกก็ปฏิเสธ แต่คิดอีกทีก็เป็นการดีสำหรับทุกคน ห้องโถงใหญ่นั่นจะได้มีที่มากขึ้น พวกเราจะได้มีห้องน้ำห้องอาบน้ำส่วนตัว ย้ายไป ห้องที่กัปตันให้เราไปอยู่ จริง ๆ เป็นของลูกเรือคนหนึ่ง รู้สึกไม่ค่อยดีที่ไปแย่งที่นอนเขา แต่ในเมื่อเราจ่ายตังค์แล้ว ความเกรงใจเลยน้อยลง พวกเราถูกชาร์ตมากกว่ากลุ่มของเอ๊ดตั้ง 10 USD
บริษัทเรือที่เรานั่งมานี่มีเรืออยู่สองลำ ลำหนึ่งเก่าอีกลำหนึ่งใหม่แต่ที่เรานั่งมาด้วยเป็นเรือเก่า แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเก่าสักเท่าไหร่ เราเริ่มกินอาหารที่เราตุนกันมา แต่อีกสักพักหนึ่งเอ๊ดเดินมาบอกเราว่าเขาจะเสริฟอาหารเย็นเราตอนสามทุ่ม ว้าว… อันนี้ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน เซอร์ไพรส์ มีเสริฟซุปก่อนและหลังจากนั้นเป็นมักโรนีกับไก่หนึ่งชิ้น สรุปว่ารวมอาหารทุกมื้อ รอดตาย ไม่ต้องกินแต่ขนมปังกับแยมที่เตรียมกันมา
เราขึ้นเรือวันเสาร์บ่ายจนกระทั่งบ่ายของวันจันทร์เราสามารถมองเห็นประเทศคาซัคฯจากทะเลแคสเปี้ยน เราก็คิดว่าอีกไม่นานน่าจะได้ขึ้นฝั่งเสียที แต่..กัปตันปล่อยสมอเรือและดับเครื่อง ทำไม??? สักพักหนึ่งเอ็ดเดินมาบอกเราว่าท่าเรือไม่ว่างและเราอาจจะต้องรอจนกระทั่งสี่ทุ่ม นั่นก็ดึกเกินถ้าเราเริ่มปั่นออกจากท่าเรือ เลยบอกเอ็ดให้เขาไปขออนุญาติกัปตันให้พวกเราได้นอนบนเรือจนกระทั่งวันรุ่งขึ้นจะได้หรือเปล่า? หลังจากที่รอให้กัปตันวิทยุไปถาม ก็เป็นอันตกลงว่าเขาจะเอาเรือเข้าท่าวันพรุ่งนี้เช้าแทน ระหว่างที่อยู่บนเรือนั่น ค่อนข้างน่าเบื่อ เรือไม่ใหญ่มาก มีแค่สองชั้น ห้องน้ำสาธารณะมี 1 ห้อง ห้องอาบน้ำมี 2 ห้อง ต่อมาห้องน้ำสาธารณะเต็ม กดน้ำไม่ได้ พวกเราส่วนใหญ่ก็ไปใช้ห้องน้ำที่ห้องพักของเรา และหลังจากนั้นไม่นาน มันก็เต็มด้วย ทีนี้เต็มทุกห้อง ไม่สามารถใช้ห้องน้ำที่ไหนได้ เขาบอกว่ามีใครในกลุ่มของเราทิ้งกระดาษทิชชูลงในโถส้วมทำให้ระบบของเขาเสีย เอ.. ก็เห็นมันกลับมาทำงานได้อยู่นี่นาหลังจากที่เขาสตาร์ตเครื่องยนต์อีกครั้งหนึ่ง เราเลยต้องอดทนกันหรือไม่อย่างนั้นก็ต้องทำธุระของตัวเองซ้ำกับของคนอื่น อึ๋ย…
หกโมงเช้ามีคนมาปลุกให้เตรียมตัว เราแพ๊คและกำลังจะเอากระเป๋าโหลดบนจักรยานก็มีคนมาบอกว่าอาจจะต้องรออีกสัก 2-3 ชม.เพราะเจ้าหน้าที่ทางคาซัคฯ เปลี่ยนเวร เวร!!! สรุปเราใช้เวลานั่งเรือข้ามทะเลจากบาคุไปอัคเทาระยะทาง 450 กม.แต่ใช้เวลา 44 ชม.เป็นการรอคอยที่น่าเบื่อ ถ้าเป็นเรือโดยสารอาจจะมีกิจกรรมอะไรอย่างอื่นให้ทำ แต่ลำนี้ไม่มีอะไรนอกจากต้องรังสรรค์กันเอาเอง ก็ดีเหมือนกัน
ตอนที่เรารออยู่ก็ไม่รู้จะทำอะไรเลยเดินไปเดินมา กัปตันเดินมาบอกพวกเราทุกคนว่า ”ห้ามเดินออกไปที่กาบเรือ ไม่อย่างนั้นเจ้าหน้าที่ทางคาซัคฯ จะไม่ขึ้นมาตรวจ” เอ่อ..โอเค ไม่รู้ว่าเขากลัวอะไรนักหนานิ อีกไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจดูพาสปอร์ตของทุกคนไม่เว้นแม้แต่ลูกเรือ หลังจากที่เราได้พาสปอร์ตของเราแล้ว ก็ลงไปเข็นจักรยานขึ้นฝั่งกัน พอมาถึงตม.ของคาซัคฯ ตรวจพาสปอร์ตอีกครั้งหนึ่ง และโดนซุ่มตรวจในกระเป๋าจักรยานด้วย มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนหนึ่งมาตรวจกระเป๋าหน้ารถเวช โห..หล่อนทำท่าหยิบของแต่ละชิ้นในกระเป๋าเหมือนกับมันเป็นสิ่งสกปรกมากยังงัยยังงั้นเลย หมั่นไส้จริง.. แต่ไม่เป็นไรขอให้ฉันผ่านไปก็พอ
นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าคาซัคสถานต้องลงทะเบียนที่ตม.ถ้าอยู่เกิน 3 วัน พอออกจากท่าเรือเราปั่นวนหาตม.อยู่นานเพื่อที่จะได้ประทับตราที่ใบลงทะเบียน หลังจากนั้นซื้อของและอาหารมาตุนสำหรับ 5 วันในทะเลทราย อาหารส่วนใหญ่ที่ซื้อจะเป็นสปาเก็ตตี้ แจม ครีมช๊อคโกแลต คาร์โบไฮเดรตทั้งนั้น เริ่มปั่นออกจากตัวเมืองเพื่อหาที่ตั้งแคมป์ เพราะเริ่มเย็นเดี๋ยวจะมืดเสียก่อน
ภูมิประเทศของคาซัคสถานค่อนข้างราบเรียบแต่ก็ยังมีเนินเล็ก ๆ น้อย ๆ และแห้งแล้ง มีแต่ต้นไม้เป็นพุ่ม ๆ เล็ก ๆ เตี้ย ๆ บางต้นใบของมันคือหนาม ตอนแรกคิดว่าพอมันแห้งจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาลมันถึงจะแข็งเป็นหนามแต่เปล่าเลยมันโตมาเป็นหนามเลยมั้ง น่าจะมีชื่อว่า ”ต้นหนาม”
คืนที่สองเรากางเต้นท์ที่อีกด้านหนึ่งเป็นภูเขาทราย ดูแล้วน่าจะเป็นอะไรที่กันลมได้แต่มันไม่กันฝนให้เรา เพราะพอตกกลางคืนฝนเทลงมาอย่างหนักเลย ตอนเช้าเรานัดกันว่าจะตื่นกันแต่เช้า แต่ฝนมาตกตอนเช้าด้วยก็เลยได้นอนต่ออีกหนึ่งชม. แต่ละคนก็ไม่อยากลุกออกจากที่นอนออกมาเจอเปียก ๆ กัน ตอนที่กำลังเก็บเต้นท์เราเห็นแมงป่องด้วย ตัวนิดเดียวสีมันเหมือนทรายเลย ไม่สังเกตุจะมองไม่เห็นเลยแหละ อีกสักพักก็เห็นตัวเล็ก ๆ อีกตัวหนึ่ง สงสัยเราไปนอนทับประตูบ้านมันหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่เราทำกันเป็นประจำคือปิดฝากระเป๋าทุกใบ, เช๊คหมวกและก่อนใส่รองเท้าต้องตรวจดูก่อนว่ามีสัตว์ประหลาดเข้าไปแอบในรองเท้าหรือเปล่า คงไม่น่าจะมี เพราะรองเท้าเราคงไม่หอม นอกจากแมงป่องแล้วโจคิมยังเห็นหนูทะเลทรายด้วย เวชไม่เห็น เห็นแต่จิ้งจกวิ่งปื้ด ๆ ข้ามถนนไป
ส่วนสัตว์ตัวใหญ่ก็เห็นจะเป็นม้าและเจ้าอูฐนี่แหละ มีอยู่สองประเภทคือที่มีสองหน่อ (Camels) และหนึ่งหน่อ (Dromedaries) มันอยู่ทั่วไปจริง ๆ เลยนะ ในทะเลทราย ในหมู่บ้านและในเมืองด้วย ปั่นตั้งแต่จากประเทศที่มีแต่วัว แกะ และแพะ ตอนนี้มาเป็นอูฐและม้า บางตัวก็มีเครื่องหมายเหมือนมันมีเจ้าของ บางตัวถูกล่ามโซ่ที่ขาหน้าทั้งสองขาใกล้ ๆ กัน เพื่อไม่ให้มันเดินไปไหนไกลเกิน ส่วนม้าเกือบแน่ใจว่ามันเป็นม้าป่านะ
อากาศในทะเลทรายร้อนในช่วงกลางวัน บางวันที่วัดอุณหภูมิของโจคิมวัดได้ถึง 43 องศา ต้นไม้ก็ไม่มีพอถึงเวลาพักก็ต้องมองหาทางน้ำผ่านหรือทางใต้สะพานที่เห็นในรูป เพราะฉนั้นเราเลยตกลงกันว่าจะเริ่มปั่นกันแต่เช้าเพื่อหลีกเลี่ยงอากาศที่ร้อนจัด แต่ตกตอนเย็นอากาศก็เริ่มเย็น บางวันไม่มีลมจะรู้สึกร้อนแต่พอดึกสงัดจะเย็น ๆ นอนสบาย
ทั้ง 5 วันครึ่งที่เราปั่นในทะเลทราย ความที่หน้าถนนขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ มีทรายเป็นบางช่วง ที่แย่คือเราทำระยะทางไม่ได้ แต่ที่ดีคือรถราก็ขับกันช้าลง คนที่คาซัคฯ เวลาเขาทักทายเขาจะกดแตรหนึ่งครั้งและยังโบกมือแถมยิ้มให้อีก บางครั้งก็ยกนิ้วให้ มีครั้งหนึ่งเราแวะเข้าไปที่ร้านชาข้างทาง เจอคนขับรถบรรทุกที่ไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ พูดจาลามก หลังจากคุยกันได้หน่อย เขาก็สั่งอาหารมาพร้อมทั้งเหล้าวอดก้า 40 ดีกรี ตอนนั้นก็เย็นแล้วคิดว่าพวกเขาคงจะพักกันที่นั่น แต่พอถามว่าเรามาจากไหนกัน เพื่อนเราสองคนมาจากเยอรมัน มันก็โวยวายว่าเพื่อนเราเป็นพวกนาซี มันจะบ้า!!! ไม่ใช่มันบ้าไปแล้ว.. จากที่คิดว่าจะปั่นไปหาที่กางเต้นท์ข้างหน้า เลยเปลี่ยนใจปั่นย้อนกลับไปอีก 3 กม.เพราะกลัวว่าคนขับรถบรรทุกจะขับผ่านตรงที่เราตั้งแคมป์ แต่ก่อนที่จะเรื่อง มีนักปั่นหญิงชาวฝรั่งเศส (เอลิซี) แวะเข้าที่ร้านชา และก็ได้คุยกัน เราเลยชวนเขาไปกางเต้นท์กัน เขาดีใจเพราะนั่นเป็นทางที่เขาจะไป เอลิซีเริ่ีมปั่นจากปักกิ่งย้อนศรพวกเรา เราเลยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลบางอย่างกัน
ความเป็นคนตุรกีนี่รับประกันความใจดีอันดับหนึ่งและได้ถึง 100% ว่ามีความใจดีจริง ๆ ไม่ว่าจะเจอกันที่ไหน ระหว่างทางมีรถบรรทุกจอดคุยกับเรา เวชเห็นป้ายทะเบียนรถแล้ว รู้ว่ามาจากตุรกี แต่ไม่แน่ใจว่าพวกเขามากจากตุรกีด้วยหรือเปล่า เขาชวนให้กินชา โจคิมบอกว่าไม่เอามันร้อน เลยล้อเล่นว่าไม่มีโค้กเย็น ๆ หรือ เขาเลยตะโกนบอกเพื่อนว่าให้ไปหยิบน้ำผลไม้เย็น ๆ มาเสริฟ โห…สดชื่น ดื่มของเขาเสียเกลี้ยงเลย หลังจากนั้นก็มีรถคันหนึ่งมาจอดข้าง ๆ เวชคิดว่าเขาน่าจะล้อเล่นว่าเราปั่นผิดข้าง คุยไปคุยมา ปรากฎเป็นวิศวะจากตุรกี เอาน้ำเอาผลไม้อะไรมั้ย???? ต้องกลับไปเที่ยวตุรกีอีกแน่นอน
มีคืนหนึ่งเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มซื้อวอดก้ามาดื่มกันที่แคมป์ หลังจากที่วอดก้าหมดขวดไปแล้ว เพื่อนคนเยอรมันบอกว่าเขาค่อนข้างแน่ใจว่าพวกคนขับรถบรรทุกนี่น่าจะมีวอดก้าติดรถมาด้วย พูดเสร็จก็กระโดดขึ้นจักรยานไปดักหน้ารถบรรทุก หลังจากนั้นเขาปั่นกลับมาพร้อมกับรถบรรทุกสองคันตามหลังมาด้วย คนขับรถบรรทุกมาจากรัสเซียเขาบอกว่าวอดก้าไม่มีเอาเหล้าไวน์แดงไปละกันกระป๋อง 5 ลิตร โจคิมว่ารสชาติดี แต่ถ้าเราจะเริ่มปั่นกันตั้งแต่หกโมงเช้ากันก็ไม่ควรดื่มมากมาย มีอยู่สามคนที่นั่งก๊งกัน ไม่รู้ว่าถึงกี่โมงแต่รู้ว่าคืนนั้นนอนไม่ค่อยหลับเพราะพวกเขาเสียงดังกัน ไม่น่าทำลายบรรยากาศแต่ก็เข้าใจพวกเขาเหมือนกัน
เรื่องน้ำที่เริ่มมีปัญหาหลังจากที่เราเข้าเขตทะเลทราย เคยค้นหาข้อมูลอยู่เหมือนกันว่ามีร้านค้าทุก ๆ 30 กม. แต่เราก็ยังต้องแบกไปด้วยเพื่อใช้ดื่มทำอาหารระหว่างทางและชำระล้างร่างกายด้วย เราแบกได้อย่างมากคือ 11 ลิตรและมันจะราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ายิ่งเข้าไปในที่ ๆ กันดาร เราไม่สามารถอาบน้ำให้สะอาดหมดจดได้ เพราะฉนั้นเราจะล้างส่วนที่สำคัญด้วยสบู่ ส่วนแขนขาก็เอาน้ำชุบผ้าแล้วเช็ดเอา พยายามใช้ไม่เกิน 1 ลิตร เฮ้อ.. อีกอย่างทะเลทราย ตลอด 360 องศาไม่มีต้นไม้สักต้น ราบเรียบ ไม่อาบไม่เช็ดก็ไม่ได้ เราเลยต้องเดินออกไปไกลหน่อย ไกลเกินไปก็ไม่ดีเดี๋ยวหาทางกลับไม่ถูกอีก 🙂 ถือคติที่ว่าถ้าเราไม่มองเขาเราก็ไม่รู้ว่าเขามองเรา
ในที่สุดเราก็มาถึงเบนู (Beyneu) เมืองที่อยู่ใกล้ชายแดนระหว่างคาซัคฯ และ อุซเบคฯ ประมาณ 80 กม. เป็นเมืองที่ไม่ว่าใครจะไปทางไหนก็ต้องผ่านเบนูก่อน เรารู้ว่าที่นี่เราสามารถเช๊คอินเข้าโรงแรมที่ดีหน่อย หลังจากที่ประหยัดค่าโรงแรมมา 5 คืนแล้วคืนนี้ขออาบน้ำนอนในห้องแอร์เสียหน่อย ตอนแรกคิดว่าจะเอาเสื้อผ้าให้เขาซักในเครื่อง แต่มาคิดอีกทีกลัวว่าเครื่องเขาจะเสียเอา เลยซักมือกัน คิดว่าซักน้ำก่อนแล้วค่อยซักแฟ๊บตามวิธีที่เราซัก ๆ กัน แต่ที่ไหนได้ น้ำที่สามยังดำปี๋อยู่เลย ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าที่ต้องซัก 3-4 รอบ ขนาดอาบน้ำยังต้อง 2 รอบกว่าน้ำที่ไหลลงท่อจะดูเป็นปกติ 🙂