วันที่เรามาถึงบาคุ เราได้เจอนักปั่นสองคนจากเยอรมัน (ซีมอนและโทมัส) เขาจะไปประเทศอุซเบกิสถานและทาจิกิสถาน สำหรับคนสวีเดน ถ้าจะเข้าอุซเบกิสถานต้องมีจดหมายเชิญ แต่คนเยอรมันไม่ต้อง ซึ่งจดหมายนี้ต้องทำที่บริษัททางอินเตอร์เนตโดยส่งรายละเอียดไปให้เขาทางอีเมลย์ และเมื่อเสร็จแล้วเขาจะส่งมาให้เราทางอีเมลย์เช่นกัน เราไม่ได้จ่ายเพิ่มจากราคาตามปกติเลยต้องรอ 10 วันทำการ และเมื่อคำนวณเวลาดูแล้วคิดว่าน่าจะทันอยู่ เพราะเรายังทำเวลาได้ตามที่เคยวางแผนไว้
เข้าบาคุมาได้หลายวันละ แต่ยังไม่ได้ไปเที่ยวดูสถานที่ท่องเที่ยวของเขาเลย เพราะเราวุ่นอยู่กับการขอวีซ่า นั่งรถแท๊กซี่ รถเมลย์ไปกลับสถานฑูตไม่รู้กี่เที่ยว ไปยื่นเอกสาร ได้เบอร์บัญชีมา กลับเข้าไปในเมืองไปชำระค่าธรรมเนียมที่แบงค์ อ่า…ไม่ใช่แบงค์ไหนก็ได้นะ ต้องเป็น International Bank of Azerbaijan เท่านั้น แล้วค่อยกลับไปสถานฑูตอีกทีเพื่อประทับตราวีซ่าที่หนังสือเดินทาง แฮ่…แต่คุ้มตรงที่ว่า เราได้วีซ่าของทั้งสองประเทศภายในวันเดียวกัน เพราะทางสถานฑูตไม่ได้เก็บหนังสือเดินทางของเรา เราจึงสามารถขอวีซ่าของทั้งสองประเทศพร้อมกันได้ เท่าที่เคยอ่านในเว็บต์ต่าง ๆ เขาบอกว่าการขอวีซ่าของทั้งสองประทศนี้ค่อนข้างยุ่งยากแต่เราไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย กลับคิดว่าเขาใจดีออก โดยเฉพาะกงศุลของอุซเบกฯ ดูเป็นกันเอง แต่เห็นท่าทางความเร็วในการทำงานของเขาแล้ว มันดูเชื่องช้ามาก แต่เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากรออย่างใช้ความอดทน ส่วนสถานฑูตคาซัคสถานเขานัดเราให้ไปรับวันศุกร์ แต่เราไปวันพฤหัส 🙂 เขาจำเราได้และบอกว่า “อ้าว..ฉันบอกให้พวกเธอมาวันศุกร์ไม่ใช่รึ?” ฮี่ๆๆ เราหันหน้าเข้าหากัน “อ้าว..วันนี้ไม่ใช่วันศุกร์รึ? ถ้างั้นขอเช๊คว่าเสร็จหรือยัง?” 🙂 เขากลับเข้าไปในห้องอีกที เราได้ยินเสียงพริ้นเตอร์ รู้สึกมีความหวังขึ้นมาหน่อย หลังจากนั้น 15 นาที เขาออกมาและบอกว่ามีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย จ้าก…อะไรหรือคะ? คือเวชได้วีซ่า 3 เดือน ส่วนโจคิมได้ 1 เดือน เฮ่อ..ค่อยยังชั่วนึกไปถึงอะไร ๆ ที่แย่กว่านั้น เช่นโจคิมได้วีซ่าแต่เวชไม่ได้
ตอนที่ออกจากทบิลิซิ เราออกมาก่อนเพื่อน ๆ นักปั่นคนอื่น ๆ (บาเทค, ไซม่อน, มาร์โกะ) ที่เรารู้สึกสนิทด้วยตั้งแต่เจอกันที่บาทุมิเมืองท่าของจอร์เจีย เพราะเราคิดว่าเราอยากไปเรื่อย ๆ เพื่อดูอาการเข่า ไม่อยากไปถ่วงเวลาเขา แต่อภินิหารมีจริง และแปลกมาก แค่ขยับเบาะและซ่อมรางใต้เบาะ แค่นั้น เข่าที่เจ็บทุกครั้งที่ปั่นเหยียดเท้าลงก็หายเป็นปลิดทิ้ง เพราะก่อนหน้านี้ยังคิดอยู่ว่า เข่าที่เจ็บนี่จะทำให้เราเดินทางต่อได้หรือไม่??? จะทำให้แผนการเดินทางสิ้นสุดลงตรงนี้หรือ??? ตอนนี้หายดีแล้วรู้สึกปลอดโปล่งโล่งใจมาก ไชโย!!!
ปัญหาที่เข่าหายไป ต่อไปคือฟัน 🙂 จากแค่ปวดหนึบ ๆ ที่เหงือก คิดว่ากินยาแก้ปวดคงจะหาย โนๆๆ มันยังปวดหนึบ ๆ แต่ทนได้ จนกระทั่งเข้าบาคุเริ่มบวมนิด ๆ เลยเป็นกังวลเพราะถ้าปล่อยไว้และปวดมากขึ้นอาจจะหาหมอฟันในทะเลทรายยากหน่อย น่าจะไม่มีมากกว่า คงถูกถอนสด ๆ กลางตลาดแน่ 🙂 เลยรีบเข้าไปหาข้อมูลในอินเตอร์เนต และได้ความว่ามีหมอฟันอินเตอร์ในเมือง เลยโทรไปจองเวลา โชคดีที่เขามีเวลาวันนั้นตอนเย็น หลังจากได้พบหมอฟัน สรุปว่าซี่ที่เคยรักษารากฟันถูกบัคเทเลียเข้ารุมล้อม ไม่คิดว่าที่ปวดจะมาจากรากฟัน เพราะเคยรักษาแล้วไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้น เลยวางใจ ได้ยาแอนตี้ไบโอติคมากินไปก่อน เพราะไม่มีเวลารักษารากฟันตอนนี้ เอายานี้ช่วยประวิงเวลาไปก่อน หมอเขาว่าน่าจะช่วยได้ 6 -12 เดือน ถึงเมืองไทยค่อยจัดการต่อ ตอนนี้ค่อยยังชั่ว น่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะกินหมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว
อยู่ที่บาคุเราเรียกแท๊กซี่กันเป็นว่าเล่น ทำให้นึกถึงบ้านเรานิด ๆ พอจะไปไหนทีก็กวักมือเรียกแท๊กซี่ที แต่รถเมล์ที่นี่ดีนะ 0.20 เคอเพ๊ก (เศษสตางค์ของเขา) ตลอดสาย ไม่ต้องมีกระเป๋ารถเมล์ ทุกคนรู้หน้าที่วางเงินให้ตรงข้าง ๆ คนขับ ออกจากที่พักไม่ค่อยรู้ว่าจะนั่งสายอะไร แต่ขากลับเราจะขึ้นสายอะไรก็ได้ ขอให้เข้ามาใกล้เมืองหน่อยแล้วถ้าไม่เดินกลับก็เรียกแท๊กซี่ต่อ บาคุช่วงเวลาเร่งรีบรถติดมาก เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาเราออกไปหาซื้อยางนอกสำรองไว้และอะไหล่อื่น ๆ อีกนิดหน่อยที่ร้านจักรยาน เพราะถ้าออกจากบาคุแล้วคงหายาก พอไปถึงที่ร้านก็เห็นว่ามีของที่มีคุณภาพทั้งนั้น และได้เจอกับหนุ่มน้อย “มัคซุด” ที่สามารถสื่อสารกันได้ เราคุยและเช๊คกับเขาหลายเรื่อง แต่เรื่องเกียร์ของโจคิมที่เราอธิบายแล้ว แต่เขานึกภาพไม่ออก เขาเลยถามว่าเราพักที่ไหน ปรากฎว่าบ้านหนุ่มน้อยของเราอยู่ห่างจากที่เราพักไม่กี่ร้อยเมตร เขาเลยอาสาจะมาดูจักรยานให้หลังเลิกงาน
ช่วงเย็นที่รอมัคซุดมา เจ้าของเกสเฮาส์ไม่ได้ข่าวอะไรจากเรือ เพราะเขาโทรไปถามให้ทุกวันที่บูธขายตั๋วเรือว่ามีเรือมั้ย มีตั๋วมั้ย แต่พวกเราสื่อสารกับเธอได้ไม่เต็มท่ี เราเลยนึกถึงหนุ่มน้อยมัคซุด ขอให้เขามาเป็นล่ามจำเป็นให้เรา ซึ่งเขาก็เต็มใจที่จะช่วยเหลือ แต่เราก็ต้องรอเขาจนกว่าเขาจะเลิกงาน วันนี้รถติดมากเพราะมีการซ้อมเดินขบวนพาเหรดทหาร เพื่อวันจริง (26 มิย.) ไม่รู้เหมือนกันว่ามันสำคัญอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ คือทำให้ชาวบ้านลำบาก เขาปิดถนนรถไม่ขยับ เราเลยลงจากแท๊กซี่เดินกลับ ตั้ง 3 กม.
เมื่อคืนมัคซุดมาไม่ได้เพราะติดฝนเลยขอเลื่อนเป็นวันถัดไป วันนี้เป็นวันมิดซัมเมอร์ที่สวีเดน ครอบครัวโจคิมคงฉลองกันใหญ่ และฝนก็คงจะตกที่โน่นด้วยอากาศเป็นอย่างนี้ทุกปี เช้าวันต่อมาเราไปทำธุระกัน พอกลับมาถึงที่พักเพื่อน ๆ ได้ข้อมูลใหม่ว่าเรือจะเข้าท่าคืนนี้ตอนสองทุ่ม พอดีกับที่มัคซุดมาดูจักรยานให้ เลยได้เขาช่วยเป็นสะพานภาษา สรุปว่าเรือเข้าจริงแต่จะออกเมื่อไหร่ไม่มีใครให้คำตอบได้ เพราะแล้วแต่ว่าเรือจะเต็มหรือจะโหลดรถโหลดของเสร็จเมื่อไหร่ เพราะเรือลำนี้จริง ๆ เป็นเรือบรรทุกสินค้า รับผู้โดยสารได้ไม่มาก เราไม่สามารถนั่งรอที่เกสต์เฮาส์เพราะไม่มีท่ี เจ้าของเขาโทรและจองตั๋วให้เราไว้แล้ว 7 คน เป็นนักปั่นทั้งหมด มี ไทย, สวีเดน, โปแลนด์, สโลเวเนีย, นิวซีแลนด์และเยอรมัน 2 คน นานาชาติจริง ๆ เที่ยงเราต้องเช๊คเอาท์ ทุกคนเลยวุ่นจัดการกับสัมภาระของตัวเอง เพราะที่โฮสต์เทลเขามีคนมาอยู่ต่อจากเรา มัคซุดเป็นล่ามช่วยแปลตั้งแต่เรื่องเรือ ตั๋ว เช๊คเอาท์ แต่จะไปนั่งรอเรือที่ไหนกันล่ะ ไปที่ท่าเรือเลยก็น่าเบื่อ หนุ่มน้อยมัคซุดเสนอให้เราไปนั่งในสวนใกล้ ๆ เงียบสงบจากจราจรและไม่มีผู้คนพลุกพล่านเท่าไหร่ เป็นคำแนะนำที่ดีมาก พอคุยกันไปคุยกันมา ได้รู้ว่าเขาแค่มาทำงานช่วงซัมเมอร์ระหว่างมหาลัยปิดเทอมภาคฤดูร้อน เราโชคดีที่ไปเจอเขาที่ร้านวันนั้น จากนั้นเขาก็กลับไปที่ร้านทำงานต่อ เรานั่งเล่นนอนเล่นในสวนนั้น จนกระทั่งมีทีวีช่องหนึ่งมาทำข่าวท้องถิ่น เขาเลยขอสัมภาษณ์โจคิมและถ่ายรูปพร้อมจักรยาน
เราคิดว่าถ้ามัคซุดมาช่วยเรื่องภาษาน่าจะดี เพราะไม่มีใครในกลุ่มที่สามารถสื่อสารภาษาอัซเซอร์ฯ หรือรัสเซียได้ เลยลองส่งข้อความไปถามมัคซุดว่าเขาจะว่างตามเราไปที่ท่าเรือหรือเปล่า? หลังจากนั้นเราปั่นไปที่ท่าเรือกัน พอปั่นไปถึงทางเข้ามีทหารยืนอยู่และกั้นไม่ให้เราเข้าไป กำลังจะเดินเข้าไปคุยกับทหารก็หันมาเห็นมัคซุดพอดี น่ารักมากอุตส่าห์ตามมาช่วย แล้วเราก็ปั่นเป็นขบวนตามมัคซุดเข้าไปในส่วนของท่าเรือ
ขอเป็นกำลังใจให้นะค่ะพี่เวชและพี่โจคิมคนเก่ง:)
ขอบคุณค่ะน้องเอ๋ ตอนนี้มาจอดนิ่งอยู่ที่คีวา (Khiva) เติมพลังก่อนลุยอีก 3 วันเข้าบุคารา