จากบุคาราเป็นการเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางสายใหม ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญที่กระจายอารยธรรมโบราณของจีนไปสู่ตะวันตก และเป็นสะพานเชื่อมในการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างจีนกับตะวันตกด้วย เริ่มรู้สึกว่าได้ปั่นเข้ามาในเส้นทางสายประวัติศาสตร์ก็ต่อเมื่อมาเห็นสุเหร่า มัสยิด โมเสกสีฟ้าตั้งตระหง่านตั้งแต่ที่คีวามาเลย ตื่นเต้นพอสมควร เหมือนได้เหยียบย่างเข้ามาในโลกของอลาดินนั่งพรมลอยฟ้า อืม..ยังเคยเห็นป้ายที่เขาเขียนไว้ที่ประตูทางเข้าร้านนะว่า “Flying carpet” นี่ถ้าไม่ได้ปั่นจักรยานมาจะซื้อแล้วเหาะกลับบ้านแทน 🙂
เมื่อเปรียบเทียบทะเลทรายที่คาซัคสถานและอุซเบกิสถาน คิดว่าวิวทิวทัศน์ที่คาซัคฯ ยังมีการเปลี่ยนแปลง คือมีเขาบ้าง ขึ้น ๆ ลง ๆ เล็กน้อย มีม้ามีอูฐให้เห็นประปราย ไม่รู้ว่าพวกมันมีเจ้าของหรือเปล่า? แต่ที่แย่คือถนนโดยเฉพาะเส้นที่เราปั่นผ่านกันมา คาซัคฯ ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่แพงที่สุดในเขตเอเชียกลางนี้เพราะเขาขุดน้ำมันได้ และเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 9 ของโลก แต่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้าสเตปป์ ที่ราบทุ่งหญ้ากว้างที่ไม่มีต้นไม้และกินเนื้อที่ถึง 1 ใน 3 ส่วนของประเทศ
ส่วนอุซเบกิสถานเป็นประเทศหนึ่งในสองที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลและถูกล้อมรอบทุกด้านถึงสองประเทศ ซึ่งมีผลต่อการค้าและการขนส่งที่ต้องพึ่งชายฝั่งของประเทศเพื่อนบ้านถึงสองแห่ง และอีกประเทศหนึ่งที่มีลักษณะเดียวกันคือ ประเทศลิกเตนสไตน์ Liechtenstein ส่วนทะเลทรายที่เราปั่นผ่านกันมามันดูน่าเบื่อมาก ราบเรียบ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นทรายปนต้นไม้มีหนามเตี้ย ๆ มันไม่เหมือนทะเลทรายในความคิดของเราที่มีแต่ทรายล้อมรอบ มีแต่ความร้อนที่เตือนเราให้รู้ว่านี่คือทะเลทราย ภูมิประเทศระหว่างบุคารากับซาร์มาคันมีช่วงหนึ่งที่เป็นทะเลทรายประมาณ 30-35 กม. และโดยส่วนใหญ่ร้านค้าข้างทางจะมีน้อยลงไปตามลำดับ เราตุนน้ำอย่างน้อย 2-3 ลิตร เจอร้านที่ไหนต้องซื้อเพิ่มและเติมจากที่ดื่มไป น้ำในขวดจากที่เย็น ๆ แต่พอปั่นไปสักพักที่เย็น ๆ กลายเป็นอุ่น มีเพื่อนชาวนิวซีแลนด์เอาถุงชาใส่ลงไปในขวดน้ำเลย เพราะมันอุ่นกำลังดื่มเลย 🙂 มีช่วงหนึ่งที่เราคิดว่าไม่ต้องแบกน้ำกันล่ะ แต่เผอิญว่าหาร้านขายของรายทางไม่เจอเลย ถาม ๆ กันว่าใครมีกี่ลิตรเหลือกันสักเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่เราจะถามหาที่นอนจากร้านขายของข้างทาง ถ้าหาไม่เจอก็ต้องกางเต้นท์กันและทำอาหารกันเองซึ่งต้องใช้น้ำ สรุปทุกคนมีน้ำพอ ๆ กัน ช่วย ๆ กันไป พอเรากางเต้นท์กินมื้อเย็นกันเสร็จมีเพื่อนเยอรมันคนหนึ่งบอกว่าเขามีไพ่มาด้วยนะถ้าอยากจะมีอะไรทำ เล่นกินเงินอุซเบกฯนี่แหละทีละ 1000 ซอม (ซอม = สกุลเงินของอุซเบกฯ) แต่เวชเสนอว่าใครแพ้จ่ายเป็นน้ำ 1 ถ้วยดีกว่า ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวว่า “ไม่เอามันแพงเกิน” 🙂 🙂
จากที่เราปั่นกันกลุ่มใหญ่ 7 คนจากเมืองบาคุที่ประเทศอัซเซอร์ไบจาน – ข้ามเรือแฟรี่มาอัคเทาที่คาซัคสถาน – (มาโกะจากสโลเวเนียแยกไปก่อน ก่อนที่จะเข้าอุซเบกิสถาน) – เราเหลือกัน 6 คน ปั่นผ่านทะเลทรายมาถึงนูกุสที่อุซเบกิสถานกลุ่มเราเริ่มแตกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือ เราสองคน, บาเทคจากโปแลนด์และไซมอนจากนิวซีแลนด์ กลุ่มที่สองคือซีมอนและโทมัสจากเยอรมัน เพราะสองคนนี้เขาชอบตื่นสาย ๆ เราแยกกัน 2 วัน และมาเจอกันอีกทีที่คีวา ระหว่างทางจากคีวา-บุคารา-ซาร์มาคัน เราปั่นกันสองกลุ่มจนมาเจอกันอีกทีที่ซาร์มาคัน ช่วงที่ปั่นในทะเลทรายเราช่วยเหลือกันดี ใครปั่นช้าใครมีปัญหาก็รอกัน แต่พอเริ่มเข้าสู่เขตที่มีคนอยู่หนาแน่นขึ้น จึงไม่มีความจำเป็นที่มารอกัน และต่างคนต่างหาลู่ทางหากลุ่มของตนเอง และเราเองก็อยากปั่นกันเองสองคนบ้าง โดยที่ไม่ต้องมาคอยถามหรือรอถามว่าจะพักตรงไหนจะจอดตรงไหนจะรอกันที่กม.ไหน
จากบุคารากลุ่มเริ่มแตกกระจาย บาเทคคนโปแลนด์ไปกับเพื่อนใหม่จากสวิสเซอร์แลนด์สองคน เราสองคนปั่นกันเอง ซีมอนกับโทมัสแยกกันปั่น ไซมอนปั่นคนเดียว บาเทคและเพื่อนใหม่ชาวสวิสฯ ปั่นกันช้าเลยเลือกที่จะปั่น 3 วันจากบุคาราไปซาร์มาคันในระยะทาง 268 กม. ส่วนเราสองคนคิดว่าถ้าเราเริ่มปั่นกันแต่เช้าน่าจะใช้เวลา 2 วัน จริง ๆ แล้วเราตั้งใจจะพักที่บุคารา 2 วันแต่เผอิญว่าโจคิมเกิดมีอาการเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นขา เคยเจ็บมาก่อนแต่พอเริ่มออกปั่นอาการก็หายไป แต่ครั้งนี้ถึงแม้ว่าจะยืดกล้ามเนื้อหรือปั่นช้าลงก็ยังเจ็บอยู่ เราเลยตัดสินใจปั่นกลับไปที่เกสต์เฮาส์และพักต่ออีกหนึ่งคืน และเริ่มติดต่อเพื่อนที่เป็นหมอ ซึ่งเขาลงความเห็นว่าควรพักผ่อน เอาผ้าพันกล้ามเนื้อตรงที่เจ็บและกินยาแก้ปวดน่าจะช่วยได้ วันรุ่งขึ้นโจคิมรู้สึกดีขึ้นเราเลยเริ่มปั่นกันช้า ๆ อุ่นเครื่องกันและคอยดูอาการ สักพักก็สามารถปั่นได้ความเร็วตามปกติ
ช่วงนี้เรามักจะลืมเช็คพยากรณ์อากาศ เช็คสักหน่อย เพราะเริ่มรู้สึกว่าลมแรงขึ้นเรื่อย ๆ ปรากฎว่าวันที่เราจะปั่นออกจากบุคาราจะทวนลมนิด ๆ แต่มันไม่นิดสักหน่อยเลย ยิ่งสายลมยิ่งแรง เนื่องจากความล้า ร้อนและลมแรง ทำให้เรายิ่งปั่นช้าลง จนกระทั่งมีรถแลนด์โลเวอร์มาจอดข้างหน้าเรา เราเลยจอดคุยกับเขา ได้น้ำเย็น ๆ ดื่ม ชื่นใจจริง ๆ เป็นคู่สามี-ภรรยาจากฝรั่งเศส หลังจากที่ปลดเกษียณแล้ว พวกเขาอยากท่องเที่ยวกลับไปออสเตรเลียที่เขาเคยทำงานมา 35 ปี และอยากทำก่อนที่จะไม่มีแรงหรือแรงกระตุ้น แต่ก่อนที่จะมาขับรถเที่ยวกันเขาก็เคยปั่นจักรยานท่องเที่ยวเหมือนเรา และนี่เป็นเหตุผลที่เขาอยากหยุดและคุยเกี่ยวกับทริปของเรา แถมยังชวนเราให้ไปเที่ยวบ้านเขาซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ชายแดนสเปน แถบเทือกเขาพิเรนีส (Pyrenees) ถ้าเขายังไม่กลับจากท่องเที่ยวรอบโลก เราสามารถยืมบ้านเขาอยู่ได้อีกต่างหาก น่ารักจริง ๆ มีเรื่องให้คุยกันมากมายเราคุยกันเกือบชม.เลยต้องขอตัว ปั่นมาได้นิดหน่อย เจอด่านตำรวจ ตำรวจเรียกให้เข้าไปกินน้ำ วันนี้โชคดีได้ดื่มน้ำเย็น ๆ
ปั่นต่อมาได้สัก 90 กม. มาเจอเพื่อนคนเยอรมัน “ซีมอน” ซึ่งปั่นออกมาก่อน เขามานอนพักเอาแรงที่ร้านอาหารของโรงแรมที่สนามบินใกล้เมืองนาวอย หลังจากหลุดออกมาจากทะเลทรายในช่วงประมาณ 30 กม. ซึ่งร้อนและลมแรงมาก หมดแรงกันไปหมด ถ้าพักได้อยากจะพักกันเสียตรงนี้เลย แต่เราพยายามที่จะให้ถึงซาร์มาคันในอีกวันรุ่งขึ้น เพราะฉนั้นกัดฟันลุกขึ้นมาปั่นกันต่อไปอีกสัก 40 โล แต่เราหยุดพักกันนานไปหน่อย ปั่นได้ไม่มากเวลาเริ่มมืดเลยต้องมอง ๆ หาที่พักกัน ก็มาเจอจุดจอดพักรถใหญ่ มีห้องน้ำห้องอาบน้ำ มีชาให้ดื่ม เราเลือกที่จะนอนบนห้องเป็นการตอบแทนเขาหน่อย และเขาก็ให้ราคาพิเศษแก่เราสองคน 5 $ คืนนั้นก็นอนร้อน ๆ อีก ตามเคย อิจฉาเพื่อนคนเยอรมัน ที่นอนนอกตึกคงเย็นสบาย
วันแรกเราควรจะปั่นให้ได้สัก 130-140 กม. แต่เราทำได้แค่ 120 เพราะฉนั้นยังเหลืออีกประมาณ 140 กว่ากม. เราเลยตกลงกันว่าพรุ่งนี้ออกกันแต่เช้า ที่นี่สว่างตอนตีห้า เราควรจะออกปั่นตั้งแต่สว่าง เริ่มปั่นกันตอน 5:50 น. ทางไปซาร์มาคันมีสแงเส้นทาง คือทางหลวงและทางเก่า ตามธรรมดาเราขอบที่จะปั่นทางชนบท และลองถามคนท้องถิ่นดูว่าถนนดีมั้ย เขาว่าดี โอเค ถ้าดีเราก็ไปกัน เราแวะพักดื่มชากันแป๊บหนึ่ง เราเลี้ยวขวาเขาทางชนบท แรก ๆ ก็คิกว่าสนุกดีมีขึ้นเขาขึ้นเนินบ้าง ถนนช่วงแรกยังดีอยู่ ปั่น ๆ ไป ลมชักแรงขึ้นเรื่อย ๆ แถมพัดเอาลมร้อน ๆ มาอืกต่างหาก ขึ้นเนินแถมต้านลมนี่เป็นส่วนผสมที่ไม่ค่อยน่าอภิรมณ์เลย พอขึ้นมาถึงยอดของเนินหนึ่งเห็นเขาขายแตงโม เวลาก็ใกล้เที่ยงเลยจอดแวะหาอะไรกินกัน ร้านที่เห็นจากไกล ๆ นั่นเป็นปั้มน้ำมันและไม่มีอะไรขายด้วย เราเลยย้ายไปนั่งใต้ต้นไม้กัน ซื้อแคนตาลูปมากิน คนที่อยู่ที่ปั้มเดินเอามะเขือเทศและแตงกวามาให้ คิดว่าจะพักหลบร้อนและเอนหลังกันเสียหน่อย พอคิดว่าได้เวลาลมก็ยิ่งพัดแรงกว่าเดิม เห็นร่มอันใหญ่ที่เขากางไว้ตรงที่ขายของ เอียงไปอีกด้านหนึ่ง เลยตัดสินใจรออีกหน่อยจะดีกว่า ตอนนั้นเราปั่นมาได้ 90 กม.ยังเหลืออีก 65 กม.ตามที่เขาบอก ลมเริ่มอ่อนแรงแต่ก็ยังพอมีลมกระโชกอยู่บ้าง ถ้ามีเวลาคงนอนรอต่อ ไปดีกว่าจะได้ไปเจอเพื่อน ๆ ที่น่าจะถึงที่หมายกันแล้ว
ออกมาจากตรงที่นอนพักได้หน่อย ถนนเริ่มแย่รถเริ่มมากขึ้น ไม่เพียงแต่เราเท่านั้นที่พยายามหลบหลีกถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ พวกรถยนต์ก็เช่นกัน เราจึงต้องระวังทั้งหลุมทั้งรถ ช่วง 10 กว่าโลในสภาพแบบนี้รู้สึกเมื่อย ๆ ข้อมือเลย เกร็งมากไปหน่อย และช่วงนี้เองที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่น่าเลือกเส้นทางเก่า จริง ๆ วิวทิวทัศน์น่าดูอยู่ (ได้เงยหน้าขึ้นมาชมบ้างในบางครั้งที่โอกาสอำนวย) ถ้าถนนดีหรือลมไม่แรงนัก เคยคิดว่าจะโบกรถด้วยถ้าถนนยังคงแย่แบบนี้แถมมีเนินเล็กเนินน้อย ทำให้เราปั่นได้แค่ 10 กม./ชม. อีกตั้ง 65 โล กว่าจะถึงคงดึกมืดสนิท พอเริ่มบ่นหนัก ๆ เข้าเหมือนรู้ว่าเราไม่อยากปั่นแล้วนะ ถนนเริ่มเรียบสภาพดีขึ้น ปั่นได้เร็วขึ้นมาอีกหน่อย แต่ความร้อนยังคงร้อนสม่ำเสมอ สำหรับเราสองคนไม่มีปัญหาเรื่องนี้ แต่เพื่อนเราซิ “ซีมอน” ดูเขาอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปมาก ถึงขนาดไล่ให้เราไปก่อนไม่ต้องรอเขา จะทำได้อย่างไร ถ้าทิ้งเขาไว้เขาคงไม่มีแรงมาถึงซาร์มาคันวันนั้นแน่ เราเลยหยุดพักผ่อน 2 ครั้งแบบสั้น ๆ หลังจากเบรคครั้งล่าสุด อากาศเริ่มคลายร้อนมีลมพัดเย็น ๆ สดชื่น จึงเร่งเครื่องนิดหน่อย พอเห็นป้ายเมืองซาร์มาคัน เรายังต้องปั่นไปอีก 10 กว่าโล 🙁 และพอได้เห็นรอบนอกเมือง ก็ยังต้องปั่นไปอีก 5 โลกว่าจะถึงเกสต์เฮาส์ที่เรานัดกับเพื่อน ๆ ไว้ 🙁 🙁 จะไม่ไหวแล้วนะ แต่ในที่สุดเราก็มาถึงหน้าประตูเกสต์เฮาส์มืดพอดี สองทุ่มครึ่ง วันนี้เป็นวันแรกที่ปั่นกันถึง 9 ชม.ระยะทาง 155 กม. เพื่อนคนอื่นที่ปั่นกันมาถึงก่อนคงจะลุ้นกันน่าดูว่าเราอยู่ตรงไหนกัน พอเรามาถึงก็เฮกันเข้ามาถาม ช่วยเข็นช่วยแบกกระเป๋าให้ มันน่าดีใจตรงนี้แหละที่มีเพื่อนรอรับและเป็นห่วงเป็นใย สุดยอด 🙂 🙂
นั่งเล่นใต้รถเย็นสบาย จนไม่อยากปั่นต่อเลยนะครับ พี่ทั้งสอง 55555
หาที่หลบแดดไม่มี ตอนแรกเห็นรถบดถนนแต่ไม่กล้าไปนั่งกลัวรถมันเลื่อน หลบไม่ทันเป็นแบนแต๊ดแต๋ 🙂 เลยไปหาที่อีกคันนั้น ต้นไม้สักต้นหาไม่เจอเลย
ติดตามอ่านมาตลอดตั้งแต่เจอเรื่องของพี่เวชค่ะ ปั่นระยะทาง ๑๕๕ กิโลเมตรต่อวันนี่หนักมากนะคะ เอาใจช่วยค่ะ ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ
ขอบคุณนะค่ะที่เอาบล๊อคพี่เวชไปแปะที่เฟสบุ๊คของเอ๋ด้วย ช่วงนี้ปั่นกันสมบุกสมบันไปหน่อย รู้สึกกำลังวังชาจะเหือดยังงัยชอบกล อีก 2 วันเข้าคีร์ซกิสถานที่ออชเมื่อไหร่คงได้พักกันยาวหน่อย เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องวีซ่า
สวัดดีครับจากเมืองไทย กทม. ติดตามอ่านมาโดยตลอดครับรู้จากกระทู้ในไทยMTB แล้วก่อนย้อนอ่านมาจนปัจจุบันครับ มาแวะทักทาย ที่นี่ฝนตกทุกวัน(ช่วงเข้าพรรษา) นี่ก็พึ่งกลับจากทริปขุนยวม-แม่แจ่ม-อินทนนท์ ฝ่าฝนทุกวัน เดินทางปลอดภัยครับ
สวัสดีค่ะ ดีใจที่ได้เพื่อนร่วมทางไปกับเราทางบล๊อคค่ะ ขอบคุณค่ะที่ทนอ่านบล๊อคเวช ถ้าอยากได้อรรถรสมากขึ้นลองอ่านที่เป็นภาษาอังกฤษที่โจคิมเขียนนะค่ะ ปั่นที่นี่คิดถึงฝนมากเลยค่ะ แห้งแล้งมากมาย เที่ยวเก่งเหมือนกันนะค่ะขึ้นไปถึงอินทนนท์ วันนี้พวกเราเพิ่งผ่านเข้าประเทศคีร์ซกิสถานคืนนี้จะอัพเดทบล๊อคให้อ่านนะค่ะ ปั่นปลอดภัยเช่นกันค่ะ