เมื่อเย็นวานรีบหาท่ีกางเต้นท์กัน หันไปเจอท่ีโล่ง ๆ นิดหน่อยลองปั่นเข้าไปดู มันเป็นท่ีท่ีเขาปลูกกระเทียมแต่ข้าง ๆ มีท่ีว่าง ๆ อยู่เลยขอละกันนะค่ะ ขอนอนหน่อยนะคืนนี้ ท่ีท่ีมีต้นไม้ พงหญ้าก็ต้องมียุงและแมลง เลยต้องเอาเสื้อแจ๊กเก๊ตออกมาใส่กันยุง ดีท่ีแผ่นรองนอนของเราทั้งหนาทั้งนุ่ม ไม่อย่างนั้นคงได้รู้สึกถึงความเป็นลูกคลื่นของพื้นแน่เลย ตรงนั้นหาท่ีเรียบ ๆ ไม่มี ได้ยินเสียงคนเสียงรถเพราะอยู่ใกล้ถนน ก็ต้องหยุดกิจกรรมทุกอย่าง คอยมองว่าจะมีใครเดินเข้ามามั้ย? คิดว่าไม่น่ามีปัญหาเพราะตรงท่ีเรากางเต้นท์นั่นไม่มีอะไรปลูกอยู่ ตอนเช้าเราตื่นกันค่อนข้างเร็วหน่อยเพราะอยากจะไปถึงทูลูฟานเที่ยง ๆ แต่ก็บ่ายสองจนได้ เพราะโจคิมต้องปะยางก่อน จริง ๆ ทางก็เรียบ ๆ รถไม่ค่อยมีเท่าไหร่นัก แต่ถนนลาดขึ้นเล็กน้อยทวนลมนิดหน่อย ทุกครั้งที่เราออกจากจุดที่เรากางเต้นท์นอน ปั่นไปสักอย่างน้อย 10 กม.ขึ้นไปจะเห็นมีที่กางเต้นท์ท่ีดีกว่าท่ีเราเคยอยู่ ทุกทีเลย ครั้งนี้ก็เหมือนกันปั่นมาได้ 15 กม.มาเจอท่ีหนึ่งท่ีมีน้ำไหลใส่สะอาด ท่ีกางเต้นท์โล่ง ๆ แสดงว่าไม่มียุงและแมลงมากวนใจ เฮ้อ..เห็นแล้วปวดใจ แต่ตอนท่ีหยุดก็ไม่กล้าเสี่ยงปั่นต่อ เกิดไม่เจอท่ี ๆ กางเต้นท์ได้ก็แย่เหมือนกัน
วันนี้เราปั่นสั้นหน่อย เพราะตั้งใจว่าจะเข้าทูลูฟานเร็วหน่อยจะได้พักยาวขึ้นอีกนิดจะได้ไปต่อในอีกวันรุ่งขึ้น เป็นครั้งแรกท่ีเห็นนักท่องเท่ี่ยวต่างชาติ อาจจะเป็นเพราะทูลูฟานมีภูมิประเทศท่ีเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือเป็นพื้นท่ีท่ีต่ำกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 150 เมตร มีอากาศท่ีร้อนและร้อนนาน แต่ท่ีสำคัญคือท่ีนี่ปลูกองุ่นได้ผลดีมีชื่อเสียงของประเทศจีน มีการเอาองุ่นมาทำลูกเกดตามแบบฉบับของชาวอูกูร เราปั่นผ่านตึกท่ีมีช่องเล็ก ๆ ตอนแรกไม่รู้ว่ามันคืออะไร นึกว่าเป็นบ้านของแกะ แพะพวกสัตว์เลี้ยง แต่เผอิญเห็นรถสามล้อท่ีเต็มไปด้วยองุ่นไปจอดอยู่หน้าประตู เลยเข้าใจว่านี่คือท่ีตากองุ่นนี่เอง
ก่อนเช็คอินเข้าโรงแรมท่ีทูลูฟานเห็นป้ายหน้าโรงแรม ‘John’s café’ และมีเขียนในไกด์บุ๊คด้วยว่ามีอาหารนานาชาติ เราเบื่อลัคมานอาหารประจำชาติของขาวอูกูรมานานแล้วถึงแม้ว่าเส้นของเขาจะอร่อยขนาดไหนก็ตาม เลยอยากไปลองกินอาหารอื่น ๆ บ้าง เห็นท่ีป้ายมีบอกพิซซ่า เสต็ก อืม…อยากกินขึ้นมาทันที แต่พอเห็นราคาเลยต้องคิดดูอีกที เห็นเขามีเมนูทำไก่สไตล์เสฉวนด้วย เลยไปลองอันนี้แทน 😉 วันนั้นถึงแม้ว่าจะร้อน แต่เรารู้สึกได้พักผ่อนสบาย ๆ จริง ๆ
และวันนี้เองท่ีปั่นออกจากเมืองทูลูฟานท่ีร้อนจนแสบหลังเหมือนถูกเผา ไมล์วัดระยะทางของเวชขึ้นเป็น 10,000 กิโลตรงท่ีเป็นจุดท่องเท่ียวของเมืองนี้ด้วยคือ Flaming mountain เป็นภูเขาดินทรายท่ีบางเวลามันจะดูเหมือนเป็นเปลวไฟ แต่วันนั้นดูสลัว ๆ มัว ๆ เลยดูเป็นภูเขาไฟมอดไป แต่ดูอลังการมาก
วันรุ่งขึ้นเราปั่นกันต่อจุดหมายเราคือเมืองชันชัน (Shanshan) ออกจากทูลูฟานมาได้นิดหน่อยก็มาเห็นตึกอพาร์ตเมนท์ท่ีเขาสร้างเสร็จแล้ว สังเกตุดูหลังคาสิค่ะ จีนเขานึกถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ฝั่งตรงข้ามกำลังก่อสร้าง เขาสร้างแผงเซลล์แสงอาทิตย์พร้อม ๆ กันไปเลย เราปั่นผ่านชานเมืองบางแห่ง ยังเห็นแผงพวกนี้บนหลังคาบ้านท่ีไม่ได้สร้างด้วยปูนซิเมนต์แต่เป็นดิน เห็นมอเตอร์ไซค์แบบใช้ไฟฟ้ามากมาย ไม่มีมลพิษทั้งทางอากาศและเสียง แต่เสียงนี่ไม่เป็นพิษแต่อาจจะเป็นภัยเพราะเล่นมาแบบเงียบ ๆ
เราวางแผนไว้ว่าจะอยู่โรงแรมชานเมืองจะได้ไม่ต้องเข้าไปหาให้ยุ่งยาก แต่มีปัญหาตรงท่ีเขาไม่สามารถรับชาวต่างชาติได้ จากท่ีแรกเราต้องปั่นเข้าเมืองอยู่ดี ก็มาเจอโรงแรมหนึ่งดูใหญ่โตมาก ดูจากขนาดแล้วน่าจะมีใบอนุญาติรับเราได้ เลยเดินเข้าไปถาม ได้ค่ะแต่แพง ขี้เกียจหาแล้วเลยเอาตรงนี้แหละ ทุกครั้งท่ีเช็คอินจะต้องเสียเวลากับการสื่อสารเรื่องห้อง ว่าไม่เอาห้องท่ีสูบบุหรี่, ท่ีจอดจักรยานต้องปลอดภัยห้ามหาย, อินเตอร์เนตแบบ wifi หรือใช้เคเบิ้ลและอาหารเช้าว่าอยู่ท่ีไหนกี่โมงถึงกี่โมง และท่ีนี่โรงแรมนี้ก็มีปัญหาว่าเราจะเอากระเป๋า 2-3 ใบทิ้งไว้ท่ีจักรยาน คนหนึ่งบอกปลอดภัยคนหนึ่งบอกไม่ได้ เฮ่อ…เหนื่อยใจเมื่อยมือท่ีต้องเขียนในไอโฟนโดยใช้กูเกิ้ลช่วยแปล ไม่มีกูเกิ้ลนี่แย่เลยนะเนี่ย สรุปได้ขึ้นห้องเสียที แค่เห็นทางเดินก็รู้สึกว่ามันจะหรูเกินไปสำหรับเราหรือเปล่าเนี่ย และพอเปิดประตูเข้าไป ไอ่หย๋า…ห้องใหญ่มาก มีอ่างอาบน้ำ แต่ครั้งนี้ไม่ได้คิดถึงเรื่องซักผ้าสักเท่าไหร่ แต่อยากลงไปแช่ขัดขี้ไคลเสียมากกว่า วันนั้นรู้สึกว่าเนื้อตัวสะอาดมาก ไม่รู้ว่าเคยสะอาดอย่างนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ 😉
ก่อนออกจากโรงแรมมองผ่านทางหน้าต่างดูแล้วขมุกขมัวชอบกล นึกว่าหมอกลงแต่พอเอาจักรยานออกไปนอกโรงแรมถึงเข้าใจว่าลมมันพัดฝุ่นคลุ้งเต็มเมือง แฮ่…อยากจะเดินกลับเข้าไปในโรงแรมอีกรอบเลย แถมยางหลังเวชแบนอีก เฮ้อ..ท่ีปะยางท่ีซื้อมาเป็นแผงนี่มันจะพอมั้ยเนี่ย แบนกันได้วันละหลาย ๆ รอบแบบนี้ ปะยางเสร็จเราก็ตัดใจปั่นออกจากเมืองชันชันลมแรง ฝุ่นเยอะมาก วันนั้นเราปั่นไปคุยไป ไปกันเรื่อย ๆ จริง ๆ เราปั่นบนทางธรรมดาก่อนเพราะอยากลองดูว่ายางจะแบนมั้ย มันช่างแตกต่างระหว่างท่ีปั่นอยู่บนทางด่วนท่ีไม่มีอะไรดีแค่ว่าไม่ต้องหาทางปั่นอย่างเดียวกับทางธรรมดาท่ีมีชีวิตชีวา เห็นผู้คนนั่งพักผ่อน, ขายของและทำไร่ส่วนใหญ่จะเป็นไร่องุ่น เราปั่นมาได้สักพักก็มีรถสามล้อขับผ่านเราไป เห็นเขามองมาเราเลยโบกมือให้ เขาผ่านเราไปแล้วไปจอดอยู่ข้างหน้าเรา บอกให้เราหยุดและยื่นองุ่นมาให้หนึ่งพวงใหญ่ ๆ และตามมาอีกหลายพวง เอ่อ..แล้วข้าพเจ้าจะไปวางท่ีไหน รีบหาถุงมาใส่ให้แต่เขาไม่มี จะสละผ้าพันคอมาห่อให้ เวชนึกขึ้นได้ว่าชอบสะสมถุงอยู่ท่ีกระเป๋าหน้ารถ พอหยิบออกมา คุณพี่เขาก็ยิ่งหยิบมาอีกหลายพวง พอแล้ว ถุงนั้นท่าจะปาเข้าไป 2-3 โล ครั้นจะให้ใครแถวนั้นก็คิดว่าเขาคงเบื่อกินองุ่นกันแล้ว เอาออกมาพวงหนึ่งล้างน้ำแล้วก็วางท่ีกระเป๋าหน้ารถนั่นเลย ปั่นไปกินไป เพลินมากเลย มันหวานและเป็นองุ่นไร้เม็ด เพิ่มพลังดีจริง ๆ
ทางธรรมดาเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ เลยถูกบังคับให้ขึ้นทางด่วนอีกครั้ง ปั่นมาก็หลายกิโลอยู่ ยางยังดีอยู่ พอขึ้นทางด่วนปั่นได้ไม่เท่าไหร่ เอ๊ะ..มีเสียงอะไรท่ีล้อหน้า หยุดและสำรวจดูเลยเจอนี่เลย ลวดเส้นยาวปักติดยาวไปชนกับบังโคลนจนต้องหยุดหา ตอนแรกคิดว่าคงไม่เจาะไปถึงยางใน ปั่นไปได้สักพัก เฮ้อ..แบนอีกแล้ว
ปั่น ๆ ไปลมเริ่มดันหลังเราไป สบายเลย แต่พอปั่นมาถึงตรงช่องเขา ลมเริ่มแรงพัดมาทางข้าง ๆ ลมแรงขึ้นเรื่อย ๆ บางครั้งมีรถบรรทุกขับผ่านเหมือนมันดูดเราเข้าไปหา จนหลายครั้งเราต้องหยุดให้มันผ่านไปก่อน ปั่นกันเอียง ๆ นึกถึงตอนท่ีเจอพายุหิมะท่ีฮังการีเลย แต่ตอนนั้นแย่กว่านี้เยอะเพราะมีหิมะหนาวติดลบ ตรงนี้เย็นเหมือนกันจนเราต้องเอาแจ๊คเก๊ตออกมาใส่ ปั่นจนเริ่มรู้สึกว่ามันเริ่มอันตรายนะ เลยมองหาท่ีกางเต้นท์ แต่ลมแรงขนาดนี้เต้นท์คงไม่ติดพื้นแน่ เราลองเดินหาช่องระบายน้ำใต้ถนนซึ่งก็เริ่มมีน้อยลง มาเจอท่ีหนึ่งค่อนข้างเตี้ย ขนาดเวชยังต้องก้มแต่ยังดีกว่านอนข้างนอกเพราะไม่รู้ว่าตกกลางคืนฝนจะตกหรือเปล่า ไม่สามารถคาดเดาได้เลย
เช้านี้เรานอนกันแบบเต็มอิ่มเลย ตื่นขึ้นมาก็ฉลองด้วยการเปลี่ยนยางในของเวช ล้อหลังแบน แบนกันได้ทุกวัน ขนาดใส่ยางในท่ีกันหนามแล้วนะเนี่ย ลมก็ยังแรงอยู่ ก้มหน้าก้มตาปั่นกันไป ไม่มีโอกาสได้ชมวิวทิวทัศน์แถวนั้น แต่คิดว่าคงไม่ได้พลาดอะไร เพราะเรายังอยู่ในเขตทะเลทราย เห็นมีตึกอุตสาหกรรมโรงงานอะไรสักอย่างนี่แหละ อ้าว..มีเสียงอะไรอีกละ ตึก ๆ ๆ และแล้วบันไดโจคิมเริ่มงอแง มันไม่ยอมหมุนตามเท้า ลองถอดออกมาดูปรากฎว่าลูกปืนในบันไดเสื่อม ปั่นได้สิบรอบขามันก็ติดขัด เลยต้องโบกรถเข้าเมืองฮามิ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ตอนแรกคิดว่าจะปั่นไปให้ถึงจุดจอดพักรถท่ีมีเป็นระยะ ๆ แต่ดูท่าทางคงไปได้ไม่เร็วเท่าไหร่ เราจึงคอยมองเช็คจราจรว่ามีรถบรรทุกคันไหนบ้างท่ีสามารถรับเราไปด้วยได้ แต่หามีไม่ ส่วนใหญ่จะเป็นรถบรรทุกน้ำมันหรือไม่ก็บรรทุกของกันจนเต็มคันรถแทบจะล้นออกมา เราเลยต้องพยายามไปให้ถึงจุดจอดพัก แต่พอไปถึงกลับยังสร้างไม่เสร็จ 😉 ยิ่งทำให้โอกาสท่ีเราจะได้รถเป็นไปได้ยากขึ้น เพราะมันจะขับผ่านเลยไป แต่!!! มีรถตู้คันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ ลอบมองเข้าไปในรถเห็นผู้ชายสองคนกำลังนอนพักผ่อน ขณะท่ีเราพยายามโบกรถเราก็จ้องรถตู้คันนี้ไว้ ความพยายามเราไม่เป็นผลสักเท่าไหร่ จนกระทั่งเห็นการเคลื่อนไหวในรถตู้ พวกเขาตื่นกันแล้ว!!! เราเดินเข้าไปหาเขาและพยายามเขียนคุยกับเขาทางไอโฟนขอให้เขาไปส่งเรา และเราพร้อมท่ีจะจ่ายค่าน้ำมันค่าเสียเวลาและค่าเสื่อมรถ คือตอนนั้นจ่ายเท่าไหร่บอกมา เงินไม่สำคัญสำหรับเราเสียแล้วแต่กลายเป็นเวลาและบันไดท่ีสำคัญกว่า หนุ่มน้อยทั้งสองบอกว่าเขาต้องไปทำงานต่อ ไปส่งเราถึงในเมืองไม่ได้ แต่เขาขับไปส่งเราไปสักระยะหนึ่งแถว ๆ ที่ทำงานเขาได้ พอมาถึงจุดท่ีเราต้องลง เขาก็ลงมาช่วยเราโบกรถ ขนาดเขาพูดภาษาได้ยังไม่สามารถโบกรถให้เราได้ เรายืนโบกหารถกันเกือบชั่วโมง เริ่มรู้สึกกดดันเรื่องเวลา เขาคงเห็นว่าถ้าปล่อยเราอยู่ตรงนั้นคงไม่มีหวังได้รถ เขาเลยตัดสินใจ ขับพาเราไปถึงทางขึ้นทางด่วน ซึ่งตรงนั้นรถทุกคันต้องหยุดให้ตำรวจเช็ค รวมทั้งรถบัส เขาช่วยเราถามคนขับรถจนกระทั่งได้ กระบวนการตั้งแต่เจอหนุ่มสองคนนี้จนกระทั่งได้ขึ้นรถบัสใช้เวลาเกือบครึ่งวัน นี่ขนาดมีคนจีนมายืนข้าง ๆ คอยช่วยคอยถามยังใช้เวลาขนาดนี้ :-O และก่อนท่ีเราจะบ๊ายบายกัน เวชยัดเงินใส่กระเป๋าเสื้อเขา เขารีบหยิบขึ้นมาดูและพยายามยัดกลับใส่มือเวช แบบจับมือกำไว้แล้วผลัก ๆ ดัน ๆ เวชให้ขึ้นรถบัสไป เราเกรงใจเขามากเลย เขาต้องขับรถมาตั้งไกล ขาดงานมาหลายชั่วโมง แล้วยังต้องขับกลับไปทางเดิมอีก
เข้ามาถึงเมืองฮามิ (Hami) มืดพอดี ท่ีจีนนี่ก่อนท่ีเราจะเช็คอินเข้าพัก เราต้องถามก่อนว่าเขาสามารถรับชาวต่างชาติได้มั้ย เหมือนเขาลืมเองนะ เพราะเวชก็คุยภาษาจีนไม่ได้แค่หน้าท่ีเหมือนจีน ถามแล้วถามอีกว่าได้มั้ยก็ยังบอกว่าได้ พอเอาพาสปอร์ตให้ดูถึงมาบอกว่าไม่ได้ เฮ่อ… โหลดกระเป๋าขึ้นจักรยานอีกรอบปั่นไปหาท่ีใหม่ ขณะปั่น ๆ อยู่ก็มีจักรยานคันหนึ่งปั่นมาข้าง ๆ และถามอะไรสักอย่างเดาไม่ออก เวชเห็นว่าเขาใช้จักรยานของเทรค (Trek) นั่นแสดงว่าเขาต้องรู้ว่าร้านจักรยานอยู่ที่ไหน เลยจอดและคุยกับเขา เขาถามว่าเราจะไปพักท่ีไหน พอเราบอกว่ากำลังหาอยู่ เขาเลยพาเราไปท่ีโรงแรมแห่งหนึ่ง Super 8 ช่วยถามช่วยเจรจาลดราคาค่าห้องให้ จัดการให้เราได้บัตรวีไอพีเพื่อไปใช้ลดราคาท่ีซุปเปอร์ 8 ที่เมืองอื่น ๆ คืนแรกเราจ่ายเต็มแต่คืนท่ีสองเราได้ลด 10% ก็ยังดีเนอะ โรงแรมท่ีนี่ต่อได้นะ ลดได้ประมาณ 10-20% หรืออาจจะมากกว่านั้น ตอนแรกก็ไม่กล้าต่อ หลัง ๆ ลองต่อดู ต่อกันไปต่อกันมาสนุกดี เขาก็น่ารักนะ
เพื่อนใหม่เราน่ารักมากและครั้งนี้ไม่ลืมท่ีจะถามชื่อแต่ต้องจดไม่อย่างนั้นไม่สามารถจำได้ 🙂 ชื่อ หวังหยงฉาง คืนนั้นพาเราไปกินข้าว กินเสร็จขับรถไปส่งท่ีโรงแรมอีก เราช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ พอวันรุ่งขึ้นเราเอาจักรยานไปเซอร์วิส รถโจคิมเปลี่ยนบันได เช็คเกียร์ ส่วนรถเวชต้องเปลี่ยนลูกปืนและแกนของล้อหลัง เพราะตอนเปลี่ยนยางในสังเกตุเห็นว่าเอานิ้วดันล้อไปข้าง ๆ ได้ตอนท่ีจะใส่เบรคเข้าท่ีเดิม พอไปถึงร้านเลยให้เขาเช็คทุกล้อเลย เราคงต้องคอยดูแลใกล้ชิดมากกว่านี้ จักรยานสองคันนี้ถือว่าเป็นสมาชิกในครอบครัวเราต้องดูแลกันเยอะ ๆ หน่อย หยงฉางส่งข้อความถามมาว่าจะไปกินข้าวมั้ย? เมื่อคืนเขาเลี้ยงเราเลยอยากเลี้ยงเขาคืน เขียนกลับไปว่า ”โอเค ท่ีไหน เมื่อไหร่” ต้องเขียนสั้น ๆ นะ ไม่อย่างนั้นกูเกิ้ลแปลมั่ว เขาเขียนกลับมาว่า ”อีก 10 นาที” อ้าว…แล้วจะเจอกันยังงัย เขาบอกว่าให้รอท่ีนั่น สักพักหนึ่งมีรถสีแดง 4WD ใหม่เอี่ยมมาจอดหน้าร้านจักรยานและมีเพื่อน ๆ (4 คน) ของเขาเดินมาหา เราทั้งหมดเลยกระโดดขึ้นรถเขาพาเราไปกินติ่มซำ มีจานหนึ่งไส้เนื้อลาด้วย ไม่บอกก็ไม่รู้หรอก แต่อิ่มอร่อยจนถึงเย็นเลย
เราเปลี่ยนแผนนิดหน่อย!!! ยังจำเพื่อนเก่าเราได้มั้ยคะ? บาเทคจากโปแลนด์เขาปั่นห่างจากเราประมาณ 2-3 วัน เพราะเขาสามารถเข้าจีนได้ในขณะท่ีเราค้างเติ่งอยู่ท่ีหมู่บ้านในคีร์ซกิสถาน ตอนนี้เขาอยู่ท่ีเมืองกัวจู (Guazhou) เราเลยตัดสินใจขึ้นรถบัสจากเมืองฮามิไปเมืองกัวจูที่ไกลออกไปอีกประมาณ 400 กม.เพื่อเจอกับบาเทค โชคดีท่ีเราได้รับการช่วยเหลือจากพนักงานท่ีโรงแรมพาไปซื้อตั๋วรถทัวร์ เพราะยุ่งยากมากตอนแรกว่าจะขึ้นรถไฟ แต่คนจีนเขาคงเดินทางกันเป็นว่าเล่นมั้ง ขนาดวันธรรมดาตู้นอนยังเต็ม เขาเลยพาเราไปเช็คท่ีสถานีรถบัส เราซื้อได้ตั๋วท่ีนั่งแต่ปรากฎว่าค่าระวางจักรยานแพงกว่าอีก ท่ีเราตัดสินใจเช่นนี้เพราะเราเริ่มเบื่อทะเลทราย อยากเห็นอะไรเขียว ๆ แล้วและความท่ีรู้สึกว่าเราคืบหน้าไปช้า เรื่องวีซ่าเพื่อความสะดวกในการต่ออายุเราต้องต่อท่ีเมืองเล็กแห่งหนึ่งซึ่งเราต้องไปให้ทันก่อนวีซ่าจะหมดอายุ เราอยากปั่นขึ้นเขามากกว่าปั่นอยู่ในทะเลทรายท่ีเราปั่นผ่านกันมาแล้วทั้งท่ีคาซัคฯ และอุซเบกฯ คิดว่าพอละ
คืนก่อนท่ีเราจะออกเดินทาง “หยงฉาง” มาเคาะประตูห้องท่ีโรงแรม เขาแวะมาคุย เขาเองก็สงสัยว่าทำไมเราไม่ปั่นต่อ นั่งเขียนคุยกันสักพักเขาถามเราว่าถ้าเขาจะพาลูกชายเขามาให้รู้จักจะได้มั้ย น่ารักเนอะมีการขออนุญาติก่อนด้วยอ่ะ ได้สิทำไมจะไม่ได้ สักพักเขากลับมาพร้อมกับลูกชายอายุ 11 ปี น่ารักมาก คงจะถูกอบรมมาอย่างดี แต่ท่ีดีอีกอย่างคือเขาพูดภาษาอังกฤษได้ เก่งมากสำหรับเด็กอายุแค่นี้ เลยให้เขาสอนภาษาจีนให้เขียนและออกเสียงให้ฟัง เช้าวันรุ่งขึ้นตอนเราจะไปขึ้นรถทัวร์ “หยงฉาง” ยังมาส่งท่ีสถานีแถมเอาชาแพ๊คอย่างดีมาให้ด้วย รู้สึกอบอุ่นปลอดโปร่งดีท่ีีมีเพื่อนเรามายืนอยู่ข้าง ๆ คอยเป็นล่ามให้